บทที่ 12 12

“โอเค...ขอบใจมากนะลิล เรามาเข้าเรื่องกันดีกว่ามั้ย ลิลอยู่นิวยอร์คก็ดีเลย ที่โทรมาจะบอกลิลว่าพี่ได้งานเป็นพริตตี้มอเตอร์โชว์ระดับโลกที่จะจัดขึ้นสัปดาห์หน้า ถ้าลิลว่างอยากให้ลิลไปเที่ยวงาน ไปดูพี่แต่งตัวสวย ๆ แล้วถ้ามีเวลาว่างเราก็จะได้คุยกัน”

“เอ้อ...ลิล...เอ้อ...”

“พี่เป็นพริตตี้ให้รถรุ่นใหม่หรูมาก ๆ และรู้มาว่าจะมีการเชิญแขกระดับวีไอพีที่จองรถรุ่นนี้มาด้วย มีชื่อคุณอิศรา พ่อของลิลด้วยนะ”

“จริงหรือคะ?”

“จริงซี ลิลลองถามพ่อของลิลลดูนะ จะได้มากับท่านไง”

“ค่ะ...ลิลจะถามพ่อดูนะคะ”

ลลิลรับปากในบทสนทนาสุดท้ายแต่ไม่กล้าบอกความจริงว่าตอนนี้อิศราถูกกักกันอิสรภาพและคงไม่มีโอกาสได้มานิวยอร์คซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะนานแค่ไหน สิ่งที่หลงเหลืออยู่สำหรับเธอคือความหวังที่จะยื้อเวลาของบิดาไว้และภาวนาให้พี่สาวของพัลเลเดียมหายจากอาการที่เป็นอยู่ให้เร็วที่สุด

ท้องฟ้าสีขาวสว่างถูกกลืนด้วยสีน้ำเงินเข้มเมื่อรัตติกาลย่างกรายเข้ามา ทว่ามหานครใหญ่กลับสว่างไสวด้วยแสงไฟจากยอดตึกระฟ้า แสงสปอร์ตไลท์ฉายส่องขึ้นสู่ท้องฟ้ายามราตรีที่ไม่เคยหลับใหล บนเพนท์เฮาส์หรูชั้นสูงสุดของตึกล็อคซายน์ใครคนหนึ่งก้าวย่างขึ้นบันไดไปยังชั้นดาดฟ้า ร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสืบเท้าไปหยุดที่เตียงเล็กริมสระน้ำ นัยน์ตาสีน้ำตาลอมเทาเข้มจ้องมองไปยังร่างเล็กบอบบางที่นอนตะแคงสงบนิ่งบนเตียงภายใต้แสงไฟรอบ ๆ ที่อาบไล้ลงบนเรือนร่างอรชรในชุดกระโปรงสีน้ำเงินเข้ม น้ำในสระสะท้อนแสงไฟพรายพร่าง ร่างสูงเดินไปหยุดข้างเตียงและชะโงกหน้ามองร่างน้อยที่นอนหลับนิ่งไม่ไหวติงบนเตียงริมสระ

พัลเลเดียมเดินอ้อมไปอีกด้าน เขาหย่อนตัวลงนั่งบนเตียงเล็กซึ่งวางคู่กัน ประสานมือแกร่งข้างหน้าและจ้องมองลลิลที่นอนหลับไม่รู้สึกตัวว่ามีใครเข้ามาตอนนี้ ชายหนุ่มเหลียวมองไปรอบ ๆ พื้นที่กว้างขวางของเพนท์เฮาส์ที่มีแต่ลลิลเท่านั้น เขาสั่งให้จูลี่กลับบ้านและปล่อยให้เธออยู่คนเดียวมาเป็นเวลาเกือบสัปดาห์แล้ว ร่างสูงก้มลงมองมือตัวเองที่แบออก เวลาผ่านไปหลายวันนับแต่วันนั้นที่ลลิลกัดมือของเขาจนเลือดอาบแต่รอยแผลก็ยังคงอยู่ มันเป็นรอยฟันแต่ทำให้เนื้อฉีกขาด แม้ไม่มากแต่ก็ทำให้เขาเจ็บพอดู  สักครู่เขาจึงเลื่อนสายตาไปหยุดที่ใบหน้าสวยหวาน เปลือกตาของลลิลปิดสนิทแต่เขาได้ยินเสียงลมหายใจของเธอดังสม่ำเสมอ

“ยัยเด็กจอมดื้อ”

พัลเลเดียมนึกในใจ แต่เขากลับจ้องมองเธอเนิ่นนานโดยไม่ยอมละสายตาไปทางอื่นโดยเฉพาะ เรียวปากอิ่มสีชมพูของหญิงสาวเผยอออกน้อย ๆ ดึงดูดให้เขาจับจ้องเธออยู่เช่นนั้น ชายหนุ่มเก็บความนึกคิดไว้ในใจว่าความสวยหวานของลลิลติดตาเขามานานแล้ว เขาแทบจะกลั้นลมหายใจหนักที่กำลังจะผ่อนออกมาเพราะเกรงว่าเธอจะได้ยินเสียงแต่แล้วลลิลก็ค่อย ๆ ขยับตัวและเมื่อลืมตาขึ้นเธอจึงเบิกนัยน์ตากว้างเมื่อเห็นว่าพัลเลเดียมนั่งจ้องเธออยู่บนเตียงข้าง ๆ

“อาพีท...”

“ที่นอนมีตั้งเยอะแยะทำไมไม่ไปนอน มานอนอยู่ที่ริมสระน้ำนี่”

เขาถามเสียงเครียด ใบหน้าคมคร้ามยังแสดงท่าทีไม่เป็นมิตรเหมือนเดิมแถมยังทำให้คนฟังรู้สึกราวกับว่ามีความรำคาญเจืออยู่ในน้ำเสียงนั้นด้วย ลลิลขยับลุกขึ้นนั่ง เธอรีบดึงชายกระโปรงที่เลิกขึ้นมาถึงขาอ่อนลงไปใต้เข่า

“ลิลเผลอหลับไปค่ะ”

หญิงสาวแก้ตัวเพราะจริง ๆ แล้วเธอกลัวการอยู่คนเดียว แม้แต่ตอนที่อยู่กับอิศราก็ไม่มีใครรู้ว่าเธอไม่ยอมนอนห้องส่วนตัวที่บิดาจัดไว้ให้แต่ขอนอนอยู่ข้างเตียงของพ่อซึ่งอิศราก็ไม่ขัดใจลูกสาว ลลิลอยากจะร้องไห้เมื่อพัลเลเดียมสั่งให้จูลี่กลับบ้าน เพนท์เฮาส์ทั้งสามชั้นจึงเหลือเธออยู่เพียงคนเดียวและทุกคืนเธอต้องมานอนอยู่ที่เตียงริมสระเพื่อให้เห็นท้องฟ้าช่วยคลายความกลัว

“กินอะไรหรือยัง?”

เขาถามแต่กลับหันไปมองสระน้ำทำเหมือนไม่สนใจคู่สนทนา ลลิลมองหน้าเขาเศร้าๆ

“กินแล้วค่ะ”

คราวนี้พัลเลเดียมหันกลับมา “แน่ใจหรือ...ฉันเห็นอาหารยังเต็มโต๊ะอยู่เลย เธอกินหรือดมกันแน่”

“บอกแล้วไงคะว่ากินแล้ว...ลิลไม่ใช่คนกินเยอะ”

“ปล่อยให้ตัวเองผอมแห้งเดี๋ยวเป็นล้มเป็นแล้งไปจะทำยังไง”

“ก็แค่ตาย...”

“ถ้าเธอตายฉันจะเอาอะไรไปต่อรองกับพ่อของเธอล่ะ ลาริมาร์!”

ร่างสูงเสียงเกรี้ยวกราดขึ้นมาขณะลุกขึ้นยืน ถึงไม่อยากหันไปเผชิญหน้ากับเขาแต่ลลิลก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองมือของพัลเลเดียม ไม่มีผ้าปิดแผลบนมือของเขา นับแต่วันที่เธอกัดเขาจนเลือดอาบหญิงสาวก็คิดอยู่ตลอดเวลาว่าหากเขากลับมาอาจจะมีแผนเอาคืนก็เป็นได้ แต่เขากลับไม่พูดอะไรถึงเรื่องวันนั้นเลยแม้แต่น้อย หรือเขาจะแกล้งให้เธอตายใจแล้วค่อยตลบหลังแบบเจ็บแสบ

“คืนนี้ฉันจะนอนที่นี่”

ร่างบางเงยหน้ามองพัลเลเดียมทันทีที่เขาพุดจบ ม่านตาของเธอขยายเล็กน้อยขณะริมฝีปากอ้าค้าง ชายหนุ่มมองเธอแล้วเลิกปากเหยียดหยัน

“นอนห้องที่เธอนอนนั่นล่ะ”

“เอ้อ...”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป