บทที่ 67 67
เขาแค่แสดงออกว่าห่วงใยเธอ ซึ่งเขาก็คงหวังผลให้เธอมีลูกให้เขา เขาใจร้ายมาก หลอกให้เธอรักแล้วจะพรากลูกไปจากอกของเธอ เขาช่างใจดำเหลือเกิน คิดว่าเธอเห็นแก่เงิน เธอไม่ได้ต้องการสักนิด เขาหวังแค่ให้เธอเป็นแม่พันธุ์ผลิตลูก
ปิ่นปัทมานึกสะท้อนในอก ลูบท้องตัวเองไปมาอย่างหวงแหน ทั้งเศร้าใจเสียใจกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น เธอไม่มีวันยอมให้ใครมาพรากลูกไปจากอกของเธอแน่นอน
“ลูกจ๋า... แม่คงทนไม่ได้ถ้าจะต้องจากหนูไป แม่จะพาหนูไปด้วย จะเลี้ยงหนูให้ดีที่สุด แม่ขอโทษที่ทำให้หนูกำพร้าพ่อ แต่แม่ทนไม่ได้ ทนไม่ได้จริงๆ" ”เธอสะอึกสะอื้นเจียนจะขาดใจ รู้สึกอดสูกับชะตาชีวิตของตัวเอง
ที่เธอไม่เคยเรียกร้องการแต่งงานเพราะคิดว่าการแต่งงานไม่มีค่ามีความหมายอะไร นอกจากหัวใจที่มั่นคง บางคนมีงานแต่งงานใหญ่โต แต่ก็ต้องเลิกรากันไป ที่เธอไม่เคยขอให้เขาพาเธอไปจดทะเบียนสมรสก็เพราะคิดว่า มันเป็นแค่กระดาษแผ่นเดียว เธอไม่อยากผูกมัดเขาแบบนั้น ถึงแม้ไม่มีทะเบียนสมรสเธอก็ยังเชื่อใจว่าเขาจะดูแลเธอกับลูกไปตลอด ถึงจะมีทะเบียนสมรสก็ยังเลิกกันได้ถ้าใจของคนเราเปลี่ยนไปแล้ว
ปิ่นปัทมารู้สึกเศร้าใจเหลือเกินเธอรู้สึกหมดความศรัทธาในความรักอย่างไม่น่าเชื่อ หมดความศรัทธาในตัวของนวลแข เธอคิดว่าท่านเป็นญาติผู้ใหญ่ที่เมตตา แต่ท่านกลับเลือดเย็นจะเอาเงินฟาดหัวเธอ เพื่อพรากลูกไปจากอก ท่านทำได้ยังไง และยิ่งเป็นเขมชาติ เขาทำได้ยังไง หรือเขาไม่มีหัวใจจริงๆ เขายังฝังใจรักแต่ผู้หญิงคนนั้น เธอควรจะตื่นได้แล้ว ที่เขาดีกับเธอ ดีเหลือเกิน เหมือนหน้ามือกับหลังมือ ไม่เหมือนคราแรกที่อยู่ด้วยกันเพราะเธอท้อง ที่เขาคอยให้เธอกินอาหารที่มีประโยชน์ เขาอยากให้ลูกในท้องของเขาได้กินต่างหาก ไม่ใช่เธอ ที่เขาเล่านิทาน ร้องเพลงให้ฟัง เขาก็ทำเพื่อลูกของเขา ให้ลูกสดใสร่าเริง ที่เขาไม่ให้เธอทำอะไร เพราะกลัวลูกในท้องจะกระทบกระเทือน
ปิ่นปัทมาปิดปากร้องไห้สะอึกสะอื้น เธอรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวที่หัวใจดวงน้อย เหมือนเข็มนับพันๆ เล่มทิ่มเข้ามาจนเป็นเผลอเหวอะหวะ รู้สึกน้อยใจในโชคชะตาของตัวเอง น้อยใจคนเป็นมารดาเลี้ยง
แม้เธอจะให้อภัยรัตนา และคิดว่าอีกฝ่ายกลับตัวกลับใจ แต่ครั้งนี้มันเกินไปจริงๆ ท่านเห็นเธอเป็นอะไร ไม่มีชีวิตจิตใจหรืออย่างไรกัน แถมยังไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้เธอฟังเลยสักครั้ง
เมื่อทุกอย่างเปิดเผยว่าเธอต้องมาเป็นเมียของเขมชาติถึงจะปลดหนี้สินได้ เธอก็คิดว่าคงเป็นเรื่องแค่นั้นไม่มีเงื่อไขใดอีก แต่สุดท้ายก็มีเงื่อนไขว่าเป็นเมียจนถึงวันที่คลอดลูกให้เขา ให้เขาพรากลูกไปจากเธอ แล้วเอาเงินฟาดหัวเธอไปไกลๆ เหมือนเธอไม่มีชีวิตจิตใจ
ปิ่นปัทมาเช็ดน้ำตาที่อาบแก้มนวล พยายามหยุดร้องไห้ แล้วบอกตัวเองให้เข้มแข็ง เธอเงยหน้าขึ้นมองด้านบนให้น้ำตาไหลย้อนกลับ เมื่อทุกอย่างเป็นปกติแล้วจึงกดโทรหามารดาเลี้ยง เธออยากถามให้แน่ใจถึงเรื่องนี้ กดโทรไปครั้งแรกไม่มีคนรับ จึงใจเย็นโทรไปอีกครั้ง ในขณะที่โทรหัวใจก็เต้นแรง ที่รัตนาไม่รับในคราแรกก็ทำให้เธอร้อนใจ แต่ก็โล่งใจที่จะได้ฟังคำตอบ
หัวใจของเธอว้าวุ่นไปหมด น้ำตาแทบรินไหลออกมาอีกครั้ง ในชีวิตของเธอเคยร้องไห้ไม่กี่ครั้งที่เสียใจหนักๆ ตอนมารดาเสียชีวิตเท่านั้น เธออดทนและเข้มแข็งเสมอ แต่คราวนี้หัวใจของเธอเหมือนมันจะแหลกเหลว แข้งขาแทบหมดแรงยืนไม่ไหว อยากจะกรีดร้องและระบายความอัดอั้นที่เกิดขึ้น
เสียงรอสายสิ้นสุดลงเมื่อคนปลายสายรับโทรศัพท์ น้ำเสียงกระหืดกระหอบของอีกฝ่ายบ่งบอกว่าวิ่งมารับโทรศัพท์จากที่ไหนสักแห่ง
“สวัสดีค่ะน้ารัต” ปิ่นปัทมานึกทึ่งที่ตัวเองพูดออกไปโดยไม่มีเสียงสะอื้นเลยสักนิด เธอเข้มแข้งขึ้นมาได้เพราะคิดถึงลูก ลูกเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตของเธอ ณ เวลานี้ เธอจะไม่ยอมให้ผู้ชายใจร้ายอย่างเขมชาติ และป้าของเขาพรากสิ่งที่เธอรักที่สุดในชีวิตไปจากเธอ
“ปัทหรือจ๊ะ มีอะไร น้าขอโทษที่มารับโทรศัพท์ช้า พอดีวันนี้กำลังจัดการกับผักแปลงใหม่อยู่จ้ะ น้าปลูกผักเยอะแยะเลยนะ คนเดี๋ยวนี้ชอบทานผักผลไม้และรักสุขภาพกันมาก โดยเฉพาะผักปลอดสารพิษ เอาไปขายได้เงินหลายตังค์อยู่จ้ะ น้าน่ะมีความสุขมากๆ เห็นยายปลายมีความสุข น้าเองก็มีความสุข ปัทด้วยนะ หนูเองก็กำลังจะมีข่าวดี น้าต้องเตรียมตัวอุ้มหลานแล้วสินะ”
คนปลายสายพูดมายาวยืดอย่างมีความสุข รัตนาทำงานเล็กๆ น้อยๆ เพราะไม่ต้องเดือดร้อนเรื่องเงิน ชานนท์จัดการค่าใช้จ่ายให้ตามสมควร และให้ท่านทำกิจกรรมผักผ่อนหย่อนใจหรือไปเที่ยวได้อย่างที่ใจต้องการ
“น้ารัตดูมีความสุขมากนะคะ” ปิ่นปัทมารู้สึกขมปร่าในลำคอ เธอกำโทรศัพท์แน่นจนมือชื้นเหงื่อ
“น้ามีความสุขมาก ต้องขอบใจปัทกับปลายมากที่ทำให้น้ามีวันนี้ เดี๋ยวนี้น้าหันไปปฏิบัติธรรมที่วัดด้วยนะจ๊ะ มีเพื่อนมากมาย ได้คุยได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ดีหลายอย่างเลยจ้ะ”
“ดีแล้วค่ะ” ปิ่นปัทมานึกสะท้อนในอก .
“ปัทมีอะไรจ๊ะ น้ำเสียงหนูเหมือนไม่ค่อยดีเลย มีอะไรไม่สบายใจคุยกับน้าได้นะ ถึงน้าจะเป็นแม่เลี้ยงที่ไม่ดีนัก แต่น้าก็อยากทำอะไรให้หนูบ้าง” ประโยคของรัตนาทำให้ปิ่นปัทมาอยากจะร้องไห้ อยากทำอะไรเพื่อเธออย่างนั้นเหรอ ท่านคิดแบบนั้นจริงๆ ใช่ไหม ถึงได้ส่งเธอมาเป็นนางบำเรอเขมชาติ แล้วรวมหัวกับนวลแขจะพรากลูกไปจากอกเธอ
“เรื่องสัญญาที่หนูต้องมาทำงานใช้หนี้ให้คุณนวลแขน่ะค่ะ”
“ทำไมจ๊ะ มีอะไรให้น้าช่วยหรือเปล่า” รัตนาน้ำเสียงร้อนใจ เรื่องนี้ยังทำให้นางรู้สึกผิดกับลูกเลี้ยงมาจนถึงทุกวันนี้
“จริงๆ แล้วน้ารัตไม่ได้ส่งปัทมาเป็นเมียคุณเขมใช่ไหมคะ แต่ส่งมาผลิตลูกให้เขา พอมีลูกด้วยกัน ก็จะพรากลูกไปจากอกของปัท” ปิ่นปัทมาถามกลับ เธอพยายามกลั้นน้ำเสียงตัวเองไม่ให้ร้องไห้
“ปัทรู้เรื่องนี้แล้วเหรอจ๊ะ น้าขอโทษจริงๆ แต่ที่ไม่บอกเพราะคิดว่าคุณเขมดูรักปัทดีนะจ๊ะ...” และรัตนาก็พูดอะไรอีกยาวยืด ปิ่นปัทมายกมือขึ้นปิดปากตัวเอง เธอไม่ได้สนใจฟังคำแก้ตัวของปลายสายเลยสักนิด มือบอบบางค่อยๆ วางโทรศัพท์ลงบนแป้น แล้วเดินขึ้นห้องพักของตัวเองอย่างเลื่อนลอย เธอเจ็บยอกแสลงในอกไปหมด คนที่เธอไม่เคยทำร้ายอะไรเลยกลับทำกับเธอได้อย่างเลือดเย็น
หญิงสาวมองรอบห้องนอนของเขมชาติด้วยสายตาสะท้อนไปด้วยความเจ็บปวด ตอนแรกที่มาอยู่ที่นี่จำได้ว่าเขาขืนใจเธอ ให้เธอนอนในห้องเล็กๆ อีกห้อง อยากมาหาตอนไหนก็มา ตอนเธอท้องนั่นแหละเขาถึงได้พาเธอมานอนห้องนี้ เธอก็หลงคิดไปว่าเขารักเธอ แต่ที่ไหนได้ เขาก็แค่อยากให้ลูกของเขานอนสบายบนเตียงกว้างๆ ไม่ใช่ในห้องแคบๆ อีกห้องหนึ่งเท่านั้น
“ฮึกๆ ฮือๆๆ” ปิ่นปัทมารู้สึกว่าภาพตรงหน้าพร่ามัวไปหมด เธอมองไม่เห็นอะไรเลย หญิงสาวร้องไห้จนพอใจก็ปาดน้ำตาทิ้ง เธอเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบกระเป๋าใบเล็กๆ เก่าๆ ที่เคยซุกเอาไว้ในลิ้นชักด้านหนึ่ง กระเป๋าใบเล็กๆ ราคาถูกที่เหมาะกับคนไร้ค่าไร้ราคาอย่างเธอ เธอเก็บของใช้ส่วนตัวที่จำเป็น เสื้อผ้าสวยๆ ราคาแพงที่เขมชาติซื้อให้ เธอไม่แตะมันด้วยซ้ำ
ที่เขาซื้อเสื้อผ้าสวยๆ ให้เธอใส่ก็แค่อยากเอาใจเพื่อหวังผล เธอไม่ได้อยากได้ข้าวของแพงๆ เครื่องประดับไร้ค่าพวกนี้ แหวนเพชรน้ำงามที่นิ้วนางข้างซ้าย
