บทที่ 4 4
สิบเดือนผ่านไป
ญาดาก้าวเท้าเดินอย่างเร่งรีบ เธอเดินทางมาที่ห้างสรรพสินค้าในตัวเมืองจังหวัดภูเก็ตทันทีที่ทราบข่าวเรื่องน้องชายตัวดี โดยมีน้ำจันทร์เพื่อนสนิทเดินทางมาเป็นเพื่อนด้วย สาเหตุที่หญิงสาวทั้งสองเดินทางมาที่นี่ เป็นเพราะภมรน้องชายสุดแสบของญาดาก่อเหตุลักทรัพย์ในห้างแห่งนี้นั่นเอง
“พี่เปิ้ล...พี่เปิ้ลช่วยผมด้วยนะ ผมไม่ได้ทำนะ” ภมรขอความช่วยเหลือจากพี่สาวที่เปรียบเสมือนเป็นนางฟ้าประจำตัวเขาก็ว่าได้ ไม่ว่าตนจะทำผิดด้วยเรื่องอะไร นางฟ้าคนนี้ยื่นมือเข้าช่วยทุกครั้ง และนั่นทำให้ภมรย่ามใจ ทำผิดซ้ำๆ และซ้ำๆ โดยไร้สามัญสำนึก
“ถ้าไม่ได้ทำผิดแล้วพวกเขาจะจับต้อมไว้ได้ยังไง” น้ำจันทร์เป็นคนเอ่ยถามแทนญาดาที่ยืนหน้าซีดหน้าเซียวอยู่ข้างกายตน ผู้ถามไม่คิดว่าภมรจะไม่ได้ทำผิดอย่างที่พูด เพราะอุปนิสัยที่แท้จริงนั้นไม่ใช่เลย
“แหม...พี่น้ำจันทร์ เพื่อนของผมต่างหากที่เป็นคนขโมย แต่พี่พวกนี้จับเพื่อนของผมไม่ได้ ก็เลยมาจับผมแทน” ภมรพูดแก้ตัว
“เอ่อ คือว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันหรือเปล่าคะ” ญาดาแม้จะรู้ว่าน้องชายโกหกแต่พยายามหาข้อแก้ต่างให้ภมร
“ไม่ใช่เรื่องเข้าใจผิดครับ เราค้นตัวของน้องชายคุณเจอหูฟังอยู่ในกระเป๋าสะพายน้องชายคุณครับ นี่ไงครับหลักฐาน” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของห้างชี้ให้ญาดากับน้ำจันทร์มองดูหลักฐานที่วางอยู่บนโต๊ะ มันเป็นหูฟังมียี่ห้อราคาค่อนข้างสูง ญาดาถึงกับพูดไม่ออก จำนนต่อหลักฐาน
“แล้วน้องชายของดิฉันจะถูกดำเนินคดีหรือเปล่าคะ” ข้อนี้แหละที่ญาดาเป็นกังวล
“มีอยู่สองทางครับ หนึ่งยอมเสียค่าปรับสิบเท่าของราคาสินค้าที่ลักทรัพย์ไป หรือไม่ก็ดำเนินคดีทางกฎหมาย แต่ข้อหลังเราจะทำเป็นกระบวนการสุดท้ายหากไม่ยินยอมเสียค่าปรับ หรือไม่มีเงินมาเสียค่าปรับ” เจ้าหน้าที่บอกทางเลือก
ญาดาหน้าซีดกว่าเดิมอีกเมื่อได้ยินคำพูดของเจ้าหน้าที่ ทางเลือกเพียงทางเดียวที่จะทำให้ภมรหลุดพ้นจากคดีความได้คือ เสียค่าปรับ ตัวต้นเหตุนั่งทำหน้าไม่ทุกข์ร้อนกับการกระทำผิดของตัวเองเลยแม้แต่นิดเดียว รู้ดีว่าพี่สาวจะต้องช่วยเหลือเขาอย่างแน่นอน
“ค่าปรับเท่าไหร่คะ”
“หูฟังราคาสองพันห้าร้อยบาทค่าปรับสิบเท่าก็เป็นเงินทั้งหมดสองหมื่นสองพันห้าร้อยบาทครับ”
ญาดาแทบจะเป็นลมเมื่อได้ยินราคาค่าปรับ เงินจำนวนนี้ไม่ใช่น้อยๆ เลย หากไม่เสียค่าปรับภมรก็ต้องติดคุก ซึ่งเธอให้เรื่องนี้เกิดขึ้นไม่ได้ เห็นทีจะต้องนำเงินที่เก็บหอมรอมริบไว้ ตั้งใจจะซื้อบ้านเล็กๆ สักหลังไว้อยู่อาศัยกับน้องชาย นำเงินส่วนนั้นมาจ่ายค่าปรับ ญาดาเศร้าใจยิ่งนัก
น้ำจันทร์มองเพื่อนสนิทแล้วอดสงสารไม่ได้ ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ภมรก่อเรื่อง มันเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ที่ญาดาต้องตามเช็ดตามล้างปฏิกูลที่ภมรถ่ายทิ้งไว้ ซึ่งเธอเองก็เข้าใจเหตุผลของญาดาว่าเหตุใดต้องทำ มันอาจจะเป็นเหตุผลเดียวกับที่เธอทำอยู่ตอนนี้ก็ได้
“ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันไปเบิกเงินมาให้นะคะ” ญาดาพูดเสียงอ่อนเดินออกไปจากห้องรักษาความปลอดภัยของทางห้าง เพื่อไปยังธนาคารภายในห้าง โชคดีที่เธอพกสมุดบัญชีมาด้วยเหมือนกับจะรู้ว่าต้องได้ใช้มัน ญาดากลับเข้ามาในห้องนั้นอีกครั้งพร้อมกับเงินตามจำนวนค่าปรับ
“เรียบร้อยแล้วครับ คุณพาน้องชายกลับบ้านได้แล้วครับ แล้วบอกน้องด้วยว่าอย่าทำอย่างนี้อีก เพราะถ้ามีครั้งที่สองทางห้างจะไม่ยอมความแล้วนะครับ และถ้าน้องชายของคุณไปก่อเหตุที่ห้างอื่นผมไม่รับรองว่าเขาจะผ่อนปรนแบบห้างนี้หรือเปล่า ทางที่ดีอย่าทำเลยน่าจะดีที่สุดนะครับ” เจ้าหน้าที่วัยกลางคนกล่าวเตือนด้วยความหวังดี ญาดาพนมมือไหว้ก่อนจะขอตัวพาน้องชายกลับบ้าน
คนทำผิดไม่ทุกข์ร้อนอันใดสักนิดเดียว เดินยิ้มออกมาจากห้องอย่างคนอารมณ์ดี ต่างกับสีหน้าพี่สาวที่หมองเศร้า อมทุกข์ เสียดายเงินก้อนนั้นที่สุด พอเดินห่างห้องนั้นมาได้พอประมาณ ญาดาเดินแซงหน้าน้องชาย มายืนดักไว้
“ทำไมต้องทำแบบนี้ล่ะต้อม อยากได้หูฟังทำไมไม่บอกพี่ พี่ซื้อให้ก็ได้ อีกอย่างเงินเดือนเพิ่งออกไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่เอาเงินเดือนซื้อล่ะ” ญาดาอดถามไม่ได้ การลักเล็กขโมยน้อยเป็นนิสัยที่แก้ไม่หายของภมรที่นับวันจะยิ่งมีมากขึ้น ซึ่งเธอเองไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมภมรต้องทำแบบนี้ อีกทั้งเงินเดือนเพิ่งออกเมื่อวานนี้ อยากได้หูฟังก็น่าจะใช้เงินของตัวเองซื้อ ไม่ใช่เสี่ยงขโมยแบบนี้
“พี่เปิ้ลพูดมากจังเลยรู้ไหมมันน่ารำคาญ เป็นพี่สาวนะไม่ใช่แม่ ดุเอาด่าเอา” ภมรหาได้สำนึกในความผิดของตัวเองไม่ กลับแสดงท่าทางรำคาญกับคำพูดคำถามของพี่สาว เดินหนีไปอย่างไม่สนใจใครทั้งสิ้นนอกจากตัวเอง และไม่อยากให้ใครรู้เหตุผลที่แท้จริงที่ตนทำลงไปด้วย
ญาดาเสียใจมาก คำพูดภมรเหมือนมีดกรีดใจเธอ เธอให้ความรัก ความเอาใจใส่ภมรยิ่งกว่าตัวเองเสียอีก ทว่าสิ่งที่ได้รับกลับมาคือความหมางเมินและความรำคาญ มีเพียงน้ำจันทร์เท่านั้นที่คอยปลอบใจ เพราะเธอกับญาดามีสภาพครอบครัวไม่ต่างกัน
ทำทุกอย่างเพื่อครอบครัว...แต่ลืมทำเพื่อตัวเอง
“อย่าคิดมากนะเปิ้ล สำหรับบางคนต่อให้เราทำดีด้วยแค่ไหนก็ไม่เห็นค่า จะเห็นว่าเรามีค่าและเป็นคนสำคัญในวันที่ไม่มีเรา เชื่อน้ำจันทร์เถอะว่า สักวันนึงต้อมจะรู้ว่า ในโลกใบนี้ไม่มีใครรักและหวังดีกับต้อมเท่าเปิ้ล” เป็นอีกครั้งที่น้ำจันทร์ปลอบใจเพื่อน “เอาอย่างนี้ดีกว่า เราพักเรื่องเครียดๆ กันก่อน ไปหาของอร่อยกินกันดีกว่า เยาว์บอกฉันว่า มีร้านขนมจีนเปิดใหม่อยู่ชั้นสาม อร่อยสุดๆ อร่อยจนเหาะได้ เราไปพิสูจน์กันดีกว่านะ มื้อนี้ฉันเลี้ยงเอง”
“น้ำจันทร์มีเงินเหรอ เปิ้ลเลี้ยงเองดีกว่า”
ญาดารู้ดีว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ที่น้ำจันทร์หามาได้ จะถูกบิดาบังเกิดเกล้าเอาไปลงขวดเหล้าเสียส่วนใหญ่ เนื่องจากบิดาของเพื่อนสนิทติดสุราอย่างหนัก ถึงขั้นจะตั้งชื่อลูกสาวคนแรกที่เกิดมาว่าน้ำจัณฑ์ ซึ่งมีความหมายว่าเหล้าหรือสุรา หากแต่ผู้เป็นย่าท้วงติงเพราะความหมายนั้นไม่ดีน่าจะเปลี่ยน บิดาของเพื่อนสนิทเลยเปลี่ยนเป็นชื่อว่าน้ำจันทร์คำพ้องเสียงแทน
“พอมีนิดหน่อย เมื่อวานเงินเดือนออกแอบจิ๊กไว้น่ะ”
น้ำจันทร์ต้องทำอย่างนี้ทุกครั้งที่เงินเดือนออก ไม่เช่นนั้นหญิงสาวจะไม่มีเงินไว้ใช้จ่ายระหว่างไปทำงาน รวมทั้งค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำค่าไฟ และจิปาถะที่จะต้องเสีย ส่วนที่เหลือจึงให้บิดา หากให้บิดาหมดเหมือนแต่ก่อน คนที่บ้านต้องไร้ที่อยู่และอดอาหารกันเป็นแถวแน่
“น้ำจันทร์เก็บไว้เถอะ เปิ้ลเลี้ยงเองดีกว่า”
“ขนมจีนจานละสี่สิบบาทนะไม่ใช่สี่ร้อย ฉันถึงเลี้ยงเปิ้ลไม่ได้ อีกอย่างเปิ้ลเลี้ยงฉันมาหลายมื้อแล้วนะ ให้ฉันเลี้ยงตอบแทนบ้างสิ มันถึงจะแฟร์กัน เราเป็นเพื่อนกันนะ ฉันก็ไม่อยากเอาเปรียบเปิ้ล” น้ำจันทร์ให้เหตุผลที่ญาดาไม่ค้าน “อีกอย่างนะถือว่าเป็นการเลี้ยงลาด้วย วันมะรืนฉันจะเข้ากรุงเทพ”
“ไปกรุงเทพเหรอ ไปทำไม” ญาดาถามด้วยความแปลกใจระคนสงสัย น้อยครั้งนักที่น้ำจันทร์จะห่างบ้าน โดยเฉพาะห่างมารดาที่กำลังป่วย ไม่แปลกที่เธอถามคำถามนี้
“ไปทำงานน่ะ มันอาจเป็นเรื่องบังเอิญ คุณมายด์เป็นลูกสาวเจ้านายเก่าแม่ฉันเอง คุณมายด์มาประชุมที่นี่แล้วบังเอิญเจอแม่ ก็เลยคุยกันตามประสาคนรู้จัก คุณมายด์ก็เปรยเรื่องอยากได้พี่เลี้ยงเด็ก ไปหาหลายที่แต่ไม่ไว้ใจพราะต้องกินนอนที่บ้านคุณมายด์ แม่เลยบอกว่าจะหาให้ แล้วแม่ก็มาบอกฉัน ฉันก็รีบคว้าไว้เลย ให้เงินเดือนดี มีที่นอนที่อยู่ แล้วยังไว้ใจได้ ฉันไม่ทำก็โง่แล้ว”
เงินเดือนจากงานพี่เลี้ยงเด็กสูงกว่าค่าจ้างที่ตนทำอยู่เกือบเท่าตัว น้ำจันทร์บวกลบคูณหารและไตร่ตรองดีแล้วว่า ไปทำงานเป็นพี่เลี้ยงเด็กคุ้มกว่ามาก เธอมีเงินส่งให้ทางบ้านเดือนละหนึ่งหมื่นสามพันบาท
