บทที่ 7 เรียกแม่สิ
ฉัตรนลินทร์หันไปมองสบตาของศิวัฒน์อีกครั้ง คราวนี้ทั้งสองเหมือนคนที่ต้องมนต์สะกด ไม่มีใครละสายตาจากใครเพราะต่างก็มองลึกเข้าไปในดวงตาของกันและกัน จนเกิดรอยยิ้มบาง ๆ ขึ้นบนใบหน้าของคนทั้งสอง
“นั่นแหละครับ สวยมากครับ...เจ้าบ่าวขยับหน้าเข้าไปอีกนิดครับ...ดีครับ...เจ้าสาวเอามือคล้องคอเจ้าบ่าวครับ...ดีครับ”
และแล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
“เอ่อ...” ช่างภาพได้แต่อ้าปากค้าง แต่เพราะความเป็นมืออาชีพ เขาก็ยังกดชัตเตอร์รัว ๆ
“อื้อ...” ตาคู่กลมเบิกโพรงด้วยความตกใจ เมื่อเธอโดนศิวัฒน์ประกบจูบลงไปบนกลีบปากสีแดงสดของเธอโดยที่เธอเองก็ไม่ทันได้ตั้งตัว
“คุณไตรใจเย็นก่อนค่ะ” ฟาร่ารีบร้องห้าม
นั่นแหละศิวัฒน์ถึงจะมีสติ เขาดันตัวเธอออกห่างจากตัวก่อนจะเช็ดปากของตัวเอง นึกสับสนตัวเองว่ากำลังทำอะไรลงไป ส่วนฉัตรนลินทร์เธอรีบหันหลังให้ศิวัฒน์ทันที
“มาค่ะคุณฉัตร ดูสิลิปเลอะหมดแล้วเดี๋ยวฟาร่าเช็ดให้นะคะ”
ฟาร่าจูงมือฉัตรนลินทร์ไปนั่งตรงที่พัก ก่อนจะบรรจงเช็ดรอยลิปให้เธอ เพียงไม่นานศิวัฒน์ก็ตามไปนั่งลงข้าง ๆ เพื่อให้ช่างจัดการรอยลิปบนหน้าให้เขา
ฉัตรนลินทร์ปรายตามองนิดหนึ่งก่อนที่เธอจะสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อเรียกสติของตัวเองออกมา เธออยากโวยวายกับเขา แต่เพราะไม่มีใครรู้ว่าเธอกับเขาไม่ใช่คนรักกัน ดังนั้นเธอจึงทำได้แค่นิ่ง
แต่กลับมีหนึ่งคนที่รู้เรื่องราวนี้ดี ฉากจูบเมื่อครู่ทำเธอแอบบฟินไม่น้อย และเธอก็ทันได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายพอดี จึงส่งภาพนี้ไปให้ศศิณี เพราะเธอได้รับทิปพิเศษจากศศิณีให้ดูแลฉัตรนลินทร์เป็นอย่างดีตั้งแต่การตัดชุดไปจนถึงถ่ายพรีเวดดิ้ง ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในร้านวันนั้นก็ไม่รอดพ้นจากศศิณีแน่นอน...
กว่าการถ่ายภาพพรีเวดดิ้งจะผ่านไปได้ ก็เล่นเอาช่างภาพเหงื่อตก เพราะหลังเหตุการณ์นั้นฉัตรนลินทร์ก็ระวังตัวมากขึ้น จนดูไม่เป็นธรรมชาติ จนฟาร่าต้องแอบไปกระซิบบอกช่างถ่ายรูปว่าทั้งคู่เพิ่งคบกันไม่นาน เพราะแม่ของฝ่ายชายหาลูกสะใภ้เอง ทำให้เจ้าสาวเขินมากกว่าคู่บ่าวสาวทั่วไป
“ขึ้นรถสิ” ศิวัฒน์เปิดกระจกเรียนคนที่ยังยืนอยู่
ที่ฉัตรนลินทร์ไม่ยอมขึ้นรถ เพราะเธอรู้ดีว่าศิวัฒน์ก็คงใช้มุกเดิม แล้วทิ้งเธอไว้ที่ไหนสักแห่งสู้เธอไม่ขึ้นไปเลยตั้งแต่แรกดีกว่า
"ไม่ดีกว่าค่ะ”
“ฝนจะตกแล้ว ไม่สบายอยู่ไม่กลัวโดนฝนหรือไง”
“คุณรู้ได้ไง”
“ขึ้นมาเถอะไม่ต้องถาม”
ตอนเช้าที่ออกมาเขาได้ยินแม่ของฉัตรนลินทร์ถามเรื่องยา แล้วตอนที่ยืนถ่ายรูปด้วยกันตัวของฉัตรนลินทร์ก็ยังอุ่น ๆ อีก เขาเลยคิดว่าเธอคงจะไม่สบาย แผนของเขาจึงต้องพับเก็บไว้ก่อน
เมื่อเงยหน้าขึ้นไปเห็นท้องฟ้ามืดครึ้มเหมือนว่าฝนกำลังจะตก ฉัตรนลินทร์จึงตัดสินใจขึ้นรถ เธอไม่อยากตากฝนเพราะพรุ่งนี้เธอต้องขับรถกลับกรุงเทพไปทำงานต่ออีก
เธอนั่งรถไปด้วยใจระทึก ลุ้นอยู่ตลอดว่าเขาจะจอดตรงไหน และในที่สุดเขาก็ขับมาส่งเธอจนถึงบ้าน
“ขอบคุณค่ะ” เธอกล่าวขอบคุณก่อนลงจากรถไป
ศิวัฒน์มองตามจนเธอเข้าบ้านไปในบ้าน อยู่ ๆ ภาพเหตุการณ์วันนี้ก็ผุดขึ้นมาในหัว เขาเอามือแตะปากตัวเองเบา ๆ แต่แล้วก็ต้องสะบัดหน้าไปมาสองสามครั้งเพื่อขับไล่ความคิด แล้วขับรถออกไป
ก่อนงานแต่งหนึ่งสัปดาห์ ศศิณีบังคับให้ลูกชายไปรับฉัตรนลินทร์มาทานข้าวที่บ้าน เพราะเธอรู้มาว่าทุกครั้งที่ให้ลูกชายตัวดีพาว่าที่ลูกสะใภ้ของเธอออกไปรับประทานอาหารนอกบ้าน ศิวัฒน์ไม่เคยพาฉัตรนลินทร์ไปถึงร้านอาหารเลยสักครั้ง
“มาแล้วเหรอลูก” ทันทีที่เห็นหน้าว่าที่ลูกสะใภ้เธอก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันตา จนคนที่เดินตามหลังมาต้องขมวดคิ้ว
แม่ของเขานับวันหายใจเข้าหายใจออกก็เป็นฉัตรนลินทร์เข้าไปทุกที
“สวัสดีค่ะคุณป้า”
“ป้าอะไรกันล่ะอีกอาทิตย์เดียวก็แต่งเข้าบ้านนี้แล้ว เรียกแม่สิ”
“เอ่อ”
“อย่ามาทำเป็นอาย ทั้ง ๆ ที่เธอไม่มียางอาย”
เพี๊ยะ!!
“ตาไตร ทำไมว่าน้องแบบนั้น” เพราะอยู่ใกล้ ๆ มือ เธอเลยฟาดไปที่ต้นแขนของลูกชายหนึ่งที
“ก็จริงนิแม่ แม่ไม่รู้เหรอขนาดผมบอกว่ามีแฟนแล้ว เธอยังยืนยันจะแต่งกับผม”
“ทำดีมากลูก” เธอหันมาชมว่าที่ลูกสะใภ้
“แม่ ผมเป็นลูกแม่นะ”
“หึ อย่าให้ฉันรู้นะว่าแกพูดไม่ให้เกียรติหนูฉัตรต่อหน้าคนอื่น ฉันก็จะไม่ไว้หน้าแกเหมือนกัน” เธอยื่นคำขาดกับลูกชาย “ไปเถอะลูกวันนี้แม่เข้าครัวเองเลยนะ”
“นี่ขนาดยังไม่ทันแต่งนะ เธอมันร้ายกาจกว่าที่ฉันคิดมากเลยฉัตรนลินทร์” เขาบ่นคนเดียวเบา ๆ ก่อนจะเดินตามทั้งคู่ไป
“หนูนั่งตรงนี้นะลูก” ศศิณีพูดพลางขยับเก้าอี้ให้ลูกสะใภ้ จนฉัตรนลินทร์ต้องรีบแย่งขยับเอง
“ขอบคุณค่ะ”
“เอาใจกันเข้าไป”
“หุบปากของแกไป ถ้ายังอยากกินของร้อนได้” ศศิณีหันไปแหวใส่ลูกชาย
ถ้าไม่เกรงใจศศิณี ฉัตรนลินทร์อยากจะหัวเราะออกมาดัง ๆ แต่ถ้าทำแบบนั้นก็จะถูกมองว่าไม่มีมารยาท เธอเลยทำได้แค่อมยิ้ม แต่ถึงยังไงก็ไม่รอดพ้นสายตาของศิวัฒน์ เขาจึงเอามือชี้หน้าเธอ พอเห็นศศิณีมองมาเขาก็รีบเอามือลง
