บทที่ 14 เการั่วซี (๓)
สาเหตุที่อู๋ตานเหม่ยออกมาเที่ยวชมนอกเมืองนั้น เนื่องจากว่าวันนี้ฮ่องเต้จะต้องพานางไปทำพิธียกน้ำชาต่อเบื้องพระพักตร์ไทเฮาและไท่เฟย คราแรกเขาเข้ามาหานางในตำหนักหลังจากทิ้งนางในคืนเข้าหอไปเกือบทั้งคืน นางหลงนึกดีใจว่าพระสวามีใส่ใจความรู้สึกของตน แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้นเลยเมื่อเขากล่าวว่า
‘อยู่ที่นี่จงทำตัวให้สงบเสงี่ยม เป็นฮองเฮาก็ย่อมเป็นสมบัติของข้า การแต่งงานของเจ้ากับข้าล้วนไม่มีอะไรที่น่าจดจำ ฉะนั้นอย่าหวังว่าจะได้ยกน้ำชาคารวะเสด็จแม่ของข้า’
อู๋ตานเหม่ยได้แต่มองพระสวามีเดินพ้นจากสายตาไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ คราแรกนางคิดว่าเขาอาจจะเปลี่ยนใจแล้วกลับมาขอโทษนางสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ไม่เลยสักนิดเขาเดินออกไปแล้วไม่กลับมา ทิ้งร้างนางไว้อีกหนให้โดดเดี่ยวเดียวดาย อีกทั้งการที่เขากระทำเช่นนี้ย่อมชัดเจนแล้วว่าการอภิเษกกับนางในครั้งนี้ไม่มีความหมายเลยสักนิด
ดังนั้นอู๋ตานเหม่ยจึงคิดว่าการไปยกน้ำชากับไทเฮาด้วยตนเองจึงเป็นเรื่องที่ดีที่สุด ทว่าทันทีที่มาถึงตำหนักคังเฉวียนนางก็ต้องเห็นพระสวามีของตนอยู่กับเการั่วซี สนมเอกที่เขาโปรดปรานมากกว่าใคร อีกทั้งพวกเขาทั้งสามคนยังสนทนากันอย่างออกรสออกชาตเป็นภาพที่น่าดูยิ่งนัก
‘ถวายพระพรเพคะไทเฮา’ อู๋ฮองเฮาเลี่ยงที่จะใช้สรรพนามว่าเสด็จ
แม่ เนื่องจากนางยังไม่คุ้นชินกับราชวงศ์หวัง อีกทั้งนางไม่อาจคาดเดาได้ว่า หูไทเฮาทรงมีพระอุปนิสัยเป็นเช่นใดจึงไม่กล้าเอ่ยเรียกอีกฝ่ายด้วยสรรพนามที่สนิทสนมเท่าใดนัก
‘เสด็จแม่เพคะ ทรงลองเสวยขนมชิ้นนี้ดูสิเพคะ หม่อมฉันสั่งให้แม่ครัวทำมาถวายโดยเฉพาะเลยเพคะ’ อู๋ตานเหม่ยที่นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งมองเห็นท่าทีเอาอกเอาใจและความสนิทสนมของหูไทเฮากับเการั่วซีแล้วใคร่รู้สึกอิจฉายิ่งนัก พระนางได้แต่นั่งจิบชาอยู่เงียบๆ มองพระสวามี เกากุ้ยเฟยและไทเฮาสนทนากัน
‘จริงสิฮองเฮา ข้าได้ยินว่าเมื่อคืนฝ่าบาทไม่ได้ค้างที่ตำหนักของเจ้า เจ้าสองคนอย่าถือโทษโกรธเคืองกันเลยนะ’ หูไทเฮาทรงวางชิ้นขนมลงหลังจากกินไปได้ครึ่งคำ พระนางทรงยิ้มแสดงน้ำพระทัยอันดีต่อหน้าอู๋ตานเหม่ย
อู๋ฮองเฮาฉีกยิ้มเฝื่อนๆ ที่ไม่อาจกลบเกลื่อนร่องรอยความเสียใจได้มิด นางตอบว่า ‘ไม่หรอกเพคะเสด็จแม่ หม่อมฉันเข้าใจดีเพคะ’
เการั่วซีที่นั่งอยู่เอ่ยขึ้นมากับอู๋ฮองเฮา “เรื่องเมื่อคืน...”
จังหวะที่เการั่วซีกำลังจะเอ่ยขึ้นมา ทว่านางต้องหยุดลงกลางคันเมื่อหวังลู่ฮ่องเต้หันมามองนางอย่างตำหนิ เขาจับมือนางเบาๆ แล้วกล่าวออกมาแทนสนมคนโปรดของตน ‘เรื่องเมื่อคืนเป็นความต้องการของข้าเอง หากฮองเฮาจะกล่าวโทษเกากุ้ยเฟย เจ้าก็ควรกล่าวโทษข้า’
อู๋ตานเหม่ยลอบกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่ง นางตอบว่า ‘หม่อมฉันไม่กล้าโทษฝ่าบาทหรอกเพคะ ขอเกากุ้ยเฟยอย่าได้คิดมากเลยนะ’
เจ็บ...
นางเจ็บมากจริงๆ ที่ต้องเอ่ยสิ่งที่ตรงข้ามกับใจคิด ในเมื่อนางทั้งเสียใจและอับอายที่พระสวามีทอดทิ้งให้คืนเข้าหอ อีกทั้งเรื่องนี้ก็จงใจกล่าวกันต่อหน้าธารกำนัลที่ยืนอยู่ไม่ห่างอีกด้วย นางรู้ดีว่านับจากนี้ต่อไปชีวิตในฐานะฮองเฮาคงไม่มีความสุขอีกแล้ว อีกทั้งเรื่องเมื่อคืนนี้อาจจะกลายเป็นที่โจษขานกันไปทั่วว่านางนั้นเป็นสตรีที่ถูกสามีทิ้งร้างในคืนวันส่งตัวเข้าหอ
หลังจากเสร็จสิ้นพิธียกน้ำชากับไทเฮาแล้วนั้น อู๋ตานเหม่ยไม่คิดจะไปยกน้ำชาต่อพระพักตร์ไท่เฟย เพราะนางไม่เห็นความจำเป็นใดนับตั้งแต่ที่นางเข้าเฝ้าไทเฮาอีกแล้ว การกระทำของหวังลู่นั้นชัดเจนเสียยิ่งกว่าคำพูดว่าเขารังเกียจสตรีที่เป็นบรรณาการแบบนางมากเพียงใด นางเป็นแค่องค์หญิงจากแคว้นเล็กๆ ไม่มีค่าอันใดมากพอกับพระสนมเอกบุตรสาวอัครมหาเสนาบดีหรอก
ดังนั้นเมื่อนางกำนัลของไท่เฟยมาเชิญนางไปร่วมงานเลี้ยงชุมนุมเหล่าสตรี นางจึงปฏิเสธกับคนของหลินไท่เฟยไปอย่างนิ่มนวลแล้วหาทางลอบออกมาเที่ยวนอกวัง จนกระทั่งได้มาเห็นทัศนียภาพนอกวังที่ทำให้นางพอคลายความเศร้าโศกในใจได้บ้าง
อู๋ฮองเฮาเดินเที่ยวชมรอบตลาดในเมืองด้วยความตื่นตาตื่นใจ พระนางทรงเดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้ โดยได้เครื่องประดับมาจำนวนหนึ่งและขนมของกินอีกจำนวนหนึ่งเช่นกัน กระทั่งสิ่งของเหล่านั้นล้นมือหลิงซีจนเกือบถือไม่ไหว
“ฮองเฮา หม่อมฉันว่าเสด็จกลับวังหลวงเถิดเพคะ ทรงออกมาข้างนอกเช่นนี้ แม้แต่ทหารองครักษ์ก็ไม่ให้ติดตามมาสักคน หากเกิดอันตรายเข้า
...” หลิงซีบ่นกะปอดกะแปดขณะที่ถือข้าวของพะรุงพะรังเดินตามฮองเฮา
อู๋ตานเหม่ยยิ้มพลางทำท่าครุ่นคิด “เอาแบบนี้ดีกว่า พวกเราหาร้านนั่งกินอาหารกันเถอะ มื้อนี้ข้าจ่ายให้เจ้าเอง”
หลิงซีปฏิเสธพัลวัน “ไม่ได้เพคะๆ พระนางเป็นมารดาแผ่นดิน แต่หม่อมฉันเป็นแค่บ่าวตัวเล็กๆ จะบังอาจร่วมโต๊ะเสวยได้อย่างไร”
“เอาเถิดน่า ไปหาร้านอาหารกันเถิด ข้าได้ยินว่าร้านอาหารเลื่องชื่อของที่นี่มีอาหารเลิศรสนัก เจ้ากับข้ามากันสองคนจะให้ข้ากินคนเดียวได้อย่างไร” อู๋ตานเหม่ยไม่รอช้า นางจูงมือของหลิงซีลากเข้าไปยังร้านอาหารลือชื่อแห่งนั้นทันที
