บทที่ 13 เการั่วซี (๒)
ส่วนทางด้านหวังซานเย่นั้นเมื่อเดินทางมาถึงวังหลวง สถานที่แรกที่เขาไปก็คือตำหนักของพระมารดาในวังหลัง ซึ่งแน่นอนว่าทุกครั้งที่เขาจะเดินทางไปตำหนักของหลินไท่เฟย จำเป็นจะต้องผ่านตำหนักของเการั่วซีเสียก่อน ซึ่งนางและสกุลเกาเป็นสตรีที่เขาเกลียดแสนเกลียด หากเขาไม่มีแผนการล้มล้างสกุลเกา อย่างไรเสียก็ไม่มีวันแสร้งทำตนมอบใจให้เกาอี้เหรินเด็ดขาด!
ทว่าสตรีที่เขาแสนชังกลับมาปรากฏตรงหน้า!
‘เกาอี้เหริน’ น้องสาวของเการั่วซีขานเรียกชื่อเขาพร้อมกับเดินเข้ามาด้วยกิริยาอันเชื่องช้าดูแล้วสง่างามยิ่ง หญิงสาวเดินมาพร้อมกับนางกำนัลของหลินไท่เฟยจำนวนหนึ่ง พลางยอบกายคารวะอย่างนอบน้อมต่อชายหนุ่มที่ตนรัก เกาอี้เหรินยิ้มอ่อนหวานราวกับหยกที่น่าทะนุถนอม
“ท่านอ๋องเสด็จกลับมาแล้ว อี้เหรินดีใจยิ่งนักเพคะ” เกาอี้เหรินก้มหน้าพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานและท่วงท่าอันอ่อนช้อย
หวังซานเย่กุมมือสตรีขึ้นมาอย่างทะนุถนอม พลางสิ่งยิ้มให้อย่างรัก
ใคร่ “ข้าเองก็ดีใจเช่นกัน แต่ว่า...วันนี้มีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ?”
“ไท่เฟยทรงทราบว่าท่านอ๋องจะเสด็จกลับมาวันนี้ จึงทรงมีรับสั่งให้จัดงานเล็กๆ ภายในตำหนักและได้เชิญเหล่าสตรีชั้นสูงมาจำนวนหนึ่งเพคะ” เกาอี้เหรินตอบด้วยท่าทีเหนียมอายยามที่ความอบอุ่นจากฝ่ามือหนาแผ่ซ่านเข้ามาในกายนาง
หวังซานเย่ยิ้มให้นางอย่างโปรยเสน่ห์จนสตรีเคลิบเคลิ้ม “งั้นเจ้าไปเข้าเฝ้าเสด็จแม่พร้อมข้าเถิด”
สำหรับในความคิดของเกาอี้เหรินนั้นการที่หวังซานเย่ทำเช่นนี้ ไม่ต่างจากประกาศให้บรรดาสตรีพวกนั้นรู้ว่านางคือว่าที่พระชายาเอกแห่งวังชินอ๋องผู้เกรียงไกร แต่ว่าเรื่องเช่นนี้นับเป็นเรื่องดีต่อนางยิ่งนัก เพราะการที่หวังซานเย่รักนางมากเพียงนี้ เป็นการบอกสตรีพวกนั้นกลายๆ ว่า ตำแหน่งพระชายาเอกคือของเกาอี้เหรินแห่งสกุลเกาเท่านั้น
หลังจากนั้นหวังซานเย่ก็พาเกาอี้เหรินเข้าไปคำนับพระมารดาในตำหนัก เหล่าบรรดาสตรีทั้งหลายได้แต่มองคุณหนูคนเล็กของสกุลเกาด้วยสายตาริษยา โดยเฉพาะเฉินรั่วหลานที่หมายปองตำแหน่งพระชายาเอก แม้ว่าก่อนมาที่นี่มารดาจะเกลี้ยกล่อมให้นางรับตำแหน่งพระชายารองไปก่อน แต่ว่าเมื่อประสบพบพระพักตร์ของหวังชินอ๋อง ความรู้สึกที่อยากอยู่เหนือสตรีทั้งเมืองนั้นบังเกิดขึ้นมาในหัวใจบุตรีเจ้ากรมพระคลังเช่นตน
“เย่เอ๋อร์มาพอดีเลย มานี่สิแม่จะพาเจ้าแนะนำบรรดาคุณหนูเหล่านี้” หลินไท่เฟยพึงพอพระทัยในตัวเกาอี้เหรินไม่น้อย แต่ว่าบุรุษนั้นหาใช่จะมีภรรยาเดียวได้ ต่อให้เกาอี้เหรินจะตบแต่งเป็นพระชายาเอก อย่างน้อยตำแหน่งพระชายารองก็ไม่ควรว่างลง พระนางหมายใจอยากหาสตรีอีกสองคนที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมเป็นพระชายารอง เพื่อช่วยเป็นฐานอำนาจสนับสนุนโอรสของตนในอนาคต
หลินไท่เฟยพาหวังซานเย่แนะนำกับเหล่าบรรดาคุณหนูจากแต่ละตระกูลจนมาถึงเฉินรั่วหลาน
“หม่อมฉันเฉินรั่วหลาน ขอถวายพระพรท่านอ๋องเพคะ” เฉินรั่วหลานยืนขึ้นอย่างเรียบร้อย นางก้มศีรษะยอบกายทำความเคารพหวังซานเย่พลางส่งสายตาหวานเชื่อมให้กับเขาอย่างปิดไม่มิด
“วันนี้น้องสาวเจ้าไม่มาด้วยหรือ” หลินไท่เฟยทราบมาว่าเฉินรั่วหลานมีน้องสาวอีกคนหนึ่งนามว่าเฉินหว่านอิ๋ง ซึ่งเพิ่งพ้นวัยปักปิ่นไปเมื่อไม่นานมานี้ แน่นอนว่าคำถามนี้ทำให้เฉินรั่วหลานไม่พอใจอย่างยิ่ง แต่เมื่ออยู่ต่อเบื้องพระพักตร์ชินอ๋องที่ตนหมายปองเช่นนี้ ย่อมไม่สมควรแสดงกิริยาที่ไม่เหมาะสม
เฉินรั่วหลานยิ้มแห้งๆ ตอบ
“พอดีว่าหว่านอิ๋งนางไม่ค่อยสบายน่ะเพคะ วันนี้หม่อมฉันก็เลยมาแทน”
หลินไท่เฟยมองเฉินรั่วหลานด้วยสายตาราบเรียบก่อนจะเดินผ่านตรงหน้าไป ทิ้งให้สตรีแซ่เฉินยืนนิ่งค้างก่อนจะนั่งลงท่ามกลางสายตาเยาะเย้ยของสตรีจำนวนหนึ่งที่มองมายังนาง
‘อะไรก็เฉินหว่านอิ๋ง อีกฝ่ายมีอะไรดีนักหนา!’
อู๋ฮองเฮาเดินเล่นกับหลิงซีในตลาดของเมืองหลวง พวกนางทั้งสองต่างเลือกซื้อสิ่งของที่ตนเองต้องการอย่างมีความสุข แม้จะเป็นความสุขเล็กๆ แต่อู๋ตานเหม่ยก็เลือกที่จะทำเช่นนี้ เพราะว่าอยู่ที่นี่อย่างไรสตรีที่ออกเรือนแล้วย่อมเป็นสมบัติของสามี ในเมื่อการแต่งงานครั้งนี้ไม่อาจนำพาความสุขในชีวิตออกเรือนมาให้นางได้ นางก็ควรหาความสุขเล็กๆ ที่นางอาจจะสามารถทำได้เท่านั้น
