บทที่ 22 แผนการ (๓)
เฉินหว่านอิ๋งกลับมาถึงจวนเจ้ากรมพระคลังในเวลาไม่นานนัก สตรีมองดูพระอาทิตย์ยามเที่ยงวันที่ทอแสงเจิดจรัสบ่งบอกว่าถึงยามเซิน แล้ว สตรีมองข้าวของที่ตนซื้อมาจากในตลาด มีทั้งผัก ปลาสดและเนื้อสดอีกจำนวนหนึ่งที่ต้องนำมาปรุงอาหารเย็นประกอบให้กับทุกคน
“อิ๋งเอ๋อร์ กลับมาแล้วหรือ?” เฉินซู่กวงเดินเข้ามาหาบุตรสาวพลางเรียกด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“อิ๋งเอ๋อร์กลับมาแล้วเจ้าค่ะ วันนี้มีเรื่องมากมายในตลาด แต่ขากลับเห็นเนื้อสดและปลาสดอยู่ เลยว่าจะนำมาประกอบอาหารให้ท่านพ่อเจ้าค่ะ” เฉินหว่านอิ๋งยิ้มแย้มกล่าว
เฉินซู่กวงมองวัตถุดิบในตะกร้าของบุตรสาวแล้วถอนใจ เดิมทีหน้าที่ทำอาหารเหล่านี้เป็นของแม่ครัวทั้งหลายที่ถูกจ้างมา แต่เพราะว่าเฉินฮูหยินนั้นเป็นคนดูแลค่าใช้จ่ายทั้งหมดภายในจวน เงินที่เฉินหว่านอิ๋งได้ก็มีเพียงน้อยนิดเท่าหยิบมือ เขาผู้เป็นบิดาจึงต้องแอบกักเก็บเงินส่วนหนึ่งซ่อนเอาไว้ให้บุตรสาวคนเล็กได้ใช้ยามฉุกเฉินเท่านั้น
เดิมทีรายรับทั้งหมดนั้นมีมากพอที่จะจ้างแม่ครัวได้เพิ่มอีกจำนวนหนึ่ง แต่เพราะเฉินฮูหยินยื่นคำขาดว่าหากให้เฉินหว่านอิ๋งอยู่ที่นี่ก็ต้องมีสถานะไม่ต่างจากบ่าวรับใช้ เขาซึ่งไม่อยากให้ตัวตนเบื้องหลังที่แท้จริงของบุตรสาวคนเล็กต้องถูกเปิดเผย จึงจำเป็นต้องยอมภรรยาเอกของตนเสมอมา แต่ว่านับจากวินาทีที่ฝ่าบาทเรียกเขาเข้าเฝ้า เขาก็มีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตบุตรสาวนับจากนี้ไป
ย้อนกลับไปเมื่อครึ่งชั่วยาม ก่อน
เฉินซู่กวงได้รับพระราชโองการเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์อย่างเร่งด่วน แม้ว่าเจ้ากรมพระคลังเฒ่าจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องที่ฝ่าบาทเรียกตนเข้าเฝ้าในช่วงเวลาเร่งด่วนนี้ก็ตาม เนื่องจากตนเป็นเพียงแค่เจ้ากรมพระคลัง มีหน้าที่ถวายรายงานเรื่องที่สำคัญในยามประชุมที่ท้องพระโรงเท่านั้น จึงไม่ค่อยมีกิจอันใดที่เข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์มากนัก
“ถวายพระพรพะย่ะค่ะฝ่าบาท” เฉินซู่กวงแม้จะอาวุโสมากกว่า แต่ทว่าบุรุษหนุ่มที่อยู่ตรงหน้ามีศักดิ์เป็นถึงโอรสสวรรค์ อย่างไรเสียก็ต้องให้ความเคารพเหนือหัว
เฝิงกงกงที่ยืนอยู่ข้างๆ หวังลู่ฮ่องเต้ซึ่งนั่งสบายใจเฉิบ เผยรอยยิ้มซึ่ง
แฝงด้วยเลศนัยออกมา “ข้าทราบมาว่าท่านมีธิดาที่กำเนิดจากฮูหยินเอกอยู่หนึ่งคน นางเติบโตเป็นสาวสะพรั่งถึงเวลาออกเรือนแล้วสินะ”
เฉินซู่กวงหลุบสายตาหลบพระพักตร์หล่อเหลานั้น เขาตอบเสียงเบาว่า “พะย่ะค่ะ กระหม่อมมีบุตรีสองคนคนหนึ่งกำเนิดจากฮูหยินเอก อีกคนเกิดจากสตรีคนรักของกระหม่อม”
“เยี่ยม!” หวังลู่ฮ่องเต้ตบเข่าดังฉาดอย่างมั่นใจ “ข้าต้องการให้บุตรี
ของท่านอภิเษกสมรสกับหวังชินอ๋อง...”
คำกล่าวดังลั่นนั้นทำให้เฉินซู่กวงตกใจจนเขาแทบอ่อน ชายชรามองพระพักตร์ของบุรุษหนุ่มอย่างไม่เชื่อ “ฝ่าบาท ทรงหมายถึง...เอ่อ...”
หวังลู่กับเฝิงกงกงยกยิ้มพลางมองหน้ากัน ก่อนที่ผู้เป็นโอรสสวรรค์จะเอ่ยต่อว่า “ข้าต้องการให้ธิดาคนโตของท่าน ชื่อเฉินรั่วหลานอภิเษกกับหวังชินอ๋อง”
เฉินซู่กวงยังคงงุนงงกับตนเองอยู่ เดิมทีหวังซานเย่ถูกวางตัวจากไท่เฟยให้หมั้นหมายกับเกาอี้เหริน คุณหนูคนเล็กของสกุลเกาผู้เป็นพระขนิษฐา ของเกากุ้ยเฟย แต่มาบัดนี้วาสนากลับตกมาอยู่กับสกุลของตน หมายความว่าอย่างไรกัน
“แต่ว่าเดิมทีชินอ๋องทรงหมั้นหมายกับคุณหนูเกาอี้เหริน แล้ว...” ยังไม่ทันที่เฉินซู่กวงจะเอ่ยถามให้คลายความสงสัย หวังลู่ฮ่องเต้เอ่ยตัดบทขึ้นมาว่า
“ข้าพูดมานั่นแปลว่าบุตรสาวของท่านกับหวังซานเย่สามารถอภิเษก
สมรสกันได้โดยไม่มีเงื่อนไขใด ที่ข้าเรียกท่านมาก็เพื่อเรื่องนี้ให้ท่านกับเฉินรั่วหลานเตรียมตัวให้พร้อม” หวังลู่ฮ่องเต้กล่าว
เฉินซู่กวงรวบรวมความกล้าเอ่ยขึ้นมาว่า “ถ้าเช่นนั้นขอให้บุตรสาวคนเล็กของกระหม่อมอภิเษกแทนได้หรือไม่พะย่ะค่ะ”
หวังลู่ฮ่องเต้กับเฝิงกงกงมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจ ตามธรรมเนียมมาแต่โบราณ บุตรสาวคนโตของแต่ละตระกูลย่อมต้องแต่งงานออกเรือนก่อนผู้ใด แต่ว่าเฉินซู่กวงผู้นี้กลับจะให้บุตรสาวคนเล็กออกเรือนก่อนกระนั้นหรือ...
“กระหม่อมรู้ดีว่าตามธรรมเนียมโบราณอาจไม่เหมาะสม แต่บุตรสาวคนโตของกระหม่อมฮูหยินใหญ่ได้ผูกสัญญาดูใจกับคุณชายสกุลหนึ่งเอาไว้ มีเพียงแต่บุตรสาวคนเล็กเท่านั้นที่ยังไม่มีผู้ใดเข้ามา อีกทั้งครบเดือนนี้นางก็จะพ้นวัยปักปิ่นแล้ว อย่างไรแล้วขอให้บุตรสาวคนเล็กของกระหม่อม เฉินหว่านอิ๋งได้อภิเษกแทนเถิดพะย่ะค่ะ” เฉินซู่กวงประสานมือค้อมศีรษะอย่างวิงวอน นี่เป็นหนทางเดียวที่จะช่วยเฉินหว่านอิ๋งให้พ้นจากเงาของเฉินฮูหยินและเฉินรั่วหลานได้ หากได้อภิเษกเป็นพระชายาชินอ๋อง นางก็จะไม่ต้องมาลำบากทุกข์ใจเช่นนี้แน่
หวังลู่ฮ่องเต้ตบเข่าเบาๆ หนึ่งที อย่างน้อยก็ย่อมดีกว่าให้หวังซานเย่ไปอภิเษกสมรสกับเกาอี้เหรินมากนัก แผนการครั้งนี้นับว่าพระองค์ไม่เสียผลประโยชน์แต่อย่างใด “งั้นก็ได้ แต่ข้าจะไม่ออกเป็นราชโองการ ขอเพียงท่านวางแผนร่วมมือกับข้า ชีวิตบุตรสาวของท่านในฐานะพระชายาเอกก็จะราบรื่น”
