บทที่ 3 1.2
ศิลาถอนหายใจ สีหน้าเป็นกังวล พร้อมเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ เป็นที่รู้กันว่าคนงานที่ประสบอุบัติเหตุตกแท็งก์น้ำท้ายไร่ระหว่างขึ้นไปอุดรอยรั่วอาการเป็นตายเท่ากัน ผ่าตัดมาแล้วหลายครั้งแต่ก็ไม่ได้ผลที่น่าพึงพอใจ ชายเจ้าของไร่จึงพยายามเสาะหาหมอเก่งๆ มารักษาเพื่อไม่ให้ลูกคนงานชายคนนั้นต้องเป็นเด็กกำพร้า...ขาดพ่อ
“หมอคนนี้เป็นใคร” เขาอยากรู้จักทุกคนที่จำเป็นต้องไว้ใจ ไม่เช่นนั้นความสูญเสียอาจตามมา
“ทางโรงพยาบาลส่งข้อมูลเธอมาให้แล้ว เดี๋ยวผมจะเอาให้นายอ่าน เห็นว่าคุณโทเบียสเป็นคนจัดการให้ก็น่าจะไว้ใจฝีมือได้” เขาหมายถึงชายเจ้าของโรงพยาบาลที่ศิลาเป็นหุ้นส่วนอยู่นั่นเอง
“ฝากด้วย” คนเป็นเจ้านายพูดจบจึงพยักพเยิดให้นายทองออกไป แต่ฝ่ายนั้นกลับทำท่าเหมือนมีอะไรจะพูด “มีอะไรอีก”
“ผมว่านายพักบ้างก็ดีนะ ความจริงนายไม่น่าจะทำงานพวกนี้แล้วด้วยซ้ำ” สายตาคนพูดทอแววห่วงใยจากใจจริง
ศิลายิ้มน้อยๆ ก่อนจะส่ายศีรษะ เขารู้ว่านายทองเป็นห่วง เพราะฝ่ายนั้นดูแลเขามาตั้งแต่เด็กๆ จึงนับได้ว่าเป็นญาติผู้ใหญ่อีกคน...แต่ก็น่าจะรู้ว่าการทำงานหนักสำหรับเขามันคือชีวิตจิตใจ
“ทำไงได้ล่ะนายทอง ฉันทำแบบนี้จนชินซะแล้ว...จะให้เลิกแล้วมานั่งเครียดในห้องทำงานฉันทำไม่ได้หรอก”
“แต่ที่นายทำมันเกินไปแล้วนะครับ ผมเป็นห่วงสุขภาพนาย”
“ไม่ต้องห่วงฉันหรอก ดีเสียอีก...ฉันจะได้ไม่ต้องหมกมุ่นคิดถึงแต่เรื่องราวร้ายๆ” มีหรือเขาจะไม่รู้ว่าที่ศิลาตรากตรำทำงานหนักเพื่ออะไร หากเป็นเมื่อสิบปีก่อนเขาจะเชื่อว่าเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัวให้ทัดเทียมคนอื่น แต่ในวันนี้ที่ศิลามีทุกอย่างชายหนุ่มกลับเลือกทรมานร่างกายเพื่อให้ลืมความทุกข์ในใจ
“นายควรทำใจให้ได้นะครับ ผมเองก็...”
“มันจะมีประโยชน์อะไรที่เราจะมาพูดเรื่องเดิมๆ นายทองไปพักเถอะ แล้วให้ไอ้เพิ่มไปเตรียมน้ำให้ฉันอาบ” ศิลาตัดบท เขาจับความเศร้าได้ในกระแสเสียงนายทอง...คนที่คอยหลอกตัวเองทุกวันว่ายังไหว ทั้งที่หัวใจข้างในนั้นแทบจะขาดรอนๆ
“ครับ” ทองค้อมศีรษะรับก่อนจะเดินออกจากห้องไป
ศิลาจึงมีเวลาได้คิดอะไรคนเดียวเงียบๆ แต่ความเงียบกลับทำให้หัวใจข้างในฟุ้งซ่าน จนไม่อาจกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้เลย ตราบใดที่คนที่เคยทำเลวกับเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่ามันยังไม่พินาศ...ใจเขาก็ไม่มีทางสงบสุข
ทองวางแฟ้มประวัติหมอผู้จะมารักษาคนงานทิ้งไว้บนโต๊ะที่เฉลียง ศิลาเพิ่งจะมีเวลาว่างได้หยิบขึ้นมาอ่าน หมอชื่อ ‘Grace Laurent’ ทว่ายังไม่ทันจะได้เปิดก็มีสายเข้าเสียก่อน ชายหนุ่มคุยโทรศัพท์อยู่ครู่หนึ่ง เป็นเรื่องที่ทำให้เขาพึงพอใจมาก มุมปากหยักยกยิ้มเจ้าเล่ห์หลังวางสายจากลูกน้องก่อนจะหันไปสั่งนายเพิ่ม
“แกไปจัดการเก็บกวาดห้องเก็บของหลังโรงปุ๋ย พรุ่งนี้จะมีคนมาพัก”
“อ้าว! ทำไมเจ้านายไม่ให้เขาพักอยู่ที่เรือนใหญ่ล่ะครับ ปกติเจ้านายจะให้แขกพักที่เรือนใหญ่ไม่ใช่หรือครับ” ลูกน้องขี้สงสัยถามเซ้าซี้เจ้านาย ซึ่งเขามักจะลืมอยู่ทุกครั้งว่าคำตอบที่ได้จะเป็นแบบไหน
“ไอ้เพิ่ม” ศิลาหันมามองเพิ่มท่าทางหัวเสีย “เข้ามาใกล้ๆ หน่อยซิ” กวักมือเรียก เพิ่มพาซื่อ เดินเข้ามาด้วยความรู้เท่าไม่ทันการณ์ ทันใดนั้นก็ถูกแข้งหนักๆ ฟาดลงไปที่ก้นหลายที
“โอ๊ยเจ้านาย! ยอมแล้ว จะไม่ถามอีกแล้ว” เพิ่มร้องเสียงหลงวิ่งหนีหางจุกตูด
เมื่อจัดการไล่ตะเพิดคนงานจอมทู่ซี้ออกไปแล้วรอบกายเขาก็ตกอยู่ในความเงียบงัน ไม่มีอะไรที่เขาจะทำในเวลานี้ดีไปกว่าการหัวเราะ...เสียงหัวเราะที่แฝงความเกรี้ยวกราดและเยือกเย็นทำให้ชายหนุ่มกลายเป็นคนที่คนรอบข้างไม่ปรารถนาเข้าใกล้
เกมกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
เขาคิดก่อนจะเดินออกไปจากตรงนั้นเพราะมีงานหลายอย่างให้ต้องสะสาง ไม่สนใจหยิบแฟ้มนั้นขึ้นมาอีกครั้งโดยที่ไม่รู้เลยว่าวันข้างหน้าจะต้องเสียดายที่ไม่ได้เปิดดูมัน
แก้วดาราน้ำตาไหลรินขณะนั่งแท็กซี่จากสนามบินไปตามทางที่บอกในแผนที่...ไม่อยากคิดถึงเวลาอันใกล้ที่จะต้องพบกับโชคชะตาเลวร้าย จึงตัดสินใจหลับเอาแรงในแท็กซี่คันนั้น
ไม่นานก็มายืนอยู่หน้าไร่องุ่นที่ป้ายเขียนชื่อไว้ว่า ‘ไร่ภูสิตา’ ก่อนจะลากกระเป๋าใบกะทัดรัดเดินเข้าไปตามถนนในไร่ เธอสูดหายใจเข้าปอด พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลหลังจากที่เพิ่งปาดมันไปหยกๆ และบอกตัวเองว่าแค่คืนเดียวเท่านั้น...คืนเดียว แล้วเธอก็จะเป็นอิสระ
เธอเดินตามแสงไฟสลัวที่เห็นอยู่ไกลๆ คาดว่าน่าจะเป็นบ้านหรือไม่ก็เรือนคนงาน ซึ่งสิ่งแรกที่ต้องทำคือรายงานตัวกับเจ้าของไร่ ระหว่างทางได้สวนกับรถพอร์ชคันหนึ่ง เดาว่าขับออกมาจากเรือนไม้ แต่คงไม่ใช่เจ้าของบ้าน เพราะหล่อนเป็นผู้หญิงผิวขาวหน้าตาสะสวย ไม่ใช่ชายแก่พุงพลุ้ย คงเป็นลูกหรือไม่ก็แขก หญิงสาวคิด
แก้วดาราละความสนใจจากรถคันนั้นแล้วเดินต่อไปจนถึงเรือนไม้ปีกหลังใหญ่ ค่อยๆ เดินเข้าไป ในใจภาวนาขอให้เจ้านายไม่โหดแบบที่คิดไว้ด้วยเถิด
“คุณเป็นใคร?”
เสียงใครบางคนดังมาจากหลืบประตู แก้วดาราหันไปมอง ชายหนุ่มคนนั้นรูปร่างสูงใหญ่ราวกับยักษ์ปักหลั่น หน้าตารกครึ้มไปด้วยหนวดเครา ทว่าเขากำลังยืนมองเธอตาไม่กระพริบ
ชายหนุ่มตกตะลึงในทันทีเมื่อเห็นเธอ ริมฝีปากสีชมพูเอิบอิ่ม จมูกเล็กได้รูปรับกับใบหน้ารูปไข่กลมกลึง ดวงตากลมสวยได้รูปเปล่งประกายวาววับรับกับคิ้วโก่งดกดำพาให้เขาต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างเผลอไผล...ทุกส่วนประกอบที่ก่อขึ้นเป็นผู้หญิงคนนี้ช่างให้ความรู้สึกวิเศษกับเขาได้มากมายทีเดียว ราวกับเธอมีมนตร์สะกดให้เขาตกอยู่ใต้อำนาจเธอ โดยไม่รู้เลยว่าตัวเองตกอยู่ในวังวนนี้นานเท่าไหร่และไม่แน่ใจว่าเธอเรียกเขาไปแล้วกี่ครั้ง จนกระทั่ง
โครม!
ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือกเมื่อเกิดเสียงดัง จึงได้หันไปมองตัวต้นเหตุ ก็ให้ได้หงุดหงิดใจเพราะมันที่ผลักประตูเข้ามาคือไอ้เพิ่มเจ้าเก่า
“อะไรวะไอ้เพิ่ม!” ชายหนุ่มหันไปตวาดคนทำเสียงดัง
“เห็นคุณผู้หญิงคนนี้เรียกนายอยู่ตั้งนาน...แต่นายก็ยังเคลิ้มไม่ยอมตื่นซักที ผมก็เลยเข้ามาช่วย” เพิ่มบอกหน้าซื่อ ศิลากุมขมับ เขารู้ว่าลูกน้องคนนี้หวังดี แต่นานเข้าก็ทำอะไรไม่เหมือนผู้เหมือนคนไปทุกที
“นายงั้นหรือ”
แก้วดาราอุทานเบาๆ เมื่อได้ยินคนทำเสียงดังเรียกผู้ชายหนวดเฟิ้มตรงหน้าว่า ‘เจ้านาย’ ทีแรกเธอคิดว่าน่าจะเป็นยามมากกว่า
“เออ ขอบใจ ออกไปได้แล้วไป” ศิลาออกคำสั่งพลางโบกมือไหวๆ
“ครับนาย” เพิ่มรีบวิ่งออกไปก่อนจะโดนเจ้านายเล่นงานเข้าให้
“คุณเป็นใคร” ศิลาหันมาหาหญิงสาวคนเดิม มองเธอด้วยสายตาที่แปลกไปพร้อมถามคำถามเดิมอีกครั้ง
“ดิฉันมาจากรัตนโภคิน...ส่วนคุณคงเป็นเจ้าของไร่ใช่ไหมคะ” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบขรึม แต่ปากสั่นหวาดกลัว พยายามขับไล่ความกลัวนั้นออกไป เธอไม่น่าเชื่อว่าเขาเป็นเจ้าของไร่นี้
ดูจากรูปร่างกำยำและการแต่งกายแล้วเหมือคนสวนมากกว่า แต่หากโกนหนวดเคราหน่อยก็คงหล่อน่าดู ผิดกับในความคิดที่คิดว่าเขามีอายุ พุงพลุ้ย ต่างกับความจริงราวฟ้ากับเหว เขามีใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มเหมือนลูกครึ่งแขก ดวงตาเป็นประกายวาววับ จมูกสันเป็นคม...และที่สำคัญเขามีริมฝีปากรูปกระจับน่ามอง แต่คงจะดีไม่น้อยถ้าเขาเริ่มต้นทักทายด้วยดีเหมือนหน้าตา เพราะนอกจากจะไม่ตอบคำถามเธอแล้ว เขายังมองมาด้วยสายตาประเมินค่า
“หน้าดิฉันมีอะไรติดหรือเปล่าคะ” แก้วดารากลั้นใจถามด้วยเสียงสั่นๆ อยากทำลายบรรยากาศอึดอัดรอบกาย
ศิลาหัวเราะในลำคอจนหญิงสาวรู้สึกเย็นสันหลังวาบ มาถึงตอนนี้เธอกลับคิดอยากจะให้เขาเป็นตาแก่มากกว่าผู้ชายหุ่นล่ำหน้าคมแบบนี้ เพราะคนแก่รักเด็กหรือแม้จะไม่รักก็คงไม่มีแรงทารุณ...แต่คนหนุ่มคึกคะนอง และดูจากแววตา หญิงสาวรู้ทันทีว่าคนตรงหน้าจะไม่มีความอ่อนโยนให้เธอ...เขามองเธอเหมือนอะไรเธอรู้ดี
“เป็นเธอนี่เอง ฉันรออยู่ตั้งนาน...ตามฉันมา” ชายหนุ่มทำท่าทางออกคำสั่ง สรรพนามเปลี่ยนทันทีเมื่อรู้ว่าเธอมาจากรัตนโภคิน
“คุณจะพาดิฉันไปไหนคะ?” แก้วดาราถามหยั่งเชิง
ศิลาแสยะยิ้มเผยแววตาอำมหิตอยู่แวบหนึ่ง ก่อนสาวเท้าเดินเข้ามาใกล้ ท่วงท่าเนิบนาบมั่นใจ เพียงเสี้ยววินาทีหญิงสาวรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกที่เขาส่งผ่านทางแววตา
“แล้วเธอมาที่นี่เพื่ออะไรล่ะ” คนตัวโตเดินเข้ามากระซิบบอก แววตาคมแกร่งแฝงความเย้ยหยัน
หญิงสาวหัวใจหล่นวูบพร้อมกับถูกมือใหญ่ฉวยข้อมือข้างที่จับคันลากกระเป๋าเดินทาง
“ถ้าเธอมาเพื่อเสนอ...ฉันก็จะพาเธอไปสนอง!” เขาเน้นเสียงหนักทีละคำ
แก้วดาราน้ำตาคลอเบ้า หัวใจเต้นแรงด้วยความหวดกลัวเมื่อคนตัวโตรวบมือเธอได้ทั้งสองข้างแล้วดึงตัวเข้าไปใกล้ ทำให้รับรู้ถึงลมหายใจอุ่นที่เป่ารดใบหน้า ดวงตาคมแกร่งคู่นั้นจ้องมาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ เธอไม่คิดว่าจะได้รับการทะนุถนอมจากชายคนนี้ แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็จำต้องทน...เพื่อครอบครัว
