บทที่ 29 สมรสพระราชทาน (๓)
เจ้ากรมพระคลังเฉินไล่สายตามองฮูหยินเอกของตน เฉินรั่วหลาน พ่อบ้านและบ่าวไพร่ทุกคนในจวนด้วยสายตาขึงปนข่มขู่ “และหากมีผู้ใดทำให้ว่าที่พระชายาเอกต้องบาดเจ็บ หรือขัดขวางการอภิเษกด้วยอำนาจพระบรมราชโองการ ถือว่ามีโทษเป็นกบฏประหารสถานเดียวไม่ละเว้น!”
ภายหลังจากจบมื้ออาหารเย็นนั้น เฉินรั่วหลานสาวเท้ากับเรือนของตนอย่างรวดเร็วด้วยใจที่สุมไปด้วยไฟริษยาชิงชัง นับวันความอิจฉาต่อที่มีต่อเฉินหว่านอิ๋งยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี นางกรีดร้องเสียงดังด้วยความคลุ้มคลั่งก่อนจะขว้างปาหมอนใบใหญ่และสิ่งของมากมายไปทั่วห้อง จนจื่อเวยที่คอยติดตามรับใช้ต้องหลบสิ่งของที่ถูกนายของตนขว้างปาออกมา
“กรี๊ด!” เฉินรั่วหลานกรีดร้องระบายความริษยาที่ล้นอก “ทำไมนังนั่นมันต้องได้ดีกว่าข้าทุกเรื่อง ทำไมท่านพ่อต้องมอบแต่สิ่งดีๆ ให้กับมัน!”
“ใจเย็นก่อนนะเจ้าคะคุณหนู” จื่อเวยใช้ฝ่ามือรับหมอนใบใหญ่ซึ่งถูกโยนมาทางตนเองจากเฉินรั่วหลาน “เรื่องทุกอย่างใช่ว่าจะไม่มีวิธีจัดการนะเจ้าคะ”
เฉินรั่วหลานตวัดหางตามองด้วยความโกรธเกรี้ยว “จะมีวิธีจัดการอะไรได้อีก แม้ตอนนี้ราชเลขาจะยังไม่มาประกาศราชโองการ แต่หากขัดรับสั่งย่อมมีโทษประหารทั้งตระกูล แล้วเจ้าจะมาบอกว่าไม่มีวิธีจัดการอะไรอีก!”
สตรีตะโกนใส่สาวรับใช้ของตนเสียงดัง
“แต่แม่ว่าเรื่องนี้มีวิธี...” เฉินฮูหยินค่อยๆ ย่างเท้าเข้ามา มองสภาพของบุตรสาวตนเองในยามนี้มิต่างจากคนวิปลาสสักเท่าใดนัก สิ่งของที่ถูกเขวี้ยงจนกระจัดกระจายภายในเรือน ทำให้ฮูหยินใหญ่รู้สึกระอาใจอย่างยิ่ง เป็นเพราะนางที่ตามใจเฉินรั่วหลานจนเกินไป จึงทำให้กระทำตนดั่งคนไม่มีสติเช่นนี้
เฉินรั่วหลานเมื่อเห็นมารดาเดินเข้ามา นางจึงยอมสงบอารมณ์ของตนเองลง “วิธีอะไรของท่านแม่อีกเจ้าคะ ข้าไม่เคยเห็นท่านเสนอวิธีไหนได้ผลเลยสักนิด”
“แม่ทราบมาว่าฝ่าบาททรงต้องการขัดขวางการแต่งงานของชินอ๋องกับเกาอี้เหริน จึงทรงยกเกาอี้เหรินขึ้นเป็นซูเฟยของพระองค์ และมอบเฉินหว่านอิ๋งให้เป็นรางวัลพระราชทาน เจ้าคิดดูสิว่าคนที่กลายเป็นของรางวัลแบบนั้นจะมีค่าในสายตาใคร” ถ้อยคำของเฉินฮูหยินจงใจดูถูกชะตากรรมของเฉินหว่านอิ๋งอยู่ในที
“...” เฉินรั่วหลานนิ่งเงียบ รอฟังสิ่งที่มารดากำลังจะเอ่ย
“แม้ตำแหน่งพระชายาเอกจะเป็นของเฉินหว่านอิ๋งไปแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะมีคนครอบครองตำแหน่งพระชายารอง... ขอเพียงเจ้าหาทางยั่วยวนให้ชินอ๋องทรงหลงใหลในตัวเจ้า แม่เชื่อว่าเจ้าจะต้องกลายเป็นที่โปรดปรานอย่างแน่นอน”
“แต่ท่านแม่ ทุกคนก็รู้ดีว่าชินอ๋องทรงมีราชกิจการศึกตลอดเวลา ไม่
มีเวลามาสนใจเรื่องอิสตรี แม้แต่เรื่องที่เคยจะหมั้นหมายกับเกาอี้เหริน ทุกคนต่างก็รู้ว่าหลินไท่เฟยทรงโปรดปรานนางมากเพียงใด บุรุษที่เอาแต่สนใจเรื่องการรบ ข้าไม่ต้องการหรอกเจ้าค่ะ” เฉินรั่วหลานกล่าวสิ่งที่ตรงข้ามกับใจคิด แม้นางจะอยากเป็นพระชายาของชินอ๋องมากเท่าใด แต่เมื่อเทียบกับอุปนิสัยและราชกิจของเขาที่รัดตัว นางคงได้เหี่ยวเฉาตายในวังอ๋องเป็นแน่ ขืนเป็นแบบนั้นจริงๆ นางปล่อยให้เฉินหว่านอิ๋งไปเผชิญความว้าเหว่เพียงคนเดียวจะดีกว่า
“แต่ชินอ๋องก็เป็นอีกคนที่มีสิทธิ์ในราชบัลลังก์ ตอนนี้ฝ่าบาททรงยังไม่มีองค์รัชทายาท หากพระองค์ทรงสวรรคตบัลลังก์นี้ก็ต้องตกเป็นของชินอ๋อง หรือเจ้าอยากถวายตัวเป็นสนม คอยสู้รบกับพวกนางในวังหลังและไทเฮาล่ะ” น้ำเสียงของเฉินฮูหยินเริ่มดังขึ้น เป็นเชิงกดดันบุตรสาวของตน
เฉินรั่วหลานใช้ความคิดตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง หากนางอยากคิดประสงค์เข้าถวายตัวเป็นพระสนมของฝ่าบาท แม้จะดูมีความเป็นไปได้เพราะนางมั่นใจว่ารูปโฉมของตนเองก็มิได้ด้อยกว่าผู้ใดในแว่นแคว้น แต่หากต้องเป็นพระสนมและต้องคอยแย่งชิงความโปรดปรานจากพระสวามี ต่อกรกับไทเฮา นางไม่ต้องการแบบนั้น นางต้องการแย่งสิ่งที่เฉินหว่านอิ๋งได้ครอบครอง
“ข้าต้องการแย่งสิ่งที่เฉินหว่านอิ๋งครอบครอง” เฉินรั่วหลานกล่าวด้วยน้ำเสียงชัดเจน สิ่งใดที่เฉินหว่านอิ๋งได้รับ นางจะแย่งมาเป็นของตนให้หมด!
