บทที่ 6 ตอนที่ 6
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกเชนทร์ ที่พ่อซื้อเอาไว้ก็เพื่อที่จะเก็บไว้เป็นสินสอดให้กับหนูม่านทองต่างหาก”
“ไม่เห็นจำเป็นที่คุณพ่อจะต้องลงทุนขนาดนั้นเลยนะครับ”
“จำเป็นสิ ในเมื่อการขยายอาณาเขตของไร่เป็นความหวังเดียวของสุนทรเพื่อนรักของพ่อ”
นัยน์ตาของโกสินทร์ล่องลอยไปในที่ไกลแสนไกลยามเอ่ยถึงเพื่อนรักผู้ล่วงลับจากไปก่อนวัยอันควร
“สุนทรมักจะบอกกับพ่อและวิทวัสอยู่เสมอว่าความหวังเดียวของตัวเองคือการได้ขยายไร่ส้มออกไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”
นี่คงเป็นความสุขเดียวของท่าน และราเชนทร์ก็ไม่อยากจะขัดขวาง ทั้งๆ ที่ไม่ได้เห็นด้วยเลยแม้แต่นิดเดียว
“ผมเข้าใจแล้วครับ”
“ขอบใจมากนะเชนทร์ ที่เข้าใจพ่อ”
ราเชนทร์ยิ้มกว้างให้กับบิดา เขาต้องทำทุกอย่างให้ท่านสบายใจ เพราะสุขภาพของท่านไม่ค่อยจะแข็งแรงเท่าที่ควรนักในช่วงต้นปีนี้
“ผมยินดีทำเพื่อคุณพ่อครับ ผมตกลงจะไปอยู่ที่ไร่ส้มที่พ่อซื้อเอาไว้ แต่มีข้อแม้สองข้อนะครับที่คุณพ่อต้องให้ผม”
โกสินทร์มองบุตรชายด้วยความประหลาดใจ
“อะไรเหรอเชนทร์”
“ข้อแรก คุณพ่อห้ามบอกคนที่ไร่รุจิเรขว่าผมเดินทางไปที่นั่น”
คนฟังพยักหน้ารับ
“พ่อรับปาก”
“ข้อสอง ผมจะเปลี่ยนชื่อไร่ใหม่ตามที่ผมเห็นสมควร”
“ตามใจเชนทร์เลยลูก พ่อให้อภิสิทธิ์เชนทร์เต็มที่ อยากทำอะไร อยากเปลี่ยนอะไรจัดการได้เลย ขอเพียงอย่างเดียวรีบมีหลานให้พ่ออุ้ม”
ดวงตาของโกสินทร์ระยิบระยับไปด้วยความหวัง
“พ่ออยากกอดเลือดเนื้อเชื้อไขของเชนทร์ ก่อนที่พ่อจะเดินทางจากไป”
“คุณพ่อยังอยู่กับผมอีกนานครับ”
“มันไม่มีอะไรแน่นอนหรอกเชนทร์ ดูอย่างแม่ของลูกสิ ปุปปับก็จากพ่อจากเชนทร์ไป”
ความเศร้ากรุ่นอยู่ในน้ำเสียงของบิดาเมื่อความสูญเสียในอดีตย้อนกลับมา ราเชนทร์เองก็เสียใจไม่น้อยไปกว่าบิดา แต่เขาก็เลือกที่จะเข้มแข็งกว่าท่าน
“ผมจะมีหลานให้คุณพ่ออุ้มสักโหลหนึ่งดีไหมครับ”
“หนูม่านทองคงไม่ยอมหรอก”
บิดาจากที่โศกเศร้าอยู่ก็หัวเราะขึ้นมา และนั่นก็ทำให้ราเชนทร์เลือกที่จะพูดให้ห่างไกลจากเรื่องในอดีตให้มากที่สุด
“ว่าแต่คุณพ่อคิดว่าผมพอจะเป็นกรรมกรไร่ส้มได้ไหมครับ”
โกสินทร์ส่ายหน้าโดยไม่ต้องคิดเลยทันที
“ผิวขาวสะอาดสะอ้าน แถมปากก็แดงจัดแบบนี้ ใครจะเชื่อล่ะว่าเป็นกรรมกร... นี่เชนทร์แกล้งพูดให้พ่อขำเล่นเฉยๆ ใช่ไหมเนี่ย”
นัยน์ตาสีดำดุจนิลเนื้อดีของราเชนทร์วาววับขึ้น และเต็มไปด้วยความกระหายที่จะเอาชนะคำสบประมาท
“ผมพูดจริงครับ ผมเนี่ยแหละจะเป็นกรรมกรไร่ส้ม แข่งกับแม่หนูม่านทองของคุณพ่อ”
“เชนทร์ไม่เอาน่า อย่าทำอะไรแผลงๆ เลย พ่อขอร้องล่ะ”
ลางสังหรณ์บอกให้โกสินทร์พอจะเดาความคิดของบุตรชายได้เขาจึงห้ามปรามออกไป แต่เป็นผลเสียที่ไหนล่ะ
“ผมไม่ได้จะทำอะไรสักหน่อยครับ ก็แค่... ไปทำความรู้จักกับว่าที่เจ้าสาวในฐานะกรรมกรไร่ส้มเฉยๆ”
“เชนทร์”
น้ำเสียงของบิดาเต็มไปด้วยความไม่สบายใจจนเขาอดรู้สึกผิดไม่ได้
“ผมสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรให้หนูม่านทองของคุณพ่อต้องเจ็บช้ำน้ำใจครับ จะทะนุถนอมให้เหมือนไข่ในหินเลยครับ”
“พ่อจะเชื่อเชนทร์ได้ไหมเนี่ย”
“เชื่อได้สิครับ ผมเป็นคนรักษาคำพูด คุณพ่อก็รู้ดีนี่ครับ”
ใช่ ตั้งแต่ราเชนทร์เติบโตขึ้นมาลูกชายคนนี้ของเขาไม่เคยผิดคำพูดที่ให้ไว้กับเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว ไม่มีเลยจริงๆ ราเชนทร์รักษาคำพูดเสมอ
“พ่อเชื่อเชนทร์”
“ขอบคุณครับ งั้นเดี๋ยวผมพาคุณพ่อขึ้นห้องนอนนะครับ พรุ่งนี้จะได้ตื่นเช้าๆ มาดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกัน”
เมื่อบิดาพยักหน้ารับราเชนทร์ก็ย่อตัวลงประคองร่างที่อ่อนแรงลงในทุกๆ ปีของบิดาให้ลุกขึ้น และมุ่งหน้าขึ้นไปสู่ชั้นบนซึ่งเป็นห้องนอนช้าๆ ทุกย่างก้าวที่ราเชนทร์ทำลงไปนั้นเต็มไปด้วยความห่วงใยเป็นที่สุด
ม่านทองชะงักเท้ากึก เมื่อด้านหน้ามีผู้ชายวัยรุ่นสามคนยืนเรียงหน้ากระดานขวางอยู่ หญิงสาวกอดหนังสือสองเล่มแนบอก พลางค่อยๆ ก้าวถอยหลังด้วยความขลาดกลัว
“จะไปไหนล่ะน้องสาว”
“อย่า... อย่าเข้ามานะ”
ดวงหน้างามซีดเผือด เม็ดเหงื่อผุดพรายขึ้นเต็มหน้าผากและอุ้งมือทั้งสองข้าง
“ฉัน... ฉันบอกว่าอย่าเข้ามายังไงล่ะ ไม่... ไม่อย่างนั้นฉันจะร้องให้คนช่วย”
แทนที่พวกมันจะกลัว ตรงกันข้ามเพราะพวกมันดันหัวเราะร่วนอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย
“ร้องไปสิครับคนสวย แต่กว่าจะมีคนมาช่วย คนสวยก็มีผัวแล้วสามคนล่ะครับ”
“ไอ้พวกคนหยาบคาย อย่าเข้ามานะ”
เมื่อสถานการณ์ตรงหน้าแย่หนักมากเข้าขั้นเลวร้าย ม่านทองที่ยังอยู่ในชุดนักศึกษาก็หมุนตัวกลับหลังจะวิ่งหนี แต่ก็ทำได้แค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้น นรกก็ฉุดกระชากข้อเท้าให้พลิกหกล้มลงกับพื้นถนนอย่างเหี้ยมโหด
“โอ๊ย...”
พวกมันที่ย่างสามขุมเข้ามาหาหัวเราะชอบใจ
“บอกแล้วว่าหนีไม่รอด มาเป็นเมียพวกพี่ซะเถอะ”
“อย่านะ อย่าทำอะไรฉันนะ”
แม้จะหกล้มคลุกคลานอยู่กับพื้นแต่ม่านทองก็ยังคงถดถอยหนีอย่างสุดความสามารถ หยาดน้ำตาคลอเบ้าด้วยความหวาดกลัว
“พี่สไบจะต้องเล่นงานพวกนาย ถ้านายแตะต้องฉัน”
“นังสไบมันจะช่วยอะไรได้”
พอพูดถึงชื่อสไบนางไอ้สามคนนี้ก็คำรามลั่นด้วยความโกรธแค้น
“ก็เพราะมันไม่ใช่เหรอพวกกูถึงต้องไม่มีที่ซุกหัวนอนแบบนี้”
ม่านทองที่ไม่เคยลงมาคลุกคลีกับไร่ส้มเลยเพราะตัวเองเรียนพยาบาลหนักมากเลิกคิ้วด้วยความแคลงใจ
“พี่สไบไปทำอะไรพวกนาย”
