บทที่ 8 Chapter 8
คลื่นใต้น้ำมีเสมอและมีมาตลอด นับแต่เขายังเป็นเพียงชีครัชทายาทจนบัดนี้ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์ เบนจามินรับรู้เรื่องราวการซ่องสุมกำลังจากผู้ไม่ประสงค์ดีมาตลอด ในประเทศนี้คนที่รักเขามี ก็มีคนที่ชิงชังและไม่ต้องการให้เขาก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งนี้เช่นกัน ยิ่งโลกหมุนไปเท่าใด เจริญและวิวัฒน์พัฒนาไปมากแค่ไหน จิตใจของผู้คนเปลี่ยนตาม มีความเห็นแก่ตัวและเห็นแก่ได้กันมากขึ้น จนบางครั้งถึงกับยอมทำในสิ่งผิดโดยไม่เกรงกลัวกฎหมายและกฎศีลธรรม
“ส่งคนของเราออกไป คอยจับตาดูทุกความเคลื่อนไหว อะไรที่ผิดสังเกตรายงานมาถึงฉันโดยตรง แล้วระวังอย่าให้ใครผิดสังเกต”
“รับทราบแล้วกระหม่อม” ราชองครักษ์ฝีมือดีทั้งห้าโค้งศีรษะน้อมรับคำสั่งและทำความเคารพ ก่อนที่สี่คนจะออกไปจากกระโจม เพื่อจัดการงานที่รับมอบหมาย
ในกระโจมจึงเหลือเพียงฟาดิลกับชีคเบนจามิน องครักษ์หนุ่มจัดการรินชานำมาถวายทันที
“ซุนนูร์เป็นไงบ้าง”
“ตอนนี้ถึงมือหมอแล้วกระหม่อม กระสุนไม่ถูกจุดสำคัญ ซาจิมันคอยดูแลอยู่ฝ่าบาท โชคดีที่พวกเราผ่านมาทางนี้พอดี ไม่งั้นมันคงได้ไปเมืองผีแน่ๆ”
“ดีแล้ว เดนิมมันจะได้สบายใจที่คนของมันไม่เป็นอะไร หมอนั่นก็คงรู้แล้วสิ” เบนจามินจิบชา สีหน้ายังเครียดขรึม
“รู้แล้วกระหม่อม ตอนแรกว่าจะพามิสรติรสเดินทางมาที่นี่ทันที แต่ว่าที่ฮังการีตอนนี่ภูมิอากาศย่ำแย่มาก เอาเครื่องขึ้นบินไม่ได้เพราะหิมะตกหนัก ฟาติกกำลังมาจัดการดูแลเรื่องนี้ พอฟาติกมาซาจิก็จะถอนตัวกลับมาฝ่าบาท เรื่องซุนนูร์ไม่มีอะไรน่าห่วงแล้ว เพียงแต่กระหม่อมสงสัยอยู่เรื่อง ทำไมฝ่าบาทไม่ส่งตัวมิสพราวพิลาสกลับเข้าเมืองไปพร้อมกับเจ้าซุนนูร์มัน” มีโอกาสราชองครักษ์หนุ่มรีบถามถึงข้อข้องใจทันที
เบนจามินกดยิ้ม ใบหน้าแตกตื่นของคนดื้อรั้นวาบเข้ามาในหัว
“เธอเข้าใจว่าเราเป็นพวกโจร ซุนนูร์ก็ต้องการหมออย่างเร่งด่วน พาเธอไปด้วยจะเป็นภาระ จุดนั้นมันอับสัญญาณดาวเทียมจะติดต่อขอฮอ.ก็ทำไม่ได้ นายก็รู้”
“โอ... มิสคิดไปได้ยังไง เราไปช่วยพวกเธอมานะ”
“ตอนนั้นเธอไม่ได้สติฟาดิล อย่าลืม”
“แล้วพระองค์ก็ไม่ตรัสเล่าความจริง”
“ผู้หญิงดื้ออย่างนั้น จะฟังอะไรนอกจากฟังความคิดของตัวเอง ในเมื่อเธอชอบยัดเยียดให้ฉันเป็นโจร พวกเราก็จะเป็นโจรในสายตาเธอ นายสั่งทหารทุกคนห้ามปริปากล่ะ เข้าเมืองเมื่อไหร่ฉันอยากจะรู้นักว่าเธอจะตกใจแค่ไหน คิดแล้วน่าสนุกดีนะฟาดิล”
“ฝ่าบาท แบบนั้นมันเท่ากับโกหกหลอกลวงเลยนะ”
“โกหกอะไรกัน ฉันบอกเธอแล้วว่าไม่ใช่โจรเธอไม่เชื่อเอง พวกเราก็แค่ไหลตามน้ำ เอาน่าฟาดิลจะซีเรียสอะไรนัก เข้าเมืองเมื่อไหร่เธอก็รู้ความจริงเองแหละ”
“แบบนี้จะดีแน่เหรอ กระหม่อมคิดว่า...”
“ดีหรือไม่ ฉันไม่คิดว่าจะเป็นปัญหาอะไรนี่ อีกแค่สามวันเราจะเดินทางถึงเมืองทาลัดแล้ว ที่นั่นมีรถยนต์คนของเราพร้อมสรรพเดินทางไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงตัวเมืองหลวงบันดัร เรื่องที่พวกเธอถูกกลุ่มโจรดักปล้นก็ไม่ได้แพร่กระจายออกไปจนเกิดปัญหาตามมา กำชับซาจิไปแล้วไม่ใช่เรอะ ตอนนี้ก็แค่หาอะไรสนุกๆ ทำเป็นการฆ่าเวลา”
สุรเสียงที่ตรัสนั้นเต็มไปด้วยความครื้นเครงนัก แววพระเนตรก็ไหวระยับยามเอื้อนเอ่ยถึงหญิงสาวต่างชาติ ฟาดิลทำหน้าเมื่อย เอาเถอะแค่วันสองวันคงไม่มีอะไรอย่างว่า ในเมื่อทรงต้องการอย่างนั้น ใครจะไปขัดพระทัยได้
“สุดแต่จะเห็นควรเถอะ เรื่องซุนนูร์ฟาติกรู้ดีว่าจะต้องทำอะไร เดี๋ยวกระหม่อมจะคุยกับหมอนั่นอีกที งั้นกระหม่อมจะให้คนไปจัดอาหารมาถวาย”
“เอาไปให้ที่กระโจมก็แล้วกัน ฉันจะกลับไปดูเธอเสียหน่อย เดี๋ยวจะหาเรื่องป่วน ผู้หญิงอะไรไม่นึกว่าจะแสบแบบนี้ ส่วนเรื่องฟาติก นายก็คุยรายละเอียดไปเลยทีเดียว หมอนั่นเป็นฝาแฝดของนายนี่นะ พี่น้องคงพูดคุยกันไม่ยาก”
“ทรงนึกว่ามิสคงทำเป็นแต่แต่งตัวสวยๆ แล้วชม้ายชายหูชายตาให้ชายที่เธอที่สนใจงั้นเหรอฝ่าบาท”
“หนึ่งปีเปลี่ยนอะไรๆ ไปไม่น้อยใช่มั้ยฟาดิล”
ชีคหนุ่มตรัสถามหากไม่รอฟังคำตอบ พาวรกายสูงสง่าผึ่งผายออกไปจากกระโจมตรงกลับกระโจมที่พำนักส่วนพระองค์
ฟาดิลไม่รู้หรอกว่าสตรีแสนสวยชาวต่างชาติผู้นั้นเปลี่ยนไปยังไงบ้าง เมื่อหนึ่งปีก่อน ตอนที่เธอเดินทางมาบันดัรพร้อมกับผู้เป็นบิดาและมิสรติรส เขาเองก็เคยเจอแบบผ่านๆ เธอสวยเสียจนทำเอานายทหารราชองครักษ์มองตามกันจนเหลียวหลัง ยามนั้นเธอสวยสง่า เย่อหยิ่ง และไม่สนใจมองใคร นอกจากชม้ายชายตาให้บริหารเสน่ห์ของตนเองเล่นๆ ออกจะมีทีท่ารังเกียจและไม่อยากเข้าใกล้หนุ่มอาหรับคนไหนเสียด้วยซ้ำ
“หวังว่าฝ่าบาทคงจะแค่สนุกๆ ผ่อนคลายความเครียดเท่านั้นนะ คงไม่คิดจะรับเข้ามุกกาลันอีกคน องค์หญิงรู้ได้วังแตกแน่ๆ”
ราชองครักษ์นิ่วหน้าขณะเดินออกไปเรียกทหารคนหนึ่งมาสั่งความ ใครก็รู้ว่าองค์หญิงบุรลันตีย์ไม่ชอบใจสตรีต่างชาติสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะมาจากประเทศไทย เหตุสืบเนื่องก็เพราะ พระองค์สูญเสียคุณชายเดนิมให้กับรติรสนั่นเอง
“ไปจัดหาอาหารให้ฝ่าบาทกับมิส แล้วเอาไปถวายที่กระโจมเลยนะ”
เสียงพึ่บพั่บ ของผ้าหนาหนักซึ่งเป็นประตูกระโจมสะบัด พราวพิลาสสะดุ้งผวาจากการนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่ที่เดิม ชีเส็งเคร็งเบนจามินจึงได้เห็นว่าใบหน้าภายใต้แสงตะเกียงนั้นเปรอะเลอะมากขึ้น
“ทำไมยังไม่ล้างหน้าล้างตา”
