บทที่ 1 เฉินหว่านอิ๋ง (๑)

ค่ายทหารแคว้นเยี่ยน รัชศกเทียนหนี่ ปีที่สอง

เศษดินทรายที่เต็มพื้นสนาม กลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งทั่วสนามรบ ซากศพจำนวนมากกองสูงดั่งภูผา ปรากฏร่างของนักรบหนุ่มในชุดเกราะสีน้ำเงินเข้มบนหลังอาชาสีดำสนิท กำลังควบตะบึงเหยียบซากศพทหารแคว้นเสวี่ยที่เสียชีวิตจำนวนมาก เนื่องจากการสู้รบที่เกิดขึ้นในดินแดนนี้

‘หวังซานเย่’ ชินอ๋องผู้เป็นแม่ทัพพิชิตทักษิณแห่งแคว้นเยี่ยน เกรียงไกรเหนือผู้ใด ไม่ว่าเขาปรากฏกายที่ใดล้วนมีแต่กลิ่นอายสังหารแผ่ออกมา ใบหน้าหล่อเหลาบัดนี้เปื้อนไปด้วยเขม่าควันและเศษฝุ่นผงที่ลอยปลิดปลิวมาตามอากาศ นัยน์ตาสีนิลดุจพญาอินทรีย์กำลังจ้องมองไปยังทิศเบื้องหน้า ‘แคว้นเสวี่ย’ ที่เขาสามารถพิชิตมาได้ในระยะเวลาเพียงเจ็ดวัน

บัดนี้ซากศพของกองทัพแคว้นเสวี่ยถูกกองสุมรวมกันดั่งขุนเขา บริเวณหน้าประตูวังหลวง กองทัพทหารแคว้นเยี่ยนจำนวนมากต่างตั้งทัพให้ชินอ๋องผู้เป็นนายควบอาชามาตรงกลางเข้าสู่วังหลวงแคว้นเสวี่ยอย่างสง่างาม

สายตาคมกริบของหวังซานเย่กวาดมองไปรอบๆ ทิศ ราวกับจะสำรวจซากบ้านเมืองที่ปรักหักพัง เบื้องหน้าเขาเมื่อก้าวเข้ามาวังหลวงคือฮ่องเต้แห่งแคว้นเสวี่ยที่คุกเข่ายอมจำนนต่อชินอ๋องผู้นี้ หวังซานเย่หรือหวังชินอ๋องไม่ยอมลงจากหลังอาชาของตน แม้ว่าฮ่องเต้แคว้นเสวี่ยจะมีพระชนมายุเทียบเท่าบิดาของตน

ด้านข้างกันนั้นคือรัชทายาทแคว้นเสวี่ยที่ยังไม่มีทีท่ายอมจำนน ทว่ากลับถูกทหารของหวังชินอ๋องกดไหล่ทั้งสองให้นอนราบกับพื้น สายตาคมกริบนั้นกวาดมองเชื้อพระวงศ์ทั้งสองอย่างเย็นชา ประกายสายตามีแต่ความโหดเหี้ยมอำมหิตยามมองกบฏทั้งสองคนนี้

“ถึงพวกเจ้าจะทำลายแคว้นเสวี่ยของข้าได้ แต่พวกข้าก็ไม่ยอมจำนนเด็ดขาด!” ฮ่องเต้แคว้นเสวี่ยกล่าววาจาประกาศกร้าวชัดเจน ส่วนองค์ชายใหญ่ซึ่งเป็นรัชทายาทนั้นกลับไม่มีทีท่ายอมจำนนง่ายๆ เขายังคงมองหวังซานเย่ด้วยสายตาอำมหิตระคนโกรธแค้น

หวังซานเย่มองสองพ่อลูกด้วยสายตาอำมหิต อ๋องหนุ่มนึกขันในใจ ฮ่องเต้แคว้นเสวี่ยและรัชทายาทต่างไร้ซึ่งคุณธรรม ไม่ยอมส่งบรรณาการให้แคว้นเยี่ยนในฐานะเมืองขึ้นยังไม่พอ ยังหาทางลักลอบซ่องสุมไพร่พลกับพวกแคว้นเยวี่ยหลุนอย่างลับๆ เพื่อหมายก่อสงครามกับแคว้นเยี่ยน อีกทั้งในยามที่เกิดสงครามเช่นนี้ พวกเขาได้แต่เก็บซ่อนตัวอยู่ในวังหลวง ไม่ยอมออกมาเจรจาสงบศึก อีกทั้งยังส่งแม่ทัพนายกองมาเป็นด่านหน้าจนต้องล้มตายมากมาย แม้กระทั่งราษฎรที่ต่างเข้ามาขอความช่วยเหลือก็ถูกทอดทิ้งอย่างไม่ไยดี คนเช่นนี้หากปล่อยเอาไว้เกรงว่าในภายภาคหน้าอาจกลายเป็นหอกข้างแคร่ในอนาคตได้

เมื่อคิดถึงผลที่อาจจะตามมา หวังชินอ๋องดึงคมกระบี่ออกจากฝักก่อนจะควบอาชาบั่นศีรษะของฮ่องเต้แคว้นเสวี่ยและรัชทายาทอย่างรวดเร็ว

ศีรษะของฮ่องเต้แคว้นเสวี่ยและรัชทายาทบัดนี้กองกระเด็นกลิ้ง

หลุนๆ อยู่บนพื้น โลหิตไหลนองไปทั่วอาณาบริเวณนั้น ก่อนที่หวังซานเย่จะเก็บคมกระบี่เข้าฝักตามเดิมและทหารของฝ่ายตนโบกธงแคว้นเยี่ยนเพื่อประกาศชัยชนะ

ในการศึกสงครามนี้มีสาเหตุเนื่องมาจากว่าทางหน่วยสอดแนมที่คอยสอดส่องในแต่ละแคว้นที่เป็นเมืองขึ้นของแคว้นเยี่ยน ต่างลอบส่งรายงานสถานการณ์ของแต่ละแคว้นมาที่เมืองหลวงทุกสัปดาห์ตามพระบัญชาของหวังลู่ฮ่องเต้ ผู้เป็นพระเชษฐา  ซึ่งนั่งครองบัลลังก์เป็นโอรสสวรรค์องค์ปัจจุบัน จนกระทั่งพบว่าแคว้นเสวี่ยไม่มีการส่งเครื่องบรรณาการมาหลายครั้ง อีกทั้งยังลักลอบติดต่อพวกแคว้นเยวี่ยหลุนเพื่อซ่องสุมไพร่พลและอาวุธจำนวนมาก

แคว้นเยวี่ยหลุนเป็นแคว้นใหญ่ที่อยู่ทางทิศเหนือ เดิมทีแผ่นดินจงหยวนเคยรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน จนกระทั่งเกิดมหานครฉางอันขึ้นมาซึ่งเป็นศูนย์กลางของทั้งแผ่นดิน การทำสงครามแย่งชิงเพื่อครอบครองฉางอันจึงเกิดขึ้นอย่างดุเดือด ในการนั้นส่งผลกระทบให้รัชทายาทแคว้นเยวี่ยหลุนต้องสิ้นพระชนม์ในสนามรบ อีกทั้งพระธิดาองค์น้อยที่ประสูติได้ไม่กี่วันก็ต้องหายสาบสูญไป จึงเหลือเพียงพระชายาหลี่กับรัชทายาทองค์ปัจจุบันที่เป็นบุตรชายเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ทางแคว้นเยวี่ยหลุนกับแคว้นเยี่ยนจึงไม่ลงรอยกันเสมอมา ด้วยเพราะทางฮ่องเต้แคว้นเยวี่ยหลุนโทษความผิดทุกอย่างให้กับชาวเยี่ยน เนื่องจากเป็นต้นเหตุที่ทำให้พระโอรสเพียงองค์เดียว ซึ่งเป็นรัชทายาทต้องสิ้นพระชนม์ อีกทั้งองค์หญิงน้อยที่ประสูติได้เพียงไม่กี่วันกลับต้องหายสาบสูญไปยี่สิบปี!

“นำศีรษะของพวกมันไปเสียบประจานที่หน้าประตูเมือง เพื่อให้พวกแคว้นบรรณาการทั้งหลายได้ตระหนักชัดถึงความผิดของการคิดกบฏครั้งนี้!” สิ้นคำสั่งของหวังชินอ๋อง ถังลู่หลินซึ่งเป็นองครักษ์คนสนิทก็นำศีรษะและร่างที่ไร้วิญญาณของอดีตฮ่องเต้แคว้นเสวี่ยและองค์รัชทายาทไปเสียบประจานที่หน้าประตูเมืองทันที

แม้ว่าภาพเหตุการณ์นี้จะน่าสยดสยองมากเพียงใด เสียงร่ำไห้ของเด็ก สตรีและคนชราจะดังระงมไปทั่ว แต่กลับไม่ทำให้ชินอ๋องผู้นี้สงสารแต่อย่างใด เขาหันหลังตะบึงอาชากลับค่ายอย่างรวดเร็ว โดยไม่หันมามองเหล่าเด็ก สตรีและคนชราที่ร่ำไห้รายทางเลยแม้แต่นิดเดียว

บทถัดไป