บทที่ 9 ยอมลงทุน
“หากได้แต่งกับหญิงงามที่ถูกใจ ข้าก็ยอมลงทุน เจ้าก็รู้ว่าฐานะของนายน้อยสกุลเย่ไม่ได้ด้อยไปกว่าบุรุษเหล่านั้นเลย”
“ตามใจเจ้า” มู่หรงอี้หวายทำท่าเหมือนเหนื่อยหน่าย จากนั้นก็จิบสุราต่อ
“ต้องอย่างนี้สิ สหายข้า” เย่เทียนหลางหัวเราะร่วนอย่างมีความสุข ในที่สุดมู่หรงอี้หวายก็เลิกพูดขัดใจเขาเสียที
สำหรับคุณชายเย่ หากตระกูลหลี่มีปัญหาการเงินก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ อย่างมากก็คงเรียกสินสอดจำนวนมากกว่าปกติเท่านั้น มีหรือที่เขาจะจ่ายมิได้
มู่หรงอี้หวายไม่ใคร่สนใจสหายผู้พร่ำเพ้ออีก ยามนี้สายตาของเขาจ้องมองไปยังหลี่จื่อเหยาเท่านั้น เหมือนหญิงสาวจะรับรู้ได้ถึงกระแสอันแรงกล้าจึง เหลือบมองกลับมา ยามที่ดวงแก้วสุกใสสบประสานนัยน์ตาสีดำสนิทดุจราตรีของเขา พวงแก้มสีชมพูก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ
แน่นอนว่าการกระทำเหล่านี้ไม่พ้นสายตาของเย่เทียนหลางไปได้
“ร้ายนักอี้หวาย ที่เจ้าพูดนั่นพูดนี่ ที่แท้ก็หมายตานางเอาไว้เหมือนกันล่ะสิ”
“เจ้ายอมแพ้แล้วหรือไม่” มู่หรงอี้หวายเหลือบมองสหาย พลางยิ้มยียวน
“ให้ตายเถอะ ทำไมเจ้าต้องมาชอบคนที่ข้าพึงใจเล่า”
“เจ้าดื่มสุราย้อมใจไปเถิด” น้ำเสียงของมู่หรงอี้หวายเต็มไปด้วยความเยาะหยัน
“เจ้ามันร้าย ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าข้า”
มู่หรงอี้หวายได้ฟัง ก็กลั้วหัวเราะเบาๆ พลางกล่าวกับสหายด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม อ่อนโยนลง “พรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าไปหอชื่นสุข”
“ไม่ต้องมาทำเป็นมีน้ำใจ ข้าน่ะชอบคุณหนูหลี่จริงๆ คราวนี้เจ้าหลีกทางให้ได้หรือไม่”
“มีประมูลสาวพรหมจรรย์ด้วยนะ ข้าจะจัดการให้”
“จะ...เจ้าเห็นข้าเป็นคนเยี่ยงไรกัน นางคณิกาหรือจะมาเทียบคุณหนูหลี่ผู้เพียบพร้อม”
“อืม งั้นข้าจะยกเหม่ยเหมยสาวใช้ต้นห้องของข้าให้เจ้าอีกหนึ่งคนด้วยก็ได้ ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยบอกว่าอยากได้นาง”
แม้ข้อเสนอเหล่านี้จะดูน่าสนใจ แต่ด้วยศักดิ์ศรี เย่เทียนหลางจึงมิอาจรีบตอบตกลง
“มู่หรงอี้หวาย... ข้าเกลียดเจ้า”
“เช่นนั้นก็แล้วไปเถิด ถือว่าการเจรจาการค้าโดยสันติไม่เป็นผล” มู่หรงอี้หวายยุติการต่อรอง เขาละสายตาจากสหายและหันกลับมาดื่มสุราต่อด้วยท่าทีผ่อนคลาย
อากัปกิริยาราวกับไม่แยแสผู้ใดนี้ทำให้เย่เทียนหลางขุ่นเคือง
“จะ...เจ้า นี่มัน”
มู่หรงอี้หวายเหยียดยิ้ม “ทำไมเล่า เจ้าเสียดายหรือ แต่หมดเวลาต่อรองแล้ว”
“ขอถามสักคำเถิด เจ้าแค่หยอกเย้าข้า หรือว่าชอบคุณหนูหลี่จากใจจริง”
มู่หรงอี้หวายหันกลับมาสบตากับสหายด้วยอารามจริงจัง
“ข้าต้องการนาง”
เย่เทียนหลางขมวดคิ้ว เขาไม่เคยเห็นสหายจริงจังกับสตรีเช่นนี้มาก่อน จึงคาดเดาไปว่าคุณชายมู่หรงคงถูกศรรักปักอกเข้าให้แล้ว
“เอาเถิด ดูจากสายตาของนางเมื่อครู่ เจ้าทั้งสองคงเคยพบกันมาก่อนสินะ”
“ใช่” มู่หรงอี้หวายตอบสั้นๆ แต่ก็ไม่ได้ละสายตาจากคู่สนทนาแม้แต่นิดเดียว
เย่เทียนหลางถอนหายใจ “ทำไมไม่พูดตรงๆ แต่แรกเล่า ข้าไม่แย่งคนรัก ของสหายหรอกนะ”
“ข้าคิดว่าเจ้าไม่ได้จริงจังเหมือนเช่นทุกครั้งที่เจอสาวงาม แต่ดูเหมือนข้าจะประเมินผิดไปสักหน่อย”
“เจ้าก็รู้ว่าข้าเป็นคนเยี่ยงไร ต่อให้พึงใจเท่าใดหากเป็นสตรีของสหายย่อมไม่ยื้อแย่ง”
“ขอบใจ”
“ดูเหมือนข้าจะต้องใช้สุราย้อมใจจริงๆ เสียแล้ว” เย่เทียนหลายกจอกสุราขึ้นดื่ม
“ข้าจะชดเชยให้ สตรีพรหมจรรย์สองคนเลยเป็นไร” มู่หรงอี้หวาย ยื่นข้อเสนออีกครั้งด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม
“แหม คุณชายมู่หรงช่างใจกว้าง ข้าเย่เทียนหลางขอสามได้หรือไม่”
“สอง” มู่หรงอี้หวายเอ่ยเสียงเย็น
“ก็ได้ ก็ได้ ผู้น้อยไม่โลภแล้ว” เย่เทียนหลางหัวเราะเสียงดังกลบเกลื่อนความรู้สึกเสียดายคุณหนูหลี่
เสียงบรรเลงเพลงพิณแว่วหวาน เคล้าคลอบรรยากาศพารื่นรมย์ เมื่อการแสดงจบลง แขกเหรื่อทั้งหลายต่างปรบมืออย่างต่อเนื่อง
หลี่จื่อเหยายอบกายคำนับมารดา พลางยกยิ้มสะกดใจไปยังผู้ชม นางกล่าวคำขอบคุณด้วยเสียงดั่งระฆังแก้ว แล้วเดินกลับไปยังที่นั่งของตนในฝั่งสตรี
ยามนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ชื่นชมคุณหนูหลี่ เหล่าคุณชายที่หมายตาต่างพูดคุยกับบิดาให้มาสู่ขอนางไปเป็นฮูหยินน้อย พวกเขาพากันแวะเวียนไปคารวะสุรานายท่านหลี่มิขาดสาย ส่วนหลี่เค่อนั้นก็เพียงรับไมตรีไปตามมารยาท เพราะเขามีปลาอ้วนนามมู่หรงอี้หวายอยู่ในกำมือแล้ว
รอยยิ้มแขวนอยู่บนใบหน้าคมสันตลอดเวลา เขารู้สึกว่าการลงทุนช่างคุ้มค่าเสียเหลือเกิน
เวลาผ่านไปไม่นานนัก ฮูหยินผู้เฒ่าขอตัวกลับเรือนไปพักผ่อน เนื่องจากสุขภาพไม่ดีแล้ว ครั้นเห็นเจ้าของงานเลี้ยงไม่สามารถอยู่ต่อได้ บรรดาแขกเหรื่อก็เริ่มทยอยกลับ ระหว่างนั้นมู่หรงอี้หวายจึงถือโอกาสเข้าไปคุยกับหลี่เค่อ
“นายท่านหลี่ ข้ามีเรื่องจะพูดด้วย”
“มีอันใดหรือคุณชายมู่หรง”
“ข้าสังเกตว่าท่านรับไมตรีจากทุกคน คงมิได้คิดบิดพลิ้วใช่หรือไม่”
“คุณชายมู่หรงไม่ต้องกังวล ข้าเป็นลูกผู้ชาย รับปากว่าจะยกเหยาเหยาให้ท่าน ย่อมต้องทำตามคำพูด”
“แต่ข้ามิเคยทำสัญญาปากเปล่ากับผู้ใด”
“คุณชายหมายถึงจะทำสัญญาลงนามหรือ”
“มันเป็นนิสัยส่วนตัวของข้า เพราะลมปากเชื่อถือมิได้”
“เช่นนั้นคุณชายมู่หรงเชิญตามมาที่ห้องทำงานของข้า เราจะได้ร่างสัญญากัน”
หลี่เค่อสาวเท้าไปตามทางเดินสู่ห้องทำงานในเรือนหลัก เขาอดลอบยิ้มในใจมิได้ มู่หรงอี้หวายคงหลงรักน้องสาวเขาหัวปักหัวปำ ถึงขนาดต้องร่างสัญญายินยอมให้แต่งงานเพื่อผูกมัดนางเอาไว้ เช่นนี้ยิ่งง่ายดายสำหรับการเรียกสินสอดจำนวนมหาศาล
‘ปลาตัวนี้ทั้งอ้วน ทั้งโง่ ร้านค้าตระกูลหลี่รอดพ้นวิกฤตแน่แล้ว’
ราตรีนี้จึงจบลงด้วยต่างคนต่างบรรลุเป้าหมาย หลี่เค่อได้เหยื่อเป็นปลาตัวใหญ่ ส่วนมู่หรงอี้หวายได้สัญญาแต่งงานกับกระต่ายน้อยอย่างหลี่จื่อเหยา
