บทที่ 3 เฉินหว่านอิ๋ง (๓)
“รั่วหลาน!” เฉินซู่กวงตำหนิบุตรสาวคนโตอย่างไม่พอใจ เขาหันมาลูบหัวเฉินหว่านอิ๋งอย่างปลอบใจเชิงว่าไม่ต้องสนใจคำพูดของเฉินรั่วหลานให้มากนัก
ส่วนเฉินหว่านอิ๋งเองก็พอจะเข้าใจสิ่งที่บิดาต้องการจะสื่อผ่านสัมผัสนี้เช่นกัน นางจึงได้แต่นิ่งเงียบและไม่กล่าวคำใด
เฉินซู่กวงกล่าวกับเฉินหว่านอิ๋งอย่างอ่อนโยน “มาเถิดเสี่ยวอิ๋ง มานั่งกินข้าวกับพ่อมา”
เมื่อถูกชักชวนจากบิดาเช่นนี้ เฉินหว่านอิ๋งกำลังจะหย่อนกายนั่งลงบนเก้าอี้ข้างบิดา ทว่ากลับถูกเฉินฮูหยินปรายหางตามองอย่างเดียดฉันท์แล้วกล่าวอย่างเหน็บแหนม “แค่ลูกบ่าวรับใช้ มีสิทธิ์อะไรมานั่งเสมอเทียบเคียงพวกเราเจ้าคะท่านพี่ ลูกคนรับใช้ก็สมควรทำตัวตามฐานะ”
ถ้อยคำของเฉินฮูหยินราวกับคมมีดกรีดลึกในใจของเฉินหว่านอิ๋งก็ไม่ปาน นับตั้งแต่นางเกิดมาก็ไม่เคยเห็นหน้ามารดาเลยด้วยซ้ำ มีเพียงแต่บิดาบังเกิดเกล้าอย่างเฉินซู่กวงที่คอยดูแลอบรมนางมา ให้ความรักและความอบอุ่นไม่เคยขาด แต่เฉินฮูหยินนอกจากไม่เคยเมตตานางสักนิดกลับใช้แต่ถ้อยคำวาจาถากถางนางให้เจ็บช้ำน้ำใจอยู่ร่ำไป อีกทั้งยังมีเฉินรั่วหลานที่คอยหาทางกลั่นแกล้งนางเสมอ ต่อให้นางจะพยายามอดทนมากแค่ไหนก็ตาม
“อิ๋งเอ๋อร์เป็นลูกสาวข้า นางมีสิทธิ์ทุกที่ในบ้านหลังนี้เช่นเดียวกับพวกเจ้า หากพวกเจ้าจะถามหาสิทธิ์ล่ะก็ สิทธิ์ที่นางเป็นบุตรสาวของข้าอย่างไรล่ะ พอใจหรือยัง อีกทั้งอาหารทั้งหมดนี้นางก็เป็นคนทำ หากจะว่าใครไม่มีสิทธิ์ก็คงเป็นพวกเจ้าสองคน” เมื่อประมุขสกุลเอ่ยเช่นนี้ เฉินฮูหยินมีหรือจะกล้าต่อปากต่อคำกับสามี นางทำได้เพียงสะบัดหน้าหันมองทางอื่นราวกับสตรีอีกคนเป็นสิ่งปฏิกูลโสมม
เฉินหว่านอิ๋งนั่งกินอาหารที่ตนเองเป็นฝ่ายทำอย่างเงียบๆ นางไม่กล้าแม้แต่จะเอื้อนเอ่ยคำใดออกมา เนื่องด้วยเกรงว่าบิดาอาจจะมีปัญหากับฮูหยินใหญ่ ซึ่งนางไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น แต่ถ้าหากนางสามารถเลือกทางเดินของชีวิตตนเองได้ นางก็อยากหลุดพ้นจากสถานที่แห่งนี้ สถานที่ที่นางไม่เคยมีความสุขเลยแม้แต่น้อยตั้งแต่เด็กยันโต
รอจนกระทั่งเวลาอาหารเย็นผ่านไป เฉินหว่านอิ๋งกลับเรือนหลังของตน นางอาบน้ำชำระกายล้างกลิ่นอาหารที่ติดตัวออกจนหมด เรือนผมยาวนุ่มสลวยดุจแพรไหมถูกปล่อยให้ยาวสยายคลอเคลียแผ่นหลัง บัดนี้ในห้องนอนมีเพียงสตรีผู้งดงามราวนางสวรรค์กำลังมองตนเองในกระจกด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย ฝ่ามือบางหยิบหวีอันเล็กขึ้นมาหวีเส้นผมของตนเองด้วยใจที่เหม่อลอย ครั้งหนึ่งนางเคยฝันว่าอยากมีครอบครัวที่อบอุ่น มีมารดาที่คอยกอดให้กำลังใจยามที่นางท้อแท้ นางเคยอ้อนวอนต่อสวรรค์ว่าปรารถนาอยากพบมารดาที่แท้จริงสักครั้ง แต่ว่าทุกครั้งคำขอเหล่านั้นก็เป็นแค่สายลมที่พัดผ่าน ในเมื่อยามหลับนางฝันเห็นมารดา แต่พอตื่นขึ้นมาทุกอย่างก็เป็นดังเดิม
ชีวิตที่นางควรมีความสุข มีครอบครัวที่สมบูรณ์ก็เป็นแค่ความฝันลมๆ แล้งๆ เท่านั้น เพราะในชีวิตจริงต่อให้บิดาจะดีกับนางมากแค่ไหน แต่เฉินฮูหยินกับเฉินรั่วหลานกลับกดขี่นางอยู่วันยังค่ำ นางอยากมีสักวันที่จะออกไปจากสถานที่แห่งนี้
“คุณหนูเล็กเจ้าคะ คุณหนูใหญ่มีคำสั่งให้มาตามคุณหนูไปพบที่
เรือนใหญ่เจ้าค่ะ” เฉินหว่านอิ๋งวางหวีที่กำลังหวีเส้นผมบนโต๊ะไม้ นางหันมามองตามที่มาของเสียงซึ่งดังมาจากหน้าประตู
ดึกดื่นป่านนี้เฉินรั่วหลานมีอะไรหรือเปล่านะ?
เฉินหว่านอิ๋งเดินออกมาเปิดประตู เห็นบ่าวรับใช้ของเฉินรั่วหลานมายืนอยู่ด้านหน้าด้วยท่าทีหยิ่งผยอง อีกฝ่ายเชิดหน้าขึ้นแล้วกล่าวด้วยท่าทีหยิ่งยโสว่า “คุณหนูใหญ่มีคำสั่งให้บ่าวมาตามท่านไปที่เรือนในยามนี้เจ้าค่ะ”
เฉินหว่านอิ๋งถาม “ดึกดื่นป่านนี้มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
บ่าวรับใช้ผู้นั้นชักสีหน้าตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “คุณหนูใหญ่จะเรียกใช้ท่าน จำเป็นต้องมีเหตุผลด้วยหรือเจ้าคะ”
เฉินหว่านอิ๋งถอนหายใจ แต่ไหนแต่ไรมาบ่าวของเฉินรั่วหลานและเฉินฮูหยินมีท่าทีเป็นปรปักษ์กับนางอยู่แล้ว นางจึงไม่ควรเอาเรื่องนี้มาใส่ใจให้มาก หากไม่ยอมทำตามที่เฉินรั่วหลานต้องการก็ไม่รู้ว่าภายภาคหน้าหรือวันพรุ่งนี้ชีวิตจะต้องเจอกับความยุ่งยากอะไรอีกบ้าง
