บทที่ 8 คอยดูนะ

มู่หรงอี้หวายเผลอกัดริมฝีปากตนจนห้อเลือด เห็นอีกฝ่ายเงียบไปหลี่จื่อเหยาจึงแหงนศีรษะขึ้นเล็กน้อย ครั้นเห็นแววโศกเศร้าบนใบหน้า ของเขา ก็อดสะท้านสะเทือนหัวใจมิได้ คำพูดตัดรอนของนางทำให้เขาเจ็บปวดงั้นรึ

“คุณชายมู่หรงทำไม่ได้หรือ” หลี่จื่อเหยาจ้องหน้าของเขาอีกครั้งด้วยหัวใจเต้นระทึก

“ไม่ได้... ข้าทำไม่ได้” เขาส่งสายตาอ้อนวอน

“แต่เมื่อครู่ข้าได้ยินกับหูว่าท่านเพียงเผลอไผล ผู้อื่นจึงไม่ต้องการให้คุณชายต้องฝืนใจรับผิดชอบ”

“คุณหนูหลี่เข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้นเสียหน่อย”

“แล้วคุณชายจะให้ข้าเข้าใจว่าอย่างไรเล่า”

“เป็นข้าผิดทั้งนั้น ที่พอพบเจ้าอีกครั้งก็ดีใจจนควบคุมตนเองไม่ได้ ทั้งที่ควรจะทำทุกอย่างให้ถูกต้อง” มู่หรงอี้หวายเดินเข้าไปใกล้นางก้าวหนึ่ง แล้วคว้ามือเล็กนุ่มขึ้นมากอบกุม “นี่ข้าลืมบอกว่าชอบเจ้าสินะ”

“คะ...คุณชายมู่หรง ท่านชอบข้าจริงๆ หรือ” นางพูดเสียงเบาหวิว จิตใจล่องลอยหลงใหลไปกับคำพูดหวานหูของเขา

“หากไม่จริงใจ ข้าคงไม่ควบม้าเร็วติดต่อกันถึงสามวันสามคืน เพื่อจะมาพบหน้าเจ้าให้ได้ในวันนี้”

นัยน์ตาสุกใสดุจกวางน้อยไหวระริก เขาทนลำบากเพื่อมาพบหน้านางหรือ แต่ก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่กังขา

“เหตุใดท่านถึงต้องทำถึงเพียงนั้นเล่า ไม่มีเหตุผลเลยสักนิด หากท่านมีใจให้ข้าจริง เหตุใดถึงต้องรอคอยมากว่าครึ่งปี”

“เดิมทีข้ามิได้รีบร้อน หมายจะทำงานที่ท่านพ่อมอบหมายให้เสร็จเสียก่อน แล้วค่อยกลับมาเยี่ยมเจ้า แต่แล้วตระกูลหลี่ก็จัดงานเลี้ยงใหญ่ ส่งเทียบเชิญไปมากมาย เช่นนี้ย่อมมีบุรุษนับสิบมาร่วมงาน เจ้าเองงดงามน่ารัก ผู้ใดเห็นย่อมพึงใจ จะให้ข้าทนเฉยต่อไปได้อย่างไร หากไม่รีบมาสู่ขอเจ้าไปเป็นเจ้าสาวเสียตั้งแต่วันนี้ หากมีผู้อื่นมาคว้าหัวใจเจ้าไปเล่า ข้าคงเสียใจยิ่งนัก”

อาการร้อนรนกับคำสารภาพอย่างตรงไปตรงมา ทำให้หัวใจของดรุณีแรกแย้มสั่นสะเทือน นัยน์ตาดุจแสงดารานับร้อยส่องประกายระยิบระยับ

“คุณชายมั่นใจแล้วหรือ”

“ข้าเป็นลูกผู้ชาย พูดคำไหนคำนั้น ข้าต้องการเจ้ามาเป็นภรรยานั่นคือความสัตย์จริง”

“แสดงว่าเมื่อครู่ที่ท่านกล่าวว่าต้องการข้านั้น ก็คือต้องการแต่งข้าเป็นฮูหยินน้อยตระกูลมู่หรงหรือ”

“ย่อมแน่อยู่แล้ว” มู่หรงอี้หวายตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ ในแววตาไม่มีอาการ หลุกหลิกแม้แต่น้อย

“หากคุณชายจริงใจ ข้าก็ไม่ขัดข้องเจ้าค่ะ” หลี่จื่อเหยากล่าวจบใบหน้า ก็พลันแดงระเรื่อ

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลี่เค่อที่ลุ้นจนตัวโก่งอยู่อีกด้านก็ถอนหายใจเฮือกอย่างโล่งอก ปลาตัวใหญ่ที่ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้มาครอบครอง บัดนี้เป็นของตระกูลหลี่เรียบร้อยแล้ว

มู่หรงอี้หวายยิ้มยินดีอย่างสุภาพเช่นเคย เขาหันกลับไปพูดคุยกับหลี่เค่อ โดยให้คำมั่นว่าหากไม่ติดสิ่งใดอีกสามวันให้หลังก็สามารถส่งแม่สื่อมาสู่ขอหลี่จื่อเหยาได้ตามธรรมเนียม หากตระกูลหลี่ต้องการสิ่งใดขอให้บอกกล่าวมา เขายินดีทุ่มไม่อั้นเพื่อเจ้าสาวคนงาม

เมื่อคิดถึงสินสอดที่จะได้มาเติมคลังให้เต็มดุจเดิม นายท่านหลี่ก็ดีใจจนออกนอกหน้า

ครั้นชายหนุ่มทั้งสองตกปากรับคำเป็นที่เรียบร้อย คนทั้งสามจึงแยกย้ายกันกลับเข้าสู่งานเลี้ยง

เดิมทีหลี่เค่อต้องการให้หลี่จื่อเหยาเล่นพิณเปิดตัว แต่ในเมื่อน้องสาวคนสวยตกปลาตัวอ้วนได้แล้ว การแสดงนี้ย่อมไม่จำเป็น แต่นางกลับต้องการแสดงให้ฮูหยินผู้เฒ่าดู ผู้เป็นพี่ชายจึงตามใจ แล้วส่งสัญญาณให้พ่อบ้านใหญ่ประกาศต่อหน้าแขกเหรื่อว่า คุณหนูหลี่จะเล่นพิณเป็นของขวัญให้ฮูหยินผู้เฒ่า

หลี่จื่อเหยาเยื้องกรายไปยังพิณที่ถูกจัดวางเอาไว้ตรงกลางลานแสดงด้วยท่วงท่าราวนางหงส์ ใบหน้างดงามประดับด้วยรอยยิ้มชวนให้หลงใหล นางย่อกายคำนับมารดา แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ขัดเงา

นิ้วเรียวดุจลำเทียนดีดดึงสายพิณเพื่อเริ่มบรรเลง นางกรีดนิ้วเร่งจังหวะ สะบัดมือจนแลเห็นท่อนแขนขาว แม้จะเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็มากพอจะทำให้เหล่าคุณชายทั้งหลายทอดถอนหายใจ ยามศีรษะนางส่ายไหวจนปิ่นปักผมสั่นกระทบกัน หัวใจของบุรุษที่นั่งชมอยู่นั้นก็หวั่นไหวจนถ้วนทั่ว

หนึ่งในเหล่าบุรุษที่กำลังเคลิบเคลิ้มอยู่ก็มีเย่เทียนหลางรวมอยู่ด้วย เขาคือทายาทสำนักคุ้มภัยตระกูลเย่อันเลื่องชื่อ

ตั้งแต่หลี่จื่อเหยาเยื้องกรายมาเบื้องหน้า ตลอดจนลงนิ้วบนสายพิณ เขาไม่อาจละสายตาจากนางได้เลย

“คุณหนูหลี่ช่างงดงามและบริสุทธิ์นัก ก่อนหน้านี้นางไปอยู่ที่ใดกันหนอ ทำไมข้าไม่เคยพบหน้าสาวงามผู้นี้มาก่อน” เย่เทียนหลางเปรยกับสหายทั้งที่สายตายังคงติดตรึงอยู่กับร่างบอบบางที่กลางลานแสดง

“เลิกฝันลมๆ แล้งๆ แล้วดื่มสุราไปเถิด” มู่หรงอี้หวายตอบสหายด้วย น้ำเสียงราบเรียบ แล้วกลั้วหัวเราะเบาๆ ทั้งที่กำลังตัดกำลังใจของอีกฝ่ายอยู่แท้ๆ แต่ท่าทางอันแสนสุภาพกลับทำให้เย่เทียนหลางไม่อาจโกรธเคืองสหายได้ลง

“เจ้ากำลังดูถูกข้า ในแคว้นหานนี้หากไม่นับเบญจบุรุษ ข้าก็เป็นหนุ่มรูปงามอนาคตไกลไม่เกินอันดับสิบ”

“ข้ารู้” มู่หรงอี้หวายตอบสั้นๆ รอยยิ้มบางเบาปรากฏขึ้นที่มุมปาก

เย่เทียนหลางไม่แน่ใจว่านั่นคือรอยยิ้มในยามปกติ หรือกำลังเยาะหยันเขาอยู่กันแน่ แต่จากนิสัยของสหายน่าจะเป็นอย่างหลังเสียมากกว่า

“หึ! คอยดูนะ พรุ่งนี้ข้าจะให้ท่านพ่อมาสู่ขอคุณหนูหลี่”

“เก็บความคิดนั้นเอาไว้เถิด” มู่หรงอี้หวายยับยั้งอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงราบเรียบเย็นชา

“นี่เจ้าพูดแรงเกินไปแล้วสหาย ข้ามีตรงที่ใดไม่ดีหรือ”

“มิได้”

“แล้วเหตุใดจึงห้ามปรามข้าเล่า ในเมื่อข้าพบสตรีที่ถูกใจ เจ้าเป็นสหาย ก็ควรส่งเสริมมิใช่หรือ”

มู่หรงอี้หวายเพียงขยับยิ้ม “เพราะเจ้าดีเกินไปกระมัง”

คำตอบที่เหนือความคาดหมายทำให้เย่เทียนหลางชะงักไป หากชายผู้นี้จะบอกว่าตนไม่คู่ควรกับนางฟ้าตรงหน้า เขายังจะเชื่อหูตนเองมากกว่านี้ “อี้หวายพูดอันใดข้าไม่เข้าใจสักนิด”

“ยามนี้ตระกูลหลี่กำลังประสบปัญหาทางการเงิน การเปิดตัวคุณหนูหลี่ วันนี้ก็เพื่อหาเจ้าบ่าวที่ร่ำรวย หากนางเลือกเจ้าก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีใจจริงแท้ให้ แต่อาจจะมองเห็นเจ้าเป็นแค่ปลาอ้วนที่ใช้เคี่ยวน้ำแกง นี่ข้าหวังดีหรอกนะ”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป