บทที่ 2
เศษเสี้ยวความทรงจำในคืนนั้นพรั่งพรูเข้ามาในหัว ชัดเจนทุกรายละเอียดจนน่าอัปยศอดสู ภาพห้องพักในโรงแรมที่หมุนคว้างเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่มากเกินไป สองมือแข็งแรงของเขาที่บีบข้อมือฉันตรึงไว้เหนือศีรษะ วิธีที่เขาคำรามว่า “มองฉันสิ” ขณะที่เขาขยับกายเข้ามาในตัวฉัน ฉันอ้อนวอนไม่ให้เขาหยุด เขาบังคับให้ฉันเรียกชื่อเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกระทั่งเสียงของฉันแหบแห้ง การยอมจำนนอย่างสมบูรณ์แบบที่ฉันไม่เคยประสบพบเจอมาก่อนและไม่เคยเจออีกเลยนับจากนั้น วิธีที่เขาครอบครองร่างกายของฉันทุกตารางนิ้วจนฉันไม่เหลืออะไรเลยนอกจากความรู้สึกและแรงปรารถนา ใบหน้าของฉันร้อนผ่าวด้วยความอัปยศขณะที่ฉันจ้องมองพื้น อยากจะให้ตัวเองหายตัวไปจากตรงนั้น
ได้โปรดอย่าพูดอะไรเลยนะ ได้โปรดอย่าทำให้ฉันต้องอับอายต่อหน้าทุกคน
เดเมียนยืนอยู่ตรงหน้าฉันนานราวกับชั่วนิรันดร์ การมีอยู่ของเขาช่างน่าอึดอัดจนหายใจไม่ออก ฉันรู้สึกได้ถึงดวงตาสีเข้มของเขาที่กำลังสำรวจฉัน จับสังเกตทุกแรงสั่นสะท้าน ทุกสัญญาณของการจดจำได้ หญิงสาวคนอื่นๆ ยังคงทำงานของพวกเธอต่อไปรอบตัวเรา แต่ฉันตระหนักได้อย่างชัดเจนว่าเราคือจุดสนใจ หรือพูดให้ถูกก็คือ เขาคือจุดสนใจ และฉันเป็นเพียงแค่สิ่งที่ติดอยู่ในวงโคจรของเขา
ในที่สุดเมื่อเขาเอ่ยปาก น้ำเสียงของเขาก็ทุ้มต่ำและราบเรียบ “คืนนี้เรามีธุระสำคัญ ห้ามใครรบกวนการประชุมส่วนตัวที่ชั้นบน”
ความโล่งใจแล่นปราดเข้ามาในตัวฉันอย่างกะทันหันจนแทบจะโซซัดโซเซ เขาจะไม่แฉฉัน อย่างน้อยก็ไม่ใช่ที่นี่ ไม่ใช่ตอนนี้
แต่ความโล่งใจของฉันก็อยู่ได้ไม่นาน
“อ่า แต่ว่าพี่ชาย” น้ำเสียงของวีโต้แทรกผ่านอากาศมาราวกับคมมีด “แน่นอนว่าเราคงต้องการความบันเทิงสำหรับค่ำคืนอันยาวนานแบบนี้บ้างสิ?”
ดวงตาของเขากวาดมองไปทั่วเหล่าหญิงสาวที่รวมตัวกันอยู่ราวกับนักล่าที่กำลังเลือกเหยื่อ
พนักงานต้อนรับที่เจนจัดกว่าหลายคนรีบแสดงท่าทีกระตือรือร้นทันทีเมื่อเห็นโอกาส มีการขานชื่อ และหญิงสาวที่ถูกเลือกก็รีบก้าวไปข้างหน้าด้วยความกระฉับกระเฉงอย่างที่ฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ความประหม่าก่อนหน้านี้ของพวกเธอถูกแทนที่ด้วยเสน่ห์อย่างมืออาชีพ
แล้วสายตาของวีโต้ก็มาหยุดอยู่ที่ฉัน
“สวยพอตัว” เขาพึมพำ “แถมยังมีของดีอีกต่างหาก” ดวงตาของเขาไล่มองส่วนโค้งส่วนเว้าของฉันด้วยความชื่นชมอย่างไม่ปิดบัง “แต่ขาด...ความเจนจัดไปหน่อย พวกพี่ว่าไงล่ะ? เฟเดริโก้คงเห็นด้วยกับข้า แต่เดเมียน...” เขาหยุดเว้นจังหวะอย่างจงใจ “เดเมียนอาจจะชอบแบบนี้ก็ได้ เพราะพี่เก่งเรื่องการฝึกทุกอย่างอยู่แล้วนี่นา” รอยยิ้มของเขาเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มของนักล่า “บางที...อาจจะรวมถึงผู้หญิงด้วย”
เลือดในกายฉันเย็นเฉียบ ฉันอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเดเมียน อ้อนวอนเขาในใจว่าอย่าทำลายศักดิ์ศรีเพียงน้อยนิดที่ฉันมีเหลืออยู่เลย
“เจ้าพูดถูกเผงเลย วีโต้” น้ำเสียงของเขาเหมือนกำลังสนทนาเรื่องทั่วไป เกือบจะน่าเบื่อด้วยซ้ำ “ข้าค่อนข้างมีฝีมือในการฝึกอะไรต่อมิอะไร โดยเฉพาะการจัดการเรื่องวุ่นวายที่เจ้าก่อไว้ และเก็บกวาดตามหลังพวกไร้ความสามารถที่รกโลก”
คำสบประมาทนั้นได้ผล วีโต้หน้ามืดทะมึนลงทันที มือของเขาขยับไปทางเสื้อนอกอย่างสัญชาตญาณ “แก—”
แต่เดเมียนขยับตัวแล้ว เขาเดินผ่านพวกเราทุกคนไปด้วยท่วงท่าลื่นไหลสง่างามของนักล่าโดยสันดาน การมีอยู่ของเขาครอบงำทั้งห้องแม้ในขณะที่เขากำลังมุ่งหน้าไปยังบันได ทิ้งพวกเราทุกคนไว้เบื้องหลังโดยไม่เหลียวมองอีก
ขอบคุณพระเจ้า ลมหายใจที่ฉันกลั้นไว้เล็ดลอดออกมาอย่างสั่นเทา ฉันไม่เคยต้องการรับใช้เดเมียน คาวาเลียรี ไม่เคยต้องการอยู่กับเขาตามลำพังในห้องอีกเลย เขาเป็นเหมือนสัตว์ป่าที่ตีตราฉัน ครอบครองฉันในแบบที่ฉันไม่อยากจะจดจำ วิธีที่เขาทำให้ฉันอ้อนวอน วิธีที่เขาปลดเปลื้องเกราะป้องกันทุกอย่างของฉันออกไป...จนกระทั่งฉันไม่เหลืออะไรเลยนอกจากแรงปรารถนาและการยอมจำนนภายใต้มือของเขา...
ฉันตัวสั่นขึ้นมาพลางกอดตัวเองไว้แน่น
“คนอื่นทำงานต่อข้างล่างตามปกติ” เอนโซประกาศ เสียงของเขาแทรกเข้ามาในความคิดที่กำลังสับสนวุ่นวายของฉัน
เยี่ยมไปเลย ฉันรับมือลูกค้าปกติได้สบายอยู่แล้ว พวกนักธุรกิจที่อยากมาผ่อนคลาย หรือนักท่องเที่ยวที่อยากสัมผัสชีวิตกลางคืนแบบ ‘อิตาเลียนแท้ๆ’ แค่เสิร์ฟเครื่องดื่มง่ายๆ พูดคุยอย่างสุภาพ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น หลังจากความหวาดผวาที่เกือบจะถูกเลือกไปเป็นความบันเทิงให้พี่น้องคาวาเลียรี การได้ทำงานธรรมดาๆ แบบนี้ก็เหมือนพรจากสวรรค์
ฉันโถมตัวเองเข้าสู่วงจรงานที่คุ้นเคย ทั้งรับออเดอร์ เสิร์ฟเครื่องดื่ม และเก็บโต๊ะ งานซ้ำซากจำเจพวกนี้ช่วยให้ฉันสงบลงได้ และเป็นครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์ที่ฉันรู้สึกเกือบจะเป็นปกติ เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ทำงานหาเงินไปจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้น้องสาว ไม่มีอะไรซับซ้อน ไม่มีอะไรอันตราย
แล้วเสียงปืนนัดหนึ่งก็ทำลายภาพลวงตานั้นจนแตกสลาย
เสียงนั้นดังลั่นราวกับฟ้าผ่า แล้วก็ตามมาด้วยเสียงที่สองในทันที ฉันกรีดร้องออกมาโดยไม่รู้ตัว ทำถาดที่ถืออยู่หลุดมือ แก้วหลายใบแตกกระจายเกลื่อนพื้นขณะที่ความโกลาหลปะทุขึ้นรอบตัว
“หมอบลง!” ใครคนหนึ่งตะโกน
“นั่นมันเสียง...?”
“ข้างบน!”
พนักงานต้อนรับคนอื่นๆ ร้องไห้กันระงม บางคนพุ่งไปหลบหลังบาร์ บางคนก็ยืนตัวแข็งทื่อด้วยความกลัว ส่วนฉันยืนนิ่งเป็นอัมพาตอยู่กลางร้าน จ้องมองเพดานราวกับจะมองทะลุขึ้นไปให้เห็นห้องส่วนตัวด้านบนได้
เสียงฝีเท้าหนักๆ ดังตึงตังลงมาจากบันได ชายสองคนที่ฉันไม่รู้จักปรากฏตัวขึ้น พวกเขากำลังหิ้วบางอย่าง... ไม่สิ ใครบางคน... อยู่ระหว่างกลาง เป็นร่างของผู้หญิงที่อ่อนปวกเปียก เลือดซึมผ่านชุดเดรสสีขาวของเธอจนกลายเป็นรอยด่างสีแดงฉานที่ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ
เธอแทบจะไม่ได้สติ ศีรษะของเธอห้อยพับไปมาขณะที่พวกเขาเร่งฝีเท้าผ่านพวกเราไปยังทางออกด้านหลัง ในชั่วแวบเดียวที่ฉันเห็นใบหน้าของเธอ ฉันก็จำได้... วาเลนตินา หนึ่งในสาวๆ ที่มีประสบการณ์มากที่สุด คนที่ทำงานที่นี่มานานหลายปีแล้ว
ตอนนี้ลูกค้าในบาร์หลักต่างตื่นตระหนกกันอย่างเต็มที่ บางคนเรียกร้องหาคำตอบ บางคนก็รีบจ่ายเงินเงียบๆ แล้วเผ่นออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครอยากอยู่ที่นี่ตอนตำรวจมา... ถ้าหากว่าตำรวจจะมาน่ะนะ
“เธอคงไปทำให้พวกเขาโกรธแน่ๆ” ใครคนหนึ่งกระซิบอยู่ข้างหลังฉัน
“พวกคาวาเลียรีพกปืนตลอดเวลาอยู่แล้ว”
“ผู้ชายพวกนี้ไม่ใช่นักธุรกิจธรรมดาๆ นะ พวกเขาเป็นมาเฟีย! ก้าวพลาดแค่ก้าวเดียวก็เหมือนร้องขอความตายแล้ว น่าสงสารจริงๆ”
“ฉันพนันได้เลยว่าเป็นเดเมียนที่ลั่นไก เขาไม่เคยปรานีใคร”
คำคาดเดาต่างๆ นานาหมุนวนรอบตัวฉันราวกับยาพิษ ทุกคำกระซิบยิ่งเพิ่มความน่าสะพรึงกลัวให้กับเหตุการณ์ ขาของฉันอ่อนแรงจนต้องคว้าโต๊ะที่อยู่ใกล้ที่สุดไว้เพื่อพยุงตัว
เกิดอะไรขึ้นข้างบนนั้น วาเลนตินาทำอะไรผิดไป
คำถามเหล่านั้นตอกย้ำอยู่ในหัวของฉันขณะที่เอนโซรีบวิ่งลงบันไดมา ใบหน้าของเขาซีดเผือดแต่ก็ยังดูมุ่งมั่น เขาเคลื่อนตัวผ่านผู้คนในร้านอย่างรวดเร็ว พูดกับลูกค้าที่ยังเหลืออยู่ด้วยน้ำเสียงต่ำและเร่งรีบ พร้อมกับทำท่าทางให้ทุกคนสงบลง
แล้วสายตาของเขาก็มองมาเจอฉันซึ่งอยู่อีกฟากของห้องที่กำลังวุ่นวาย
“อาเรีย” น้ำเสียงของเขาดังแทรกเสียงจอแจเข้ามาด้วยอำนาจที่ไม่อาจปฏิเสธได้ “ข้างบนคนไม่พอ เธอขึ้นไปกับฉัน”
เลือดทุกหยดราวกับเหือดหายไปจากใบหน้าของฉัน “อะไรนะคะ”










































































































