บทที่ 13 13
“อย่าลืมสิว่าเราเป็นผัวเมียกันแล้ว ผัวเมียก็ต้องนอนห้องเดียวกัน แต่ขอบอกไว้ก่อนนะว่า...คืนนี้ถ้าเธอกัดฉันให้ได้เลือดอีก เจอดีแน่”
ร่างสูงใหญ่คาดโทษก่อนเดินกลับลงไปชั้นล่าง ลลิลน้ำตาซึมและเม้มปากแน่น เธอคิดถึงอิศราขึ้นมาจับใจ เมื่อไหร่เธอถึงจะหลุดพ้นไปจากที่นี่ ไม่มีครั้งไหนเลยที่เจอหน้าเจ้าของห้องแล้วเขาจะพูดจาดี ๆ กับเธอสักหน ไม่มีหนไหนเลยที่เขาจะแสดงความเอื้ออาทรออกมาจากใบหน้าคมเข้มที่ติดในความทรงจำของเธอมากกว่าผู้ชายคนไหน จะมีก็แต่ความดูแคลนเกลียดชังและทำตัวเหมือนศัตรูกันตลอดเวลา ลลิลน้ำตาไหลเพราะยิ่งอยู่ก็ยิ่งต้องแบกรับอารมณ์ผกผันของเขาที่มันทำให้เธออึดอัดมากขึ้นทุกที
เมื่อร่างสูงก้าวออกจากห้องน้ำในสภาพนุ่งผ้าเช็ดตัวเพียงผืนเดียวและตามเนื้อตัวที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามแข็งแกร่งพราวด้วยหยดน้ำเล็ก ๆ พัลเลเดียมกลับต้องประหลาดใจเมื่อเห็นลลิลซึ่งอยู่ในชุดนอนลายทางตัวโคร่ง เขาจำได้ว่ามันเป็นชุดนอนของเขา เธอนั่งบนเบาะผ้าบาง ๆ ที่ปูบนพื้นด้านล่างข้างเตียงนอนขนาดคิงไซส์ ชายหนุ่มเดินไปหยุดใกล้ ๆ และทำให้หญิงสาวซึ่งกำลังกางผ้านวมทำท่าจะล้มตัวลงนอนต้องหยุดชะงัก
“ใครบอกให้เธอนอนตรงนี้ ลาริมาร์?”
เขาถามเสียงเครียดขณะลูบหยดน้ำบนใบหน้าหล่อเหลา ลลิลส่ายหน้า
“ไม่มีค่ะ ลิลอยากนอนตรงนี้เอง”
พัลเลเดียมอยากจะหัวเราะแต่เขาก็เพียงแค่นส่งเสียงในลำคอขณะเดินกลับไปที่เตียงใหญ่และทิ้งตัวลงนั่งบนฟูกหนานุ่ม ลลิลเหลือบมองร่างหนากำยำ เขายังอยู่ในผ้าขนหนูผืนเดียวโดยไม่ยอมเปลี่ยนชุดนอน หญิงสาวทำเหมือนไม่สนใจแต่ข้างในเสียงเต้นของหัวใจดังเหมือนกลองรัว บางครั้งเธออยากทำใจให้คิดว่ามันไม่ต่างกับตอนที่เธออยู่กับอิศรา หากแต่พัลเลเดียมไม่อาจทำให้หญิงสาวทำใจได้เลยว่าเธอกำลังนอนห้องเดียวกับพ่อของเธออย่างแต่ก่อน
“เวลานอนอยากให้เปิดหรือปิดไฟ?” เขาถาม ลลิลก้มลงมองมือตัวเองที่กำลังร้อนผ่าว
“ได้ทั้งนั้นค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะปิดไฟ ฉันไม่ชอบนอนห้องสว่าง ๆ มันทำให้ฉันนอนไม่หลับ”
“แล้วอาพีทไม่เปลี่ยนชุดนอนก่อนเหรอคะ?”
“ฉันชอบนอนแบบนี้ บางทีก็ไม่สวมอะไรเลย...ถ้าเธออยากจะนอนตรงนั้นก็ตามใจ แต่ถ้าเจ็บหลังเมื่อยตัวขึ้นมาก็อย่าเปลี่ยนใจกลับขึ้นมานอนบนเตียงนี่ล่ะ”
“ค่ะ”
“ลาริมาร์”
“คะ?”
“สัปดาห์หน้าฉันจะไปงานมอเตอร์โชว์ เป็นงานแสดงรถยนต์ใหญ่ระดับโลก”
ลลิลชะงัก เธอหันกลับไปมองเขาและคิดถึงภิณไลย์ญาขึ้นมาทันที
“ที่โทรมาจะบอกลิลว่าพี่ได้งานเป็นพริตตี้มอเตอร์โชว์ระดับโลกที่จะจัดขึ้นสัปดาห์หน้า ถ้าลิลว่างอยากให้ลิลไปเที่ยวงาน ไปดูพี่แต่งตัวสวย ๆ แล้วถ้ามีเวลาว่างเราก็จะได้คุยกัน”
หญิงสาวลืมว่าเธอกำลังจะล้มตัวนอนแต่กลับรีบถามขึ้นว่า
“อาพีท...ลิลขอไปด้วยได้ไหมคะ”
4
แรงบีบคั้น
พัลเลเดียมย่นคิ้ว แต่แล้วเขากลับยกยิ้มมุมปากพร้อมทั้งหรี่นัยน์ตาทรงอำนาจ
“ที่อยากไปนี่เธอคงอยากไปดูสินะว่ารถยนต์หรูรุ่นใหม่ที่พ่อของเธอจองไว้ให้ผู้หญิงของเขาเป็นยังไง หรือไม่ก็...” เขาเอนตัวลงเล็กน้อยและจ้องหญิงสาวตาไม่กระพริบ “คงอยากออกไปสูดอากาศหายใจข้างนอกเพราะอยู่แต่ในนี้มันอึดอัดเต็มที”
“ลิลแค่มีเพื่อนที่รู้จักค่ะ เธอเป็นรุ่นพี่ของลิลและเป็นพริตตี้ในงานมอเตอร์โชว์”
เขาพยักหน้าแต่นัยน์ตาส่อแววร้ายกาจ “อยากไปพบเพื่อนรุ่นพี่หรือว่าอยากไปเจอนักธุรกิจหนุ่ม ๆ ในงานกันล่ะ”
“ลิลจะไปเจอใครได้ล่ะคะ ในเมื่อลิล...”
แต่งงานแล้ว...ลลิลรีบกลืนคำนั้นกลับเข้าไปในลำคอทันควันเพราะถ้าปล่อยให้มันหลุดออกจากปากก็รังแต่จะทำทำให้เธอรู้สึกอับอายเสียมากกว่าในเมื่อสายตาของผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีไม่เคยแม้แต่จะมีความชื่นชม เมีย ของเขาแม้แต่น้อย หญิงสาวเม้มปากเข้าหากันและหลบเลี่ยงสายตาคมด้วยการมองไปทางอื่น
“อาพีทจะไม่ให้ลิลไปก็ไม่เป็นไรค่ะ”
“ฉันต้องพาเธอไปด้วยสิ ลาริมาร์”
ร่างหนาในผ้าเช็ดตัวผืนเดียวเลื่อนตัวลงจากเตียงแล้วคว้าร่างเล็กบอบบางไว้หมับเมื่อเธอทำท่าจะหลบเลี่ยง ลลิลถูกดึงเข้าไปในอ้อมอกกว้างที่ดูเหมือนกระด้างของเขา แม้ภายนอกเธอจะเหน็บหนาวแต่หญิงสาวกลับรู้สึกอบอุ่นในส่วนลึกอย่างประหลาด
“อาพีท...ปล่อยค่ะ ลิลจะนอน”
“แต่เรายังคุยกันไม่จบเลยนะ เธอไม่อยากรู้หรือว่าทำไมฉันถึงได้พาเธอไปด้วย”
“เพราะลิลร้องขออาพีทไงล่ะคะ แต่ถ้าอาพีทรู้สึกแปลก ๆ ก็ไม่ต้องพาลิลไปก็ได้”
“แปลกแบบไหน?”
“ก็แปลกแบบที่...”
เสียงนั้นแผ่วลงในทันใดที่ใบหน้าสวยหวานเอียงกลับและแก้มนวลเบียดกับโหนกแก้มสากระคายของชายหนุ่ม สายตาประสานสายตาทำให้ร่างเล็กกระตุกเล็กน้อย เธอเริ่มสั่นในอ้อมแขนแกร่ง ตัวเขาแห้งสนิทจากแอร์คอนดิชั่นและกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของสบู่กำจายออกมาจากร่างสูงใหญ่ กลิ่นหอมที่หญิงสาวคุ้นเคยและทำให้หัวใจของเธอยิ่งไหวหวั่น เสียงห้าวแหบกระซิบแนบพวงแก้มสีชมพูเรื่อ
“แบบไหนล่ะ ลาริมาร์”
“อาพีทอาจจะอึดอัดที่ต้องพาเด็กไปด้วย”
เสียงครางดังในลำคอของเขา “ฉันแค่อยากให้เธอเห็นในสิ่งที่เธอ...ไม่เชื่อตั้งแต่แรก”
“เรื่องอะไรคะ?”
“พ่อของเธอ”
