บทที่ 5 5

เธอหยุดดิ้นโดยอัตโนมัติ รู้สึกยำเกรงหญิงชราผู้นี้อย่างบอกไม่ถูก “วางฉันลงได้แล้ว”

“เอ้า ลงก็ลง” ฝ่ามือใหญ่ตะปบลงที่บั้นท้ายเธอ พร้อมยกร่างหญิงสาวลงที่พื้น

“ว้าย! ไอ้โรคจิต” ปลอบขวัญสะดุ้ง ยกขาเตะวืดไปหาเขา ชายหนุ่มเอนตัวหลบอย่างรู้แกว แล้วจับขาเธอไว้ เท่ากับว่าเธอยืนง้างขาข้างเดียว “กรี๊ด! ปล่อยนะ ฉันจะล้มอยู่แล้ว”

“เอ้า ปล่อยก็ปล่อย” เขาปล่อยมืออย่างว่าง่าย และเธอก็เสียหลักล้มลงก้นจ้ำเบ้าพื้น ขณะที่รชานนท์มองแล้วหัวเราะในลำคอ “อย่าคิดพยศกับผมเชียว ผมไม่ใช่ไอ้ไรโด้ จะได้ยอมเสียท่าให้คุณเตะง่ายๆ”

“ทะเลาะกันตั้งแต่แรกเจอเชียวหรือ ดีๆ ลูกจะได้ดกๆ” เรไรยิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดี ในขณะที่หญิงสาวตะเกียกตะกายลุกไปนั่งคุกเข่าข้างเตียง จับแขนที่มีผิวเหี่ยวย่นอย่างออดอ้อน

“คุณย่าขา ขวัญอยากกลับบ้าน ผู้ชายคนนี้ไปขโมยตัวขวัญมาจากผับแล้วพูดจาไม่รู้เรื่องค่ะ”

“เขาพูดว่ายังไงรึ”

“เขาบอกว่าขวัญกับเขาต้องแต่งงานกันค่ะ”

“อ๋อ...” เรไรครางเสียงยาว แววตาแจ่มใสต่างจากวัยที่ร่วงโรยได้เบนไปมองหลานชายตัวโตที่ยืนห่างออกไปหลายก้าว “ทำไมไปขโมยตัวหนูขวัญมา หืม? น่าจะให้เกียรติว่าที่เมียแกสักหน่อยนะ”

“ก็ขวัญไม่ยอมมากับผมดีๆ นี่ครับ”

“เขา... เขาล่วงเกินขวัญด้วยค่ะ เอ๊ะ... เมื่อกี้คุณย่าว่ายังไงนะคะ ใครเป็นเมียใคร”

“มองหน้าย่าให้ดีๆ สิหนูขวัญ จำย่าไม่ได้เชียวหรือ”

หญิงสาวเพ่งมอง ใบหน้าชราแม้อายุน่าจะไม่ต่ำกว่าแปดสิบห้าปี ทว่าดวงตากลับแจ่มชัดด้วยความปรานี มองๆ ไปก็รู้สึกคุ้น เหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก “เราเคยรู้จักกันด้วยหรือคะคุณย่า”

“คุณนี่อกตัญญูจริงๆ เลยนะขวัญ” เสียงทุ้มค่อนแคะ เธอเหลียวไปมองเขาด้วยดวงตาขุ่นขวาง

“อย่ากล่าวหาฉัน”

“ผมไม่ได้กล่าวหาคุณ แต่คุณย่าเคยรักคุณเหมือนหลานคนหนึ่ง จนถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังรัก บอกให้ผมไปตามหาคุณ แล้วดูคุณสิ... ทำเหมือนไม่รู้จักคุณย่า นี่หรือแม่พิมพ์ของชาติ ถ้าไม่รู้จักสำนึกในบุญคุณคน คุณก็ไม่ควรถูกเรียกว่าอาจารย์”

ปลอบขวัญผุดลุกยืนด้วยใบหน้าแดงก่ำ นึกโกรธที่โดนตำหนิไปถึงอาชีพ ผู้ชายคนนี้ยิ่งใหญ่มาจากไหนถึงกล้าต่อว่าเธอด้วยถ้อยคำเจ็บแสบ “คนอย่างฉันไม่เคยมุสา ถ้าฉันเคยรู้จักคุณย่า ฉันก็คงบอกตามตรงแล้วว่ารู้จัก คุณดีแต่ว่าฉันไม่สมควรถูกเรียกอาจารย์ แล้วคุณละคะ... ลักพาตัวผู้หญิงมา แถมยังถือวิสาสะล่วงเกินในที่สาธารณะอีก คนอย่างคุณสมควรถูกเรียกว่าลูกผู้ชายได้อีกเหรอ”

ชายหนุ่มหน้าร้อน หรี่ตาลงเล็กน้อย สันกรามขบเข้าหากันเพื่อสะกดกลั้นโทสะที่เริ่มพุ่งสูง

“ถ้างั้นคุณกล้าพูดหรือเปล่าว่าสมัยเด็ก คุณไม่เคยเป็นเด็กกำพร้าแล้วมีผู้หญิงแก่ๆ ส่งเสียจนคุณได้เป็นครูจนถึงทุกวันนี้! ปฏิเสธมาสิขวัญว่าสิ่งที่ผมพูดมามันไม่ใช่ความจริง!”

ปลอบขวัญนิ่งงันเหมือนโดนค้อนทุบหัวจนพร่าเบลอ น้อยคนนักที่จะรู้ปูมหลังของเธอ... ชีวิตที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ความลำบากที่ได้รับมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย มีหรือที่เธอจะจำไม่ได้

พี่เลี้ยงในสถานกำพร้าเล่าให้ฟังว่าพ่อแม่เธอน่าจะเป็นวัยรุ่นใจแตก ฝ่ายชายไม่รับ ฝ่ายหญิงจึงนำทารกแรกเกิดมาทิ้งไว้ที่ถังขยะหน้าตลาดสดในยามค่ำคืน เคราะห์ดีที่ตอนเช้ามีคนมาพบ และเธอยังมีชีวิตอยู่ แม้ว่าตามตัวจะเต็มไปด้วยมดที่ไต่กัดเนื้ออ่อนๆ จนเป็นรอยแดงจ้ำก็ตาม

เธอเติบโตที่สถานสงเคราะห์ มีเพื่อนเล่นวัยเดียวกันหลายสิบคน ใช้ชีวิตอย่างเป็นระเบียบ ถึงเวลานอนต้องนอน ถึงเวลาเล่นได้เล่น ถึงเวลากินก็กิน แต่ทว่า... ไม่เคยได้รับความอบอุ่นจากพ่อแม่

คนแปลกหน้าใจบุญแวะมาแจกของเล่น จับเธอขึ้นอุ้มไม่กี่นาทีก็วางลง จากนั้นวันต่อมาก็เป็นคนอื่นๆ ที่ไม่คุ้นหน้า แวะเวียนมากอดเธอ

กอดชั่วประเดี๋ยวแล้วจากไป

เธอจึงไม่เคยรู้จักความอบอุ่นที่แท้จริง

ชีวิตเธอยังดีอยู่บ้างที่มีคนสนใจส่งเสียจนเรียนจบครู แต่เธอจำหน้าคนที่อุปการะเธอไม่ได้ เพราะเมื่อสามปีที่แล้วได้เกิดอุบัติเหตุ สมองได้รับความกระทบกระเทือน ความทรงจำบางส่วนได้ขาดหาย

โชคดีที่ความรู้ที่ร่ำเรียนมายังคงฝังลึกไม่ลบเลือน แต่โชคร้ายที่เธอจำหน้าผู้มีพระคุณไม่ได้...!

“คนที่ส่งฉันเรียนจนจบคือคุณย่าหรือคะ” ปลอบขวัญถามเหมือนละเมอ หญิงชรายิ้ม... แววตาเปี่ยมความปรานี

“พอสิ้นสามี ย่าไปอยู่เชียงใหม่ อยู่บ้านหลังเล็กๆ อย่างที่นึกฝันมาตั้งแต่วัยสาว พวกลูกหลานอยู่กรุงเทพกันหมด ย่าเหงานะ

... ถึงได้ไปทำบุญกับเด็กกำพร้าบ่อยๆ ย่าเห็นหนูแล้วถูกชะตา แต่ไม่สามารถรับหนูมาเลี้ยงดูที่บ้านได้ เพราะกฎของสถานสงเคราะห์ที่หนูอยู่น่ะ... คนที่มีคุณสมบัติรับเด็กไปได้จะต้องมีครอบครัวอบอุ่น แต่งงานแล้ว แต่ย่าไม่ตรงตามเกณฑ์ เลยทำได้แค่ส่งเงินให้หนูเรียนจนจบปริญญาตรี คอยไปหาหนูเดือนละครั้ง แต่หลังๆ มานี่ ย่าสุขภาพไม่ดี ไปหาหนูไม่ค่อยได้ แต่ก็ส่งเงินให้ตลอดไม่เคยขาด วันที่หนูรับปริญญา ย่าก็ไม่มีโอกาสได้

บทก่อนหน้า
บทถัดไป