บทที่ 9 9
เทวายิ้มให้ก่อนจะเดินกลับออกไป หญิงสาวทำท่าลังเลก่อนจะวางนิ้วลงบนลูกบิดหมุนเปิดเข้าไป กลิ่นน้ำหอมปรับอากาศจางๆ ลอยมาแตะจมูก เป็นกลิ่นดอกไม้ไทยๆ ที่หญิงสาวคุ้นเคยจากที่ทำงานเก่า ทว่าลักษมีก็มิได้ฉุกใจคิดอะไรเลย เธอมัวให้ความสนใจกับบรรยากาศภายในห้องที่โอบล้อมด้วยกระจกซึ่งมองจากภายในจะเห็นหาดทรายสีขาวตัดกับน้ำทะเลสีเขียวข้างนอกชัดเจน ในห้องไม่มีใครอื่นนอกจากเธอที่บัดนี้ยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานไม้สักขนาดใหญ่ และใครอีกคนบนเก้าอี้นวมแต่ยังหันหลังให้ผู้รับการสัมภาษณ์โดยดูเหมือนกำลังตรวจสอบเอกสารอะไรบางอย่าง
“นั่งก่อนสิ”
เสียงนั้นคล้ายล่องลอยอยู่สายลม ลักษมีค่อยๆ ทรุดร่างลงบนเก้าอี้ที่อยู่อีกฝั่งของผู้สัมภาษณ์ ความคิดของหญิงสาวยามนี้ยังคงวนเวียนอยู่กับอาการเจ็บป่วยของมารดา มิได้รู้สึกสักนิดว่ามีบางสิ่งบางอย่างกำลังคืบคลานมาหา สักพักผู้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับหญิงสาวค่อยๆ หมุนเก้าอี้กลับมา ร่างสูงใหญ่และใบหน้าคมเข้มนั้นทำให้ลักษมีผงะไปชั่วครู่ หญิงสาวบอกตัวเองว่าเค้าโครงหน้าของผู้ชายคนนี้มีหลายอย่างคล้ายกับคนที่เธอรู้จัก ไม่ว่าจะเป็นคิ้วเข้ม จมูกโด่งรับกับโหนกแก้มสูงและริมฝีปากหนาน้อยๆ นั่น
“สวัสดีครับ คุณ....ลักษมี เศรษฐกร”
ลักษมีพยายามสกัดความรู้สึกเก่าๆ ที่ผุดขึ้นมาโดยไม่ทันได้จับสังเกตน้ำเสียงทุ้มที่เน้นหนักปานใดยามเรียกชื่อเธอ
“ค่ะ...สวัสดีค่ะ”
หญิงสาวไม่ทันได้คิดด้วยซ้ำว่าเคยเจอผู้ชายคนนี้ที่ไหน ในขณะเดียวกันที่อีกฝ่ายพยายามเก็บทุกรายละเอียดของเธอไว้ราวจะให้มันประทับลงไปในความทรงจำส่วนลึกที่เต็มไปด้วยเพลิงพยาบาทเผา ชายหนุ่มจ้องมองหญิงสาวเนิ่นนานจนเธอต้องเบนสายตาไปทางอื่นด้วยรู้สึกถึงความร้อนในกายเริ่มแผ่ไปทั่วร่าง มันหาใช่ความเขินอาย ทว่าเป็นความรู้สึกประหลาดเพราะไม่เคยมีผู้ชายมานั่งจ้องกันซึ่งหน้าแบบนี้นอกจากผู้ชายคนนั้นของเธอ
“อืม...คุณตรงเวลาดีนะ ผมขอแนะนำตัวในฐานะผู้บริหารที่นี่ ผม....ราม วิเศษณ์ธาดา”
เสียงนั้นเหมือนยาชาที่ซึมเข้าสู่กระแสเลือดของหญิงสาว ในโสตประสาทนั้นอื้ออึง เธอรู้สึกเหมือนแขนขาอ่อนแรงลงในทันใด หัวใจดวงนั้นราวโผผินหายไปในดินแดนสนธยาแล้วกระนั้น หญิงสาวพยายามเก็บกลั้นความรู้สึกบางอย่างไว้ ยากเหลือเกินที่จะเก็บความพลุ่งพล่านให้จมลงไปใต้จิตสำนึกที่ยังคงปวดเจ็บหนักหนา รามมองอากัปกิริยาของผู้ที่อยู่ตรงหน้าด้วยนัยน์ตาคมกริบราวใบมีด ทว่าชายหนุ่มก็ฉลาดพอที่จะไม่ทำให้เหยื่อไหวตัวทัน ยามนี้กระต่ายน้อยยังมองไม่เห็นเงาราชสีห์ ฉะนั้นท่าทีปกติที่เขาแสดงออกดูจะเป็นหนทางง่ายๆ ที่ทำให้เหยื่อหลงเข้ามาติดกับเอง
“ทำไมคุณทำหน้าอย่างนั้นล่ะครับ คุณมีอะไรสงสัยหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ...ดิฉันแค่สงสัยว่า...คุณราม..เอ่อ...ได้สัมภาษณ์คนอื่นหรือยัง”
หญิงสาวเพิ่งสบตากับชายหนุ่มเป็นครั้งแรก ผู้ชายคนนี้คงเป็นพี่ชายคนเดียวของราชคนที่เขาเอ่ยถึงและเล่าให้ฟังบ่อยๆ ว่าอยู่เชียงใหม่ แต่ก็น่าประหลาดใจนัก ใยวังวนแห่งโชคชะตาจึงทำให้เธอยังคงต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับคนในตระกูลวิเศษณ์ธาดาอีก
“ทำไมคุณต้องสงสัยเรื่องของคนอื่น...ถ้าผมจะเลือกคุณ”
เสียงนั้นกังวานและหนักแน่นจนลักษมีรู้สึกโกรธตัวเองที่พลั้งถามอะไรโง่ๆ ออกไป
“ที่ผมเรียกคุณมาก็ไม่ได้จะสัมภาษณ์อะไรหรอก เพราะผมมีประวัติของคุณอยู่แล้ว”
เขาพูดพลางวางแผ่นกระดาษที่บันทึกประวัติของหญิงสาวในมือลงบนโต๊ะเพื่อเป็นการยืนยัน “ก็แค่จะบอกเงื่อนไขก่อนที่คุณจะมาทำงานให้ผมในฐานะเลขานุการส่วนตัวที่ต้องรู้ทุกเรื่อง”
แววตาของหญิงสาววาววามขึ้นมาชั่วขณะ ท่าทีเอาจริงเอาจังของเขาทำให้เธอเริ่มไม่แน่ใจลึกๆ
“ผมจะให้คุณเดือนละหนึ่งแสนบาท”
“หนึ่งแสนหรือคะ...ทำไมเงินเดือนเลขามันมากมายอย่างนั้น คุณพูดผิดรึเปล่าคะ”
ชายหนุ่มเหยียดริมฝีปากออกก่อนตอบ “หนึ่งแสนสำหรับงานทุกอย่างที่คุณต้องทำให้ผม โดยไม่มีข้อปฏิเสธ ผมเรียกคุณเมื่อไหร่คุณก็ต้องมาหาผมได้ทุกเวลา มันไม่มากหรอกสำหรับคนจ้างงานที่จะได้ลูกจ้างที่ทำได้ทุกอย่าง”
ลักษมีฉงนฉงายในใจยิ่งนัก ที่ทำงานเก่าเธอได้รับแค่เดือนละหมื่นห้า แต่ข้อเสนอที่มีคนเอามาวางไว้ตรงหน้าขณะนี้มันทำให้เธองุนงงยิ่ง หญิงสาวได้แต่อึ้ง อึ้งอยู่นานทีเดียว
“ทำให้คุณได้ทุกอย่าง...หมายความว่า.....”
“ก็หมายความอย่างที่พูด ผมขอซื้อเวลาของคุณ คุณจะต้องมีเวลาให้ผมคนเดียว ทุกนาทีของคุณคือเวลาของผม”
“คุณรามคะ....ดิฉันคิดว่านี่ไม่ใช่เนื้องานของคนที่เป็นเลขา ถ้าเป็นอย่างที่คุณว่าดิฉันคงต้องขอปฏิเสธ”
“สองแสนบาท!....ผมให้คุณไปคิดคืนนี้ ถ้าคุณรับข้อเสนอของผมได้ พรุ่งนี้ก็โทรมาแล้วกัน”
รามทิ้งนามบัตรลงบนโต๊ะแล้วหันไปหยิบหนังสือขึ้นมาเปิดอ่านอย่างไม่แยแสปล่อยให้ลักษมีนั่งหน้าชาอยู่นิ่งนาน ที่สุดแล้วหญิงสาวก็ลุกจากที่นั่งก่อนจะเดินไปที่ประตูโดยไม่ยอมหยิบสิ่งใดติดมือไปด้วย
“ถ้าคุณไม่สะดวกจะโทร ก็มาหาผมที่นี่แล้วกัน”ชายหนุ่มพูดทิ้งท้ายทำให้คนฟังชะงักไปชั่วครู่ ลักษมีมือชาไปหมด เธอรีบเปิดประตูแล้วเดินออกไปทิ้งไว้แต่คนที่นั่งอยู่เบื้องหลังเหยียดรอยยิ้มออกมาอย่างเหี้ยมเกรียม
