บทที่ 9 งานแต่ง
“พอเถอะเกล ใจเย็นหน่อยนะ”
เมื่อเห็นว่าเกวลินโกรธจนพูดเพ้อเจ้อออกมาเขาเลยปล่อยแขนฉัตรนลินทร์แล้วหันมาสนใจเกวลิน
“พี่จะให้เกลใจเย็นเหรอ มันกำลังแย่งพี่ไปจากเกลนะ”
“ไม่มีใครแย่งพี่ไปได้หรอก เพราะพี่รังเกียจเธอจะตายเกลก็รู้” เขาพูดเสียงดังฟังชัด
“เกลเชื่อค่ะ พี่ชอบพูดให้เกลฟังทุกคืน” เธอเข้าไปซบอกของเขาอย่างออดอ้อน
สิ้นประโยคของเกวลิน ฉัตรนลินทร์ก็เดินออกมาจากตรงนั้นโดยไม่สนใจเสียงเรียกของศิวัฒน์
ฉัตรนลินทร์รู้สึกอับอายเป็นที่สุด ตั้งแต่เกิดมาเธอไม่เคยอับอายอะไรถึงขนาด ถึงเวลานั้นไม่มีใครสามารถปกป้องเธอได้นอกจากตัวเธอเอง ดังนั้นก็อย่าหวังพึ่งใคร เธอสัญญากับตัวเองว่าเธอจะหลีกเลี่ยงการไปไหนมาไหนกับผู้ชายคนนี้ให้มากที่สุด
วันแต่งงานเป็นอีกวันที่ฉัตรนลินทร์รู้สึกตื่นเต้นไม่น้อยไปกว่าวันสำคัญที่ผ่าน ๆ มาของเธอ แม้จะไม่ใช่การแต่งงานที่เต็มใจกันทั้งสองฝ่ายก็ตาม
ช่วงเช้าเป็นพิธีหมั้นและรดน้ำสังฆ์ หญิงสาวที่อยู่ในชุดไทยช่างสวยสง่าจนแขกที่มาร่วมงานต่างก็พากันชื่นชมไม่ขาดปาก ซึ่งพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าทั้งคู่ดูเหมาะสมกันมาก
เมื่อถึงเวลาที่ทั้งคู่ต้องจดทะเบียนสมรสกันต่อหน้าแขกที่มาร่วมงาน ทุกคนต่างพากันชื่นชมและยินดีให้กับคู่บ่าวสาว แต่ไม่รวมไปถึงหญิงสาวคนหนึ่งที่เธอนั่งมองพลางกำหมัดแน่น น้ำตาที่มันคลอหน่วยทำให้เธอต้องกักเก็บมันไว้ เธอจะปล่อยให้มันไหลออกมาตอนนี้ไม่ได้
“ตาไตร” ศศิณีก้มลงไปเรียกชื่อลูกชายเบา ๆ “รีบ ๆ เซ็นเข้า”
“ทำไมต้องจดทะเบียนด้วยครับ” ศิวัฒน์หันไปกระซิบ “เดี๋ยวก็ต้องหย่า”
“นี่ปากแกเหรอ” ศศิณีกัดฟันพูด “เซ็นซะ อย่าให้ฉันต้องใช้ไม้ตาย”
ศิวัฒน์จำใจจรดปลายปากกาลงไปเพื่อเซ็นชื่อในใบสำคัญสมรสนั้น ขณะที่เขาวางปากกาลงสายตาของเขาก็มองไปยังคนรักที่นั่งปาดน้ำตาอยู่ เขาห้ามเธอแล้วว่าอย่ามาแต่เธอก็ไม่เชื่อฟัง ถึงจะเป็นแบบนั้นเขาก็เขารู้สึกสงสารเธอจับใจ แต่เพราะเงื่อนไขบ้า ๆ นี้ เขาเลยหลีกเลี่ยงไม่ได้ หวังว่าเธอคงจะเข้าใจเขา
“หนูฉัตรเซ็นเลยลูก”
ฉัตรนลินทร์ก็ไม่ได้อิดออด เธอจรดปลายปากกาลงไปอย่างไม่ลังเล มาถึงตอนนี้ไม่มีอะไรที่ต้องกังวลอีกแล้ว ต่อไปเธอจะเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฏหมายของเขาโดยทางนิตินัยเท่านั้น
หลังเสร็จพิธีในตอนเช้า เจ้าบ่าวและเจ้าสาวก็มีเวลาพักผ่อนก่อนจะถึงเวลาที่ช่างแต่งหน้านัดไว้
“พี่ไตร”
“ไม่ร้องนะครับ” ศิวัฒน์เกลี่ยน้ำตาที่หยดลงมาบนแก้มของคนตรงหน้าอย่างแผ่วเบา
“เกลปวดใจมากเลยค่ะ”
“พี่บอกแล้วว่าอย่ามา”
“เกลอยากมาให้เห็นกับตา ว่าพี่ไม่ได้เต็มใจ”
“พี่ก็สัญญาแล้วไง ว่าหลังจากนี้พี่จะทำทุกทางให้เธอหย่า”
“ให้เกลช่วยนะคะ”
“คืนนี้รอพี่ที่ห้องนะ ห้ามลงไปพี่ไม่อยากให้เกลเสียใจเลย”
“เกลรักพี่ไตรนะ” เธอกอดเอวสอบของเขาไว้อย่างหวงแหน
“พี่ก็รักเกลครับ”
ทั้งสองกอดกันกลมอยู่ตรงทางบันไดหนีไฟโดยไม่สนใจว่าจะมีใครผ่านมาเห็น...
แกร๊ก!!
หญิงสาวตัวเล็กที่อยู่ในชุดเดรสผ่าข้าง โชว์ให้เห็นขาเรียวสวยเดินเข้าไปในห้องที่มีช่างแต่งหน้ากำลังรุมแต่งตัวเจ้าสาว เธอหยุดยืนอยู่ด้านหลังแล้วมองเจ้าสาวคนสวยกำลังหลับตาพริ้มให้ช่างเติมแต่งสีสันลงไป
“พี่พลอย” ทันทีที่เธอลืมตาขึ้นมา ผู้หญิงที่ยืนอยู่ด้านหลังทำให้เธอยิ้มกว้างออกมา “มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”
พลอย หรือพลอยชมพู เธอคือพี่สาวที่ฉัตรนลินทร์สนิทด้วยที่สุด ทั้งคู่สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน สาขาเดียวกัน แต่เพราะเธอไปเรียนต่อที่ต่างประเทศทำให้ทั้งคู่ห่างหายกันไปพักใหญ่
“น้องสาวแต่งงานทั้งที ก็ต้องกลับมาร่วมแสดงความยินดีสิจ๊ะ” เธอยิ้มอ่อน ๆ ให้ฉัตรนลินทร์
เมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมาเธอได้รับข้อความจากฉัตรนลินทร์ว่ากำลังจะแต่งงาน เธอก็แปลกใจว่าใครกันนะที่จะโชคดีได้เป็นเจ้าบ่าวของน้องสาวที่น่ารักคนนี้ เมื่อฉัตรนลินทร์บอกว่าเป็นใครด้วยความเป็นห่วงน้องสาว เธอเลยให้สามีที่อยู่เมืองไทยไปสืบมาให้ เธอจะรู้สึกดีใจยิ่งกว่านี้หากเธอไม่ไปได้ยินอะไรบางอย่างมา
“นั่งรอก่อนนะคะ คงจะใกล้เสร็จแล้ว”
“แล้วเจ้าบ่าวล่ะ”
“คงจะลงไปด้านล่างแล้วค่ะ”
ขณะถามพลอยชมพูก็สังเกตสีหน้าของฉัตรนลินทร์ไปด้วย เธอมันใจว่าน้องสาวของเธอฉลาดพอที่จะไม่ยอมให้ผู้ชายคนไหนหลอกง่าย ๆ แต่ที่เธอไม่เข้าใจคือทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเขามีแฟนอยู่แล้ว ทำไมเธอถึงยอมแต่งงานด้วย
ถึงเวลาที่เจ้าสาวแต่งตัวเสร็จและพร้อมสำหรับงานในค่ำคืนนี้ พิธีฉลองมงคลสมรสถูกจัดขึ้นอย่างสมฐานะของศศิณี เพราะเธอเป็นคนจัดการเองทั้งหมดตั้งแต่ธีมงานรวมไปถึงชุดของคู่บ่าวสาว
“รู้มั้ยว่าคืนนี้น้องสาวของพี่สวยมากเลย” เธอเอ่ยชมเจ้าสาวไม่ขาดปาก
“ขอบคุณนะคะที่มา”
“แล้วไม่บอกใครที่มหาลัยเลยเหรอ”
“ไม่อยากรบกวนใครเลยค่ะ ต้องเดินทางมาไกลด้วย”
“นิสัยนี้แก้ไม่หายเลยนะ” เธอเอ็ดน้องสาวเบา ๆ
“ตั้งแต่มาพี่ยังไม่เจอเจ้าบ่าวเลย”
“เดี๋ยวก็คงมามั้งคะ” ฉัตรนลินทร์ตอบแบบไม่ใส่ใจมากนัก
