บทที่ 7 หื่นใหญ่ Vs หื่นน้อย (100%)

เขารึอุตส่าห์เลี้ยงดูฟูมฟักไม่ต่างจากไข่ในหินตั้งแต่ยังแบเบาะ เพื่อชดเชยที่เธอไม่มีแม่ พอๆ กับคนเป็นย่าที่เฝ้าถนอมกล่อมเกลี้ยงและอบรมบ่มนิสัยให้หลานสาวเรียบร้อยเป็นกุลสตรีไทย แต่พอโตขึ้นไม่รู้ว่าบุปผาสวรรค์ไปได้นิสัยแก่นแก้วและซุกซนมาจากไหน ทำเอาปวดหัวไม่เว้นแต่ละวัน

“ไปแอบทำซนอะไรมาอีกล่ะเรา ถึงได้หน้าแดงเหงื่อโชกมาเชียว” นายบัญชาเอ่ยถามบุตรสาวอย่างยิ้มๆ

“หนูดีเปล่าซนซะหน่อย” ดาวร้ายประจำบ้านปฏิเสธหน้าซื่อตาใส

“ไม่ซนแต่แสบและซ่าเหลือใจใช่ไหมล่ะ” วาจาที่หลุดออกมาจากปากผู้เป็นบิดา ทำให้แม่สาวน้อยจอมแก่มย่นจมูกด้วยความไม่ชอบใจ

“คุณป๋าก็พูดเกินไป หนูดีออกจะน่ารักและเป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อม ไม่งั้นย่าจะส่งไปประกวดกุลสตรีมารยาทงามเหรอจ๊ะ” แม่กุลสตรีผู้เพียบพร้อมเอ่ยค้านทันควัน

“ขนาดนั้นเชียว” ผู้เป็นพ่อเลิกคิ้วถามด้วยสีหน้ากลั้นยิ้ม

“หูยยยย…สุดยอดกว่านั้นอีก ยิ่งตอนเพลงขึ้นมาว่า…โฉมเอยโฉมงามอร่ามแท้แลตะลึง คนทั้งงานมองหนูดีจนตาค้างแน่ะ” แม่ตัวยุ่งกอดอกเชิดหน้าโอ่ยกใหญ่

“โฉมเอยโฉมงามอร่ามแท้แล ‘สะพรึง’ หรือเปล่าลูก” พ่อเลี้ยงบัญชาเอ่ยสัพยอกยัยตัวแสบอย่างยิ้มๆ ก่อนที่แม่สาวน้อยจะทำปากยื่นใส่อย่างแง่งอน

“หนูดีโป้งคุณป๋าแล้ว ชิ…แลสะพรึงที่ไหนกันล่ะ หนูดีออกจะสวยและเป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อม แถมยังมารยาทงามอีกด้วย…เนอะย่าเนอะ” ในตอนท้ายตัวร้ายหันไปหาพรรคพวก

“ย่ะแม่คุณ กุลสตรีมารยาทงามที่เกือบตกเวทีเพราะเดินเป็นม้าดีดกะโหลก จนฉันแทบจะเอาปี๊บคลุมหัวกลับบ้าน” วาจาที่หลุดออกมาจากปากนางสอางค์ทำให้พ่อของเธอถึงกับกลั้นหัวเราะไม่อยู่

“ย่าน่ะ…” สาวน้อยค้อนจนตาคว่ำ

“ฉันพูดความจริงย่ะ ไม่ต้องมาทำหน้างอเลยแม่ม้าดีดกะโหลก นี่หัดทำตัวเรียบร้อยน่ารักแบบพี่เขาบ้าง” คนแก่เอ่ยเป็นเชิงสั่งสอนในตอนท้าย พลางบุ้ยปากไปยังคนที่กำลังนั่งร้อยมาลัยอยู่ข้างๆ

อ้อนรัก นฤบดินทร์ สาวน้อยวัยยี่สิบปี ลูกสาวของแม่บ้านคนเก่าคนแก่ ที่เสียชีวิตไปเพราะปกป้องไร่เมื่อสิบปีก่อน ด้วยความเวทนาเด็กตัวน้อยๆ ที่ไร้ที่พึ่งพิงเพราะมีญาตคนเดียวบนโลกใบนี้นั่นก็คือแม่ แต่อีกฝ่ายก็มาด่วนจากไป นางจึงรับมาเลี้ยงดูเป็นหลานสาวอีกคน โดยให้เปลี่ยนมาใช้นามสกุลของนาง ให้ทุกอย่างเท่าที่ย่าคนหนึ่งจะให้หลานได้ แถมนางยังรักและเอ็นดูไม่ต่างจากหลานสาวแท้ๆ อย่างบุปผาสวรรค์เลยสักนิด

“เรียบร้อยแบบพี่อ้อนน่ะเหรอ ไม่เอาหรอก มันไม่หนุก มันไม่เฟี้ยว และไม่เซี้ยวถึงใจ ผู้หญิงสมัยนี้มันต้องสตรอง” วาจาที่หลุดออกมาจากปากยัยตัวแสบทำให้ผู้เป็นพี่สาวถึงกับอมยิ้ม

“สตรองตรงไหนยะ ย่าเห็นเราเล่นซนเป็นลิงทโมนเสียมากกว่า”

“ถ้าอยากให้หนูดีหายซนเป็นลิง ย่าก็บอกให้คุณป๋าเปิดอู่ซ่อมให้หนูดีสิจ๊ะ นะ…นะ…ย่าจ๋า” ได้ทีคนที่จบปวช. มาทางช่างยนต์ก็ออดอ้อนยกใหญ่ พร้อมทำตาปริบๆ

“ไม่ล่ะย่ะ ฉันกลัวจะปวดกะบาลหนักกว่าเดิม ไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยน่ะดีแล้ว”

“ย่าน่ะ ทำไมต้องเข้าข้างคุณป๋าด้วย” สาวน้อยพ้อหน้างอ

“ย่าไม่ได้เข้าข้างป๋าหรอกลูก แต่ย่าอยากให้หนูมีอนาคตที่ดี คนที่มีความรู้ติดตัวมากๆ ไม่มีทางอดตายรู้ไหมหือหนูดี” คราวนี้ผู้เป็นพ่อก็เริ่มสั่งสอนลูกสาวอย่างใจเย็น

“หนูดีไปเรียนมหาวิทยาลัยก็ได้ แต่คุณป๋าต้องสัญญานะว่า ถ้าหนูดีเรียนจบแล้วคุณป๋าจะเปิดอู่ซ่อมให้หนูดี เพราะหนูดีจะเรียนคณะวิศวกรรมยานยนต์”

“พี่ว่าหนูดีไปเรียนคหกรรมกับพี่ดีกว่าไหม มีของกินอร่อยๆ เพียบเลยนะ” เจ้าของใบหน้าสวยหวาน กิริยามารยาทงดงามเรียบร้อยประหนึ่งนางในวรรณคดีไทย เอ่ยตะล่อมน้องสาวตัวแสบด้วยน้ำเสียงหวานละมุนจับใจตามสไตล์สาวหวานผู้เรียบร้อยน่ารัก

“ตัวไม่ต้องเอาของกินมาล่อเค้าเลย ถึงเค้าจะเห็นแก่กิน เค้าก็ไม่ไปเรียนอะไรที่โคตรหญิงเหมือนตัวเด็ดขาด เชิญพี่อ้อนเรียนไปคนเดียวเถอะ เค้าไม่ชอบทำอาหาร เค้าชอบกินอย่างเดียว” สาวน้อยทำท่าฮึดฮัดเมื่อเจอสามรุมหนึ่ง

“โอเคลูก ขอให้หนูเรียนมหาวิทยาลัยให้จบ หลังจากนั้นป๋าจะตามใจทุกอย่าง”

“พูดแล้วห้ามคืนคำนะ ไม่งั้นหนูดีจะหนีไปอยู่กับอาเซตที่ฝรั่งเศสและไม่กลับมาที่นี่อีกเลย” ถ้อยคำที่หลุดออกมาจากปากจิ้มลิ้ม ทำให้ทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดีว่า บุปผาสวรรค์ไม่ได้ขู่แต่อย่างใด เพราะเธอเคยทำมันมาแล้ว

อาเซต…ที่ถูกแม่ตัวดียกขึ้นมาขู่ คือเซซาเร รุกฆาต โอลิวิเยร์ บุตรชายของลูกสาวคนกลางของนางสอางค์ อย่างบุญรักษากับลูกเขยอภิมหาเศรษฐีชาวฝรั่งเศส

จริงๆ แล้วเซซาเรมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของบุปผาสวรรค์  ซึ่งเธอสมควรจะเรียกเขาว่าพี่ แต่ด้วยความที่อายุห่างกันหลายปีมากผู้เป็นย่าก็เลยให้เรียกเซซาเรว่าอา ตามศักดิ์ของแม่เซซาเร

“จ้ะ…จ้ะ…ยัยหนูอย่าขู่ป๋านักเลย ป๋ากลัวจนขนลุกขนชันไปหมดแล้วเนี่ย”

“คุณป๋าน่ะ” ท่าทางล้อเลียนที่ผู้เป็นบิดาแสดงออกทำให้ตัวร้ายประจำบ้านค้อนน้อยๆ

“เออ…ย่าได้ยินมาว่าเราแอบไปเล่นที่ไร่ข้างๆ บ่อยๆ ใช่ไหม”

“ใครมันมาฟ้องย่า หนูดีจะไปซัดให้มันปากแตกเดี๋ยวนี้แหละ” ตัวร้ายเอ่ยถามพลางทำท่าขึงขังเอาเรื่อง

“ใครฟ้องไม่สำคัญหรอก มันสำคัญที่ว่าย่าขอสั่งห้ามไม่ให้หนูดีไปเหยียบที่ไร่นั้นอีก คนที่ไร่นั้นไม่ใช่คนดีอย่างที่เราคิดหรอกนะ มันอันตรายห้ามไปอีกเด็ดขาด”

“แต่หนูดีอยากไปเล่นน้ำตกที่ไร่นั้นนี่นา” คนถูกขัดใจทำหน้าง้ำ

“เล่นที่ไร่เราสิลูก น้ำตกที่ไร่ของเราก็มี”

“ก็น้ำตกที่ไร่ของเราหนูดีเล่นจนเบื่อแล้ว แถมที่ไร่นั้นยังมีอะไรให้ดู…อุ๊บ!” ยัยตัวยุ่งหลุดคำไป ครั้นนึกได้ก็ทำตาโตพร้อมยกมือขึ้นอุดปากตัวเอง

“พูดแบบนี้แสดงว่าไปแอบทำซุกซนที่ไร่นั้นมาใช่ไหม สารภาพมาซะดีๆ ว่าไปทำอะไรไว้ ก่อนที่จะถูกป๋ากักบริเวณ” คนที่รู้เท่าทันนิสัยบุตรสาวเอ่ยคาดคั้นเสียงแข็ง ทำเอายัยจอมแก่นตัวเกร็ง แต่เรื่องอะไรเธอจะยอมรับออกมาตรงๆ ล่ะ บุปผาสวรรค์ซะอย่างหาทางแถเอาตัวรอดได้สบายบรื๋ออยู่แล้ว

“หนูดีไม่ได้แอบไปทำอะไรมาซักหน่อย คุณป๋ามองลูกสาวคนสวยในแง่ดีบ้างได้ไหมคะเนี่ย” คนที่มีชนักติดหลังรีบออกตัวกลบเกลื่อนความผิด

“ก็เรามันน่ามองในแง่ดีตายล่ะ” นางสอางค์โพล่งขึ้น ซึ่งพ่อของเธอก็แสนจะเห็นด้วย

“ใช่ หากไม่ได้แอบไปทำอะไรมา ทำไมถึงอยากไปเล่นที่ไร่นั้น ทำไมไม่เชื่อฟังคำสั่งของย่ากับป๋า ทั้งที่น้ำตกที่ไร่ของเราก็มีให้เล่นอยู่แล้ว”

“ตอนเด็กๆ คุณป๋าไม่เคยเป็นหรือไง ที่มีอะไรที่บ้านตัวเองก็จะไม่อยากเล่น อยากจะไปเล่นอะไรใหม่ๆ ที่บ้านคนอื่นมากกว่า ขนาดเพื่อนหนูดียังเป็นเลย ที่บ้านมันนะขายของชำ แต่มันดันไปซื้อขนมที่ร้านฝั่งตรงข้ามทั้งที่ที่ร้านของมันก็มีเหมือนกัน มันบอกว่าถ้าได้กินของที่ไม่ใช่ในร้านของตัวเองมันจะรู้สึกมีความสุขมาก”

“เรานี่นะ มันแสบเหลือใจ จะบอกจะสอนอะไรก็ไม่เคยฟัง แต่อย่าให้ป๋าจับได้ก็แล้วกัน ไม่งั้นโดนกักบริเวณแน่” นายบัญชาเอ่ยเป็นเชิงขู่แต่คนฟังกลับลอยหน้าทำตาวาววับ

“ว้าว! แสดงว่าคุณป๋าอนุญาตให้แอบไปเล่นที่ไร่ข้างๆ ได้ตราบใดที่คุณป๋ายังจับไม่ได้ช่ายมะ งั้นหนูดีจะพยายามทำให้คุณป๋าจับไม่ได้ไล่ไม่ทันก็แล้วกัน โอเคนะคะ…ไปล่ะ”

ตัวร้ายเอ่ยอย่างทะเล้น ตบท้ายด้วยการสรุปเองเสร็จสรรพ ก่อนจะหัวเราะคิกคัก แล้ววิ่งหน้าตั้งลงเรือนไป ทิ้งให้ผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่เบื้องหลังต่างส่ายหน้าอย่างอ่อนอกอ่อนใจไปตามๆ กัน พร้อมกันนั้นก็ได้แต่ภาวนาว่าอีกไม่นานบุปผาสวรรค์จะโตสมวัยเสียที

บทก่อนหน้า
บทถัดไป