บทที่ 9 9
“ชื่อไรโด้ฟังดูเหมือนทอมบอย มันเลยมีนิสัยห้าวๆ ฉันว่าควรเปลี่ยนชื่อให้มันฟังดูเป็นผู้หญิงมากกว่านี้”
“ผมเรียกไรโด้จนติดปากแล้ว”
“ถือเป็นการแก้เคล็ดไงคะ ให้ฉันเรียกมันด้วยชื่อใหม่คนเดียวก็ได้”
“คุณจะเรียกมันว่าอะไร”
“อืม...” ปลอบขวัญลากเสียงในลำคอ ดูเหมือนไรโด้จะสัมผัสได้ถึงลางร้าย เพราะมันขยับขาถอยหนีห่างจากเธอ แววตาหวั่นหวาด “ชื่อ...” เธอชี้หน้ามันแล้วประกาศก้อง ดวงตาพราวระยับ “ชื่อสมหญิงก็แล้วกัน เผื่อจะเรียบร้อยขึ้นบ้าง”
ไรโด้หน้าผงะเริด ก่อนเห่าเสียงขรม ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ “มันไม่ชอบชื่อที่คุณตั้งให้น่ะสิ”
“อะไรกัน ออกจะเพราะ”
“รัญชน์” เสียงแหลมสูงเรียกจากทางเบื้องหลัง เมื่อทุกคนหันไปมองก็พบสตรีวัยกลางคนสวมชุดเดรสสีครีมหรู ที่แขนซ้ายมีกระเป๋าถือราคาหกหลักคล้องอยู่ “แม่จะไปห้างสักเดี๋ยว”
“อ้อ... ครับ”
“แม่จะให้โจ้ขับรถไปส่ง”
“ได้ครับ”
“จะให้ปลอบขวัญไปเลือกซื้อของเป็นเพื่อนด้วย”
“หืม... ให้ขวัญนี่นะ ผมคิดว่า...”
“ฉันจะไปเป็นเพื่อนคุณป้าเองค่ะ” หญิงสาวโพล่งขึ้น ขณะที่รอยยิ้มประหลาดผุดขึ้นตรงมุมปากจำเรียง
“ดี พร้อมจะไปเลยหรือเปล่า หรือจะเปลี่ยนชุดก่อน” ถามพลางกวาดตามองเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
“เสื้อยืด กางเกงยีนคล่องตัวดี ไม่เปลี่ยนหรอกค่ะ”
“อยู่กินข้าวก่อนสิครับ แล้วค่อยไป”
“ไว้ไปกินเซ็นทรัล” จำเรียงตอบบุตรชาย ก่อนจะพูดกับปลอบขวัญว่า “ชุดนี้ดีแล้ว เหมาะกับคนบ้านๆ อย่างเธอดี”
“จริงหรือคะ” หญิงสาวทำหน้าซื่อ ตาใส “อย่าหาว่าขวัญช่างวิจารณ์เลยนะคะ แต่ชุดที่คุณป้าใส่ ออกจะไม่เหมาะสักเท่าไหร่”
“ทำไม”
“เดรสรัดรูปเหมาะกับคนตัวบางอย่างคุณป้าก็จริง แต่ว่าคุณป้าเป็นคนมีหน้าท้องนะคะ ใส่ชุดแบบนี้รัดพุงตุ่ยกลมป๊อกเหมือนคนท้องห้าเดือนเลยค่ะ”
“ต๊าย!” จำเรียงตบอกผาง หน้าเป็นสีเข้ม “พูดอะไรของเธอน่ะ”
“แค่พูดตามความเป็นจริงเท่านั้นเอง ขวัญหวังดีกับคุณป้านะคะ กลัวคนอื่นจะมองว่าคุณป้ากำลังท้อง ถึงได้เตือน”
จำเรียงชักจะไม่มั่นใจในตัวเอง ก้มลงมองหน้าท้องตัวเองก็ชักจะคล้อยตามว่าที่ลูกสะใภ้ “ฉันไม่ได้แคร์คำพูดเธอหรอกนะ แต่ใส่ชุดนี้รู้สึกว่ายังสวยไม่พอ ฉันจะไปเปลี่ยนชุดก่อน”
“เชิญเลยค่ะคุณป้า” หญิงสาวค้อมตัวลง ผายมือเป็นเชิงล้อเลียน
“ฮึ!” สะบัดเสียงใส่ ก่อนจะเดินหันหลังกลับ
ปลอบขวัญมองตามก้นจำเรียงแล้วแอบหัวเราะขำ ช่วงนั้นเองที่ไรโด้ถือโอกาสช่วงเธอเผลอ พุ่งเข้าหา เอาลำตัวมหึมากระแทกเธอเต็มแรง
“ว้าย!” เพราะไม่ทันตั้งตัว ร่างบางจึงเซถลาปะทะรชานนท์จนล้มไปด้วยกัน... เธอนอนทับอยู่บนตัวเขา ใบหน้าห่างกันเพียงคืบจนรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ของอีกฝ่าย
“โอ๊ะ!” ชายหนุ่มเบิกตากว้าง ความตระหนกในตอนแรกเปลี่ยนเป็นความรู้สึกบางอย่างที่ซึบซาบสู่หัวใจ... ก้อนเนื้อตรงอกซ้ายกระหน่ำรัว เขามองหน้าหวานที่ประกอบด้วยเครื่องหน้าจิ้มลิ้มปราศจากเครื่องสำอางราวกับคนละเมอ
เธอไม่ใช่คนสวยผุดผาดบาดตา แต่เธอเป็นคนน่ารัก มองแล้วไม่รู้สึกเบื่อ ในทางตรงข้าม... เขากลับอยากมองแบบนี้ไปนานๆ หรือทุกวันได้ยิ่งดี
รชานนท์ตกใจความคิดตัวเอง ทำไมจู่ๆ ถึงอยากเห็นหน้าเธอตลอดไป เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ!
“ต๊ายตาย หล่อนจะทำอะไรลูกชายฉันยะ” จำเรียงหันกลับมาดู ทันทีที่เห็นหนุ่มสาวนอนจ้องตากันบนผืนหญ้า เธอก็ถึงกับโมโห ปราดเข้ามาดึงแขนปลอบขวัญให้ลุกขึ้น “ยั่วยวนผู้ชายกลางวันแสกๆ หล่อนนี่หน้าด้านจริงๆ ลุกเดี๋ยวนี้นะ!”
“คุณแม่ครับ มันเป็นอุบัติเหตุ” ชายหนุ่มพยายามอธิบาย
“อุบัติเหตุอะไรกัน มุกนี้แม่เห็นในละครบ่อย มันจงใจยั่วแกชัดๆ ตารัญชน์ แม่บอกแล้วไงว่ามันคือว่าที่ลูกสะใภ้ที่แม่ไม่ต้องการ ยังไงแม่ก็ไม่ยอมให้แกกับมันได้กันเด็ดขาด”
ถ้อยคำดูถูกทำให้ปลอบขวัญชักเลือดขึ้นหน้า เธอขืนตัวไว้ ไม่ยอมลุกตามแรงฉุดดึง ซ้ำยังสะบัดแขนออกจากมือหญิงวัยกลางคน แล้วจับบ่าแกร่งของรชานนท์ไว้ จากนั้นก็...
จุ๊บ
เธอจูบแก้มสากระคายที่มีไรหนวดเคราเขียวจางๆ ตามด้วยเสียงหวานที่เอ่ยกระซิบ
“ขอโทษนะคะที่รัก สมหญิงมันแกล้งฉัน ขอบคุณที่คุณกลัวฉันเจ็บตัวจนถึงกับเอาตัวเองมาเป็นเบาะรอง ขอบคุณจริงๆ ที่ยอมเจ็บตัวเพื่อฉันนะคะ”
“เอ่อ...” ชายหนุ่มอึ้ง พูดอะไรไม่ออก ขณะที่เธอลุกยืนแล้วดึงเขาให้ลุกตาม แล้วยืนเคียงข้างกอดแขนเขาไว้ พูดกับจำเรียงที่โกรธจนหน้าดำหน้าแดงว่า
“คุณป้าคะ ถึงขวัญจะเป็นสะใภ้ที่คุณป้าไม่ต้องการ แต่ลูกชายคุณป้าน่ะต้องการขวัญไปเป็นเมียนะคะ ไม่งั้นคงไม่ยอมเข้าพิธีแต่งงานง่ายๆ แบบนี้หรอก!”
