บทที่ 4 2.1

ก่อนหน้านี้

ภายในเรือนเล็กหลังเล็กสไตล์ยุโรปที่อยู่ลึกเข้าไปในสวน คนของบ้านรัตนโภคินกลุ่มหนึ่งช่วยกันทำความสะอาดโดยรอบขณะที่คนรถกำลังจะขับรถออกไปรับแขกพิเศษที่สนามบิน แต่ทว่า

“นี่พวกแกกำลังจะทำอะไรน่ะ!”

เสียงเข้มขรึมนี้ทำให้ทุกคนถึงกับสะอึก

“พวกเราจะไปรับคุณหนูใหญ่ที่สนามบินครับคุณท่าน” คนขับรถหันมาบอก

เมื่อ ‘คุณท่าน’ ได้ยินชื่อเรียก ‘คุณหนูใหญ่’ ก็อดยิ้มไม่ได้ เพราะนั่นคือคนที่เขาเฝ้ารอมานานหลายปี

“กลับมาแล้วหรือ” น้ำเสียงศักดาอ่อนลง คนฟังจับความอาทรในนั้นได้

“ท่านอย่าดุพวกเราเลยนะคะ”

นวลจันทร์อดีตพี่เลี้ยงคุณหนูใหญ่เอ่ยขอร้อง กลัวจะถูกตำหนิที่ทำอะไรโดยพละการโดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับคุณหนูใหญ่เนื่องจากศักดาไม่ลงรอยกับลูกสาวคนโตมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว

“ก็ไปสิ...ไม่มีใครว่าหรอก” ศักดาพยักพเยิด เขาเองก็อยากจะเจอหน้าลูกใจจะขาดเหมือนกันแต่ก็ไม่รู้ว่าจะแสดงออกแบบไหน

คนในบ้านขอบคุณเขายกใหญ่ก่อนที่จะยกโขยงพากันมุ่งหน้าไปยังสนามบิน ศักดามองตามด้วยความอาลัย เขาอยากจะลูกตามไปด้วย แต่ความร้ายกาจที่เขาทำไว้กับลูกมันคงจะทำให้เธอเกลียดพ่อตัวเองไปแล้ว

ร่างเล็กยืนพิงกับเสาชิงช้าหน้าเรือนยุโรป ท่ามกลางสายลมและแสงแดดอ่อนยามเช้า สายตามองไปรอบสวนสีเขียว มันสงบสุข ร่มรื่น และเย็นสบาย หากภายใต้ท่าทีสงบนิ่งนี้คือความหมองเศร้าที่พยายามซ่อนไว้ทุกครั้งที่คิดถึง ‘บ้าน’ สถานที่แสนอบอุ่น แต่เธอกลับรู้สึกกลัว...

“คุณหนูใหญ่คะ” นวลจันทร์เดินลอดซุ้มไม้เลื้อยหน้าเรือนเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“จ้ะแม่นวล” แก้วดาราหันไปคลี่ยิ้มนิดหน่อยแล้วเดินเข้าไปหา

“ท่านให้มาตามไปรับประทานอาหารเช้าที่เรือนใหญ่ค่ะ”

สิ้นคำบอก รอยยิ้มของแก้วดาราแทบจะหุบหลังจากที่ได้ฟังแต่ก็ฝืนยิ้มต่อไปได้ ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจที่พ่อยังรู้ว่ามีเธออยู่บนโลกใบนี้

“เรียนคุณพ่อด้วยนะจ๊ะว่าเดี๋ยวฉันตามไป”

หญิงสาวเดินกลับเข้าไปแต่งตัวให้ดูเรียบร้อยกว่าชุดนอนบางๆ ชุดนี้ เพราะกลัวจะถูกกกล่าวหาว่าเป็นผู้หญิงใจง่ายอีก

แก้วดาราเดินออกจากบ้านทรงยุโรปด้วยชุดที่ท่อนบนมีเพียงสายเดี่ยวคอคว้าน ประดับลูกไม้ที่ทำจากผ้าชีฟองสีเดียวกับตัวเสื้อ ท่อนล่างเป็นกางเกงผ้าลินินสีเขียวมรกตที่ยาวผ่านจุดนั้นมาเพียงสองนิ้ว ทันทีที่มาถึงห้องโถง ทุกคนก็อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว

‘ทุกคน’ ที่มีแค่ศักดาที่วันนี้เขาจำได้ว่าเธอเป็นลูกเลยเรียกให้มาร่วมโต๊ะด้วยและนลินีที่นั่งปั้นหน้ายิ้มเป็นแม่ผู้แสนดีอยู่ข้างๆ

“สวัสดีค่ะคุณพ่อ สวัสดีค่ะ...คุณน้า” แก้วดารายกมือไหว้พ่อและนลินีก่อนจะทำหน้าเชิดแล้วเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่งซึ่งมีคนเลื่อนให้ หญิงสาวไม่ลืมกล่าวขอบคุณ

ศักดาหวังในใจว่าลูกจะพูดคุยกับตนมากกว่าการกล่าวคำว่าสวัสดี แต่ก็ไม่...เพราะแก้วดาราเอาแต่ก้มหน้าทานข้าวท่าเดียว หญิงสาวรู้ว่ามันเสียมารยาท แต่ก็ไม่รู้ว่าเรื่องไหนที่เธอทำแล้วจะดูเป็นเด็กมารยาทดีในสายตาผู้เป็นพ่อ

“ชุดสวยดีนะจ๊ะ” นลินีเป็นฝ่ายทำลายบรรยากาศตึงเครียดในห้องอาการด้วยการเอ่ยชมหญิงสาวพร้อมรอยยิ้ม

แก้วดาราชะงักแล้วปรายตามองคนชมนิดหนึ่ง สีหน้าและแววตาไม่ยินดียินร้าย หากก็ยอมสนทนากับฝ่ายนั้นเพื่อนรักษามารยาท

“ขอบคุณค่ะ...คุณน้าชอบไหมคะ หนูจะได้ยกให้ จะได้ไม่ต้องเที่ยวไปแย่งของของคนอื่นเขามาอีก” หญิงสาวแกล้งบอกยิ้มๆ เธอตั้งใจแต่งตัวมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ วาจาเชือดเฉือนให้คนฟังถึงกับขบกรามปูด

“แก้วดารา พูดอะไรแบบนั้นห้ะ” ศักดาปรามเบาๆ

“ไม่เป็นไรค่ะคุณพี่ หนูเกรซคงจะยังไม่ชิน สิบกว่าปีที่หายหน้าหายตาไปคงทำให้เธอไม่รู้จักความหมายของคำว่าเด็กและผู้ใหญ่ น่าเห็นใจอยู่นะคะเพราะว่าไม่มีใครคอยอบรมตั้งแต่เด็ก มันเป็นความผิดดิฉันเองค่ะที่ปล่อยให้หนูเกรซไป ไม่เช่นนั้นคงจะมีเวลาสั่งสอนเธอได้มากกว่านี้” นลินีหันไปบอกกับศักดา พยายามทำให้ตัวเองดูเหมือนแม่เลี้ยงแสนดีมากที่สุด แต่แก้วดารากลับแค่นเสียงหัวเราะเยาะ

“หยุดนะแก้วดารา! เพราะนิสัยแบบนี้ไงฉันถึงเอือมระอากับแก” ศักดาตะคอกลั่นห้องอาหาร ทำให้คนเป็นลูกชะงักงัน มองคนเป็นพ่อด้วยแววตาปวดร้าว...มีครั้งไหนบ้างที่เธอจะดูดีในสายตาพ่อ

“หนูยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะคะ” หญิงสาวกล่าวเบาๆ น้ำตาที่กลั้นไว้พานจะไหล ไม่มีสักครั้งเลยสินะที่พ่อจะเข้าข้างเธอ

กระนั้นความรู้สึกศักดาก็ไม่ได้ดีไปกว่าคนเป็นลูก แก้วดาราก็ยังไม่ได้ทำอะไรจริงๆ แต่เขาอาจจะกลัวเกินไปก็ได้ ชายสูงวัยจึงเงียบไปเสีย

“หนูอิ่มแล้วค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ” หญิงสาวบอกเสียงกระด้าง วางช้อนลงกับจานเสียงดังอย่างประชดประชันก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้

“อะไรกันจ๊ะหนูเกรซ เมื่อคืนกลับมาถึงก็ไม่ขึ้นไปกราบพ่อ วันนี้พ่อให้มาร่วมโต๊ะด้วยก็ทำแบบนี้ ใช้ได้ที่ไหนกัน” นลินีกล่าวแดกดันแต่ใบหน้าเจือไปด้วยรอยยิ้มที่คนฟังรู้ดีว่ารอยยิ้มแสนดีนี้ซ่อนความร้ายกาจเอาไว้มากมายเพียงใด แก้วดารากรอกตาเอือมๆ ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมา

“กว่าจะมาถึงก็ดึก เพราะฉะนั้นจะรบกวนพ่อทำไมล่ะคะ อีกอย่างก็ไม่รู้ว่าถ้าขึ้นไปกราบแล้วจะมีอะไรดีขึ้นก็เลยไม่ไป” หญิงสาวบอกเสียงเข้ม กระทบกระเทียบคนเป็นพ่ออยู่ในที

“ถึงจะงั้นก็เถอะ นั่งลงคุยกันก่อนก็ได้” ศักดาบอกตอนที่เห็นบุตรสาวกำลังจะเดินออกไป ทำให้แก้วดาราเป็นต้องชะงัก ร้อยวันพันปีพ่อไม่เคยพูดดีกับเธอเลย...นี่เธอหูฝาดไปหรือเปล่า แต่หญิงสาวก็รักท่านเกินกว่าจะทำร้ายจิตใจด้วยการเดินหนีไปดื้อๆ ได้ เลยกลับมานั่งที่เดิม

“ทานนิดเดียวจะอิ่มหรือไง ทานต่ออีกนิดจะได้มีแรง” ศักดาบอกพลางโบกมือให้สาวใช้มาเติมข้าวให้แก้วดารา

“หนูก็ไม่ใช่คนแรงน้อยอะไรนี่คะ”

แก้วดาราไม่ยอมอ่อน เธอจ้องศักดาตาปริบๆ วันนี้ท่านแปลกไป หญิงสาวสัมผัสได้ เช่นเดียวกับที่นลินีรู้สึก...แต่ฝ่ายนั้นกลับไม่อยากให้ศักดาเป็นแบบนี้เลย นลินีชอบศักดาคนเก่าที่จงเกลียดจงชังนางเด็กแก้วดารามากกว่า

“กินๆ ไปเถอะน่า” ศักดาพูดเหมือนรำคาญ แต่ความจริงแล้วเขาไม่อยากจะเถียงกับลูกแล้วก็ลงเอยกันด้วยการทะเลาะกันเหมือนที่ผ่านมาอีก

แก้วดาราอยากทำหน้าง้อง้ำแต่ก็กลัวจะถูกท่านลงโทษจึงก้มหน้าละเลียดข้าวในจานอย่างคนยอมจำนน ไม่มีใครพูดอะไรอีกจนกระทั่งคนเป็นพ่อเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง

“เมื่อคืนกลับมาถึงกี่โมงล่ะ...เกรซ”

ท้ายประโยคแสดงถึงความผูกพันใกล้ชิด แววตาเขาสามารถถ่ายทอดความอบอุ่นเข้ามาในหัวใจกระด้างของคนเป็นลูก มันเพียงพอแล้วที่จะทำให้หัวใจบอบช้ำกลับมาชุ่มชื้นอีกครั้ง

“ประมาณเที่ยงคืนได้ค่ะ” แก้วดารายิ้มแกนๆ จะทำหน้าบึ้งก็ไม่ได้จะดีใจก็ไม่สุด เธอไม่รู้จะแสดงออกต่อท่านแบบไหน แต่เท่านี้ศักดาก็ดีใจแล้วที่ได้รู้ว่าหญิงสาวไม่ได้เกลียดเขาแบบที่เขาเข้าใจ

“แล้วกลับมาคราวนี้จะอยู่ที่นี่ยาวเลยหรือเปล่า” ศักดาถามด้วยความหวัง แต่แก้วดาราสั่นศีรษะ ทำเอาหัวใจคนเป็นพ่อหล่นวูบ...

“คิดว่าถ้าทำงานเสร็จแล้วจะอยู่ที่นั่นยาวเลยค่ะ พ่อมีบ้านที่เชียงใหม่หลังนึง น่าจะไม่กลับสิงคโปร์แล้วก็ไม่ไปที่ไหนอีกแล้ว...ไว้วันหลังจะให้คนมาขนของในบ้านแม่ไปไว้ที่โน่นนะคะ รอบนี้อะไรๆ มันเร่งรีบมากหนูไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน” แก้วดาราไม่ได้คิดอะไร แค่พ่อถามแล้วเธอตอบ

ทว่าศักดาที่ได้ฟังก็ถึงกับหน้าเจื่อน ในลำคอมันเหนียวๆ จะกลืนก็ไม่เข้าจะคายก็ไม่ออก พ่อที่ลูกสาวเขาหมายถึงคือเศรษฐีชาวฝรั่งเศสผู้เป็นเจ้าของโรงพยาบาลที่แก้วดาราทำงานอยู่...ไม่ใช่คนที่ทำให้เธอเกิดมาแต่ไม่เคยเอาใจใส่ดูแลจนเวลาล่วงเลยมานานขนาดนี้...นานจนรู้แล้วว่าเวลาที่เหลืออยู่มันสั้นเหลือเกิน

“ก็ไหนว่าประจำอยู่โรงพยาบาลในสิงคโปร์ไง แล้วมาอยู่ที่ไทยจะไม่เสียการเสียงานหรือ” ศักดาถามต่อ

“ไม่หรอกค่ะ ท่านให้หนูย้ายมาที่โรงพยาบาลในเชียงใหม่แล้ว ที่นั่นก็ให้ลีฟดูแลไป ไว้คิดถึงกันเมื่อไหร่เราสองคนค่อยนัดเจอกันค่ะ” แก้วดาราหมายถึงน้องสาวชาวอเมริกันที่พ่อบุญธรรมรับมาเลี้ยงอีกคน

พ่อบุญธรรมของแก้วดาราเป็นเจ้าของโรงพยาบาลและเป็นผู้ให้ทุนเรียนต่อแก่เธอ ถ้าไม่มีเขาเธอก็ไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดียังไง คิดแล้วก็อยากหัวเราะให้กับโชคชะตาเหมือนกัน...แต่อย่างไรเสียศักดาก็คือพ่อแท้ๆ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเธอก็รักเขามากที่สุด

“มีอะไรจะถามอีกไหมคะ” แก้วดาราถามบ้าง แน่นอนหญิงสาวรำคาญเพราะไม่เคยเห็นศักดาสนใจเรื่องเธอมากขนาดนี้มาก่อน

“ไม่ละ” ศักดาส่ายหัวแล้วก้มลงเขี่ยข้าวในจาน

คนเป็นลูกมองเขาด้วยความไม่เข้าใจแต่ก็ไม่ได้ถามอะไร เนื่องจากไม่รู้ว่าควรต้องคุยกับท่านแบบไหน พูดอย่างไรถึงจะเข้าหูเลยเงียบดีกว่า

นลินีดูออกว่าสามีพยายามจะเข้าหาลูกสาวแต่อาจจะเป็นเพราะแก้วดาราไม่ได้ผูกพันกับเขาเลยไม่เข้าใจ แต่เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว ยิ่งพ่อลูกสองคนนี้ห่างเหินกันมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีต่อเธอมากเท่านั้น เรื่องมันจะได้ง่ายขึ้น

“ทานข้าวกันดีกว่านะคะ กับข้าวชืดหมดแล้ว...มาค่ะ เดี๋ยวดิฉันตักให้คุณพี่นะคะ” นลินีเอาใจศักดาและเผื่อแผ่ความใจดีมาที่แก้วดาราโดยการตักกุ้งตัวโตส่งลงจานให้เธอด้วย

ทว่าเพียงแค่เห็นกุ้งหญิงสาวก็ตกใจทำส้อมหล่น มื้อไม้สั่นจนแทบคุมสติไม่อยู่ แต่ในที่สุดก็จับส้อมขึ้นมาแล้วฉีกยิ้มประหลาดให้ หางตามองชนิดที่นลินีรู้ว่าคนตรงหน้ากำลังประกาศศึก

“แม่นวลช่วยเอาข้าวจานนี้ไปทิ้งให้หนูหน่อยสิจ้ะ หนูไม่แน่ใจว่าหนูจะกินได้หรือเปล่า” แก้วดาราหันไปสั่งคนของเธอ เน้นเสียงหนักทุกคำ ทำให้ศักดามองหน้าเธอด้วยความคาดไม่ถึง

“ทำไมแกถึงทำแบบนี้แก้วดารา ขอโทษคุณน้าเดี๋ยวนี้”

“ไม่ค่ะ” หญิงสาวยืนยันเสียงแข็ง ลุกพรวดออกจากเก้าอี้ เช่นเดียวกันกับศักดา ฝ่ายนั้นตบโต๊ะดังปัง เท้าแขนกับโต๊ะแล้วโน้มตัวมา แก้วดาราสบตาตอบ “หนูไม่ขอโทษ” เธอย้ำชัดทีละคำ

“แก!...”

“พ่อก็รู้ว่าหนูแพ้กุ้งไม่ใช่หรือคะ!” แก้วดาราโพล่งขึ้น แววตาปวดร้าว เธอน่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าเขาไม่เคยสน

ขณะที่ศักดานิ่ง สายตามีแววประหลาดผ่านเข้ามาแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร แก้วดาราเลยเดินไปจากห้องอาหารพร้อมพูดกับคนของตน

“แม่นวลไปช่วยหนูจัดกระเป๋าด้วยนะคะ เย็นนี้หนูจะไปจากที่นี่...มันไม่ใช่บ้านหนู”

ใช่ว่าแก้วดารากำลังประชดประชัน แต่นั่นเพราะเธอเจียมตัวว่าบ้านหลังนี้ไม่ใช่ของเธอ ถึงมันจะเป็นสิ่งที่พ่อแม่ร่วมสร้างด้วยกันมาทว่าตอนนี้เธอไม่มีสิทธิ์...ไม่มีแม้สิทธิ์ที่จะใช้นามสกุลรัตนโภคิน

“แก้วดารานี่ไม่ได้เรื่องเลยนะคะคุณพี่ ก้าวร้าวใส่ไม่พอยังยกย่องคนอื่นมากกว่าพ่อตัวเองอีก เห็นไหมคะ มันหัวแข็งเหมือนแม่มันไม่มีผิด ถ้าลูกเมนี่เป็นแบบนี้ดิฉันจะจับตีจนก้นลายเลยค่ะ”

“อย่าเอาเด็กหัวแข็งคนนี้ไปเปรียบกับมณีรินเลย เขาเป็นเด็กดีไม่ควรถูกเอามาเทียบกับพี่แย่ๆ แบบนี้...คงผิดที่ฉันไม่ได้อบรมสั่งสอนมันมาตั้งแต่เด็ก ปล่อยให้ยายเอาไปเสี้ยมจนกลายเป็นแบบนี้”

ศักดาแค่นเสียงลอดไรฟันตรงประโยคสุดท้าย แน่นอนเขาไม่เคยพอใจแม่ยายที่เข้ามาแย่งลูกสาวเขาไปหลังจากที่ลูกสาวท่านเสียชีวิตพร้อมกับยัดความคิดแง่ลบใส่หัวแก้วดาราจนกลายเป็นเด็กก้าวร้าวแบบนี้...คงจะจริงที่ว่าลูกเป็นกระจกสะท้อนพ่อแม่ ลูกเป็นอย่างไรก็ต้องย้อนกลับมามองตัวเอง เขาเลยรู้สึกผิดมาตลอดและอยากชดเชยในสิ่งที่เขาไม่ได้ทำให้กับแก้วดารา...ก่อนจะไม่มีโอกาสได้ทำ

แต่ศักดาไม่มีทางรู้เลยว่าสิ่งที่กล่อมเกลาให้แก้วดาราดื้อรั้น หัวแข็ง และเกรี้ยวกราดเช่นนี้คือเขาและนลินี ทั้งหมดที่หญิงสาวทำก็เพื่อปกป้องตัวเองจากคนที่คิดร้าย เธอไม่เคยรู้สึกว่าที่ไหนอันตรายมากเท่าบ้านหลังนี้มาก่อน ฉะนั้นความแข็งกร้าวที่เธอมีจะแสดงออกมาก็ต่อเมื่ออยู่ในบ้านหลังนี้ ออกไปข้างนอกก็เป็นเพียงแค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่มีพิษสงอะไรให้ใครต้องหวาดหวั่น

นลินีสั่งให้คนเก็บโต๊ะหลังการไปของแก้วดาราทำให้รู้สึกว่ารสชาติอาหารกร่อยไปมาก ศักดาไปนั่งทำงานที่ห้องสมุดตามเคย ส่วนเธอกับชื่นก็กลับขึ้นไปหารือกันบนห้อง

“เอกสารที่ฉันให้จัดการเป็นยังไงบ้าง?”

“เรียบร้อยแล้วค่ะคุณ รับรองว่าเชื่อสนิท” คนสนิทยกนิ้วรับรองก่อนจะล้วงเอาซองเอกสารที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อออกมาให้นลินีดู

“ดีมาก” นลินียิ้มพึงพอใจ ลุกขึ้นจากเก้าอี้ “ไป ก่อนที่จะไม่มีโอกาส”

นลินีเดินนำคนสนิทไปยังเรือนยุโรปหลังเล็กที่สวนหลังบ้าน เห็นประตูกระจกฉลุลายนั้นปิดสนิท จึงหยุดเดินเพื่อที่จะส่งเสียงเรียกคนในบ้าน

“หนูเกรซจ๊ะ หนูเกรซ”

เสียงนั้นทำให้แก้วดาราที่กำลังยืนมองรูปแต่งงานของมารดาผู้ล่วงลับรู้สึกรำคาญใจ ปกติจะไม่มีใครเข้ามาวุ่นวายที่บ้านหลังนี้หากเธอกลับมา จะมีก็เพียงนวลจันทร์ที่เธอถือเป็นข้อยกเว้น หญิงสาวจึงเดินออกไปดู ต้องแปลกใจเมื่อเห็นแขกไม่ได้รับเชิญ แก้วดาราทำใจเปิดประตูรับ

“มีธุระอะไรคะ” ถามด้วยเสียงกระด้างจัด ไม่พอใจเลยสักนิดที่ฝ่ายนั้นกล้าเข้ามาใกล้บ้านหลังนี้

“ใจคอจะยืนคุยกันหน้าบ้านแบบนี้หรือ” นลินีเลิกคิ้วถาม แก้วดาราหรี่ตามอง...เพื่อคิด

“งั้นออกไปคุยที่สวนดีกว่าค่ะ” หญิงสาวว่าพลางขยับตัวออกมาจากประตู แล้วกระแทกปิดเสียงดัง จงใจให้อีกฝ่ายรู้ว่าการมาครั้งนี้เธอไม่เต็มใจต้อนรับ

นลินีถอยโดยไม่โต้แย้ง ในใจนึกอยากตบหน้าเด็กอวดดีสักฉาด ซึ่งนั่นคือสิ่งที่แก้วดาราต้องการ พ่อเธอจะได้รู้เสียทีว่าธาตุแท้ของแม่เลี้ยงแสนดีเป็นยังไง

“มีอะไรก็รีบพูดมาเถอะค่ะ ฉันไม่มีเวลามาก” แก้วดารากล่าวเชิดๆ ขณะทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ตัวหนึ่ง ผายมือให้แม่เลี้ยงนั่งตัวตรงข้าม

นลินีพยายามเก็บอาการก่อนจะยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลให้ หญิงสาวชั่งใจชั่วครู่ก่อนจะรับซองนั้นมาเปิดดู เธอและไล่สายตาไปจนถึงส่วนท้ายเอกสาร ใบหน้างามที่เคยเชิดก็ต้องผูกคิ้วเป็นปม มือไม้อ่อนยวบ ข้อความในนี้ถูกยืนยันด้วยลายเซ็นนายศักดา รัตนโภคิน

“มันจะเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง! ทำไมบริษัทถึงขาดทุนมากขนาดนี้” หญิงสาวหันไปตวาดใส่ด้วยความเผลอไผล เธอไม่ค่อยรู้เรื่องธุรกิจก็จริง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจข้อมูลในเอกสาร

“น้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เห็นพ่อเธอเครียดมาหลายวันแล้ว... ถามอะไรก็ไม่ตอบ เลยต้องเค้นเอาความจริงจนได้เรื่อง”

“เรื่องอะไรคะ!? ”

“เศรษฐีคนหนึ่งเขาอยากช่วย”

“ก็ดีแล้วนี่” แก้วดาราแสยะยิ้ม วางเอกสารนั้นลง พยายามไม่ตื่นเต้นกับมันมากเกินไป ทุกอย่างไม่ใช่ของเธอ ฉะนั้นจึงไม่จำเป็นจะต้องเดือดร้อนใจแทนใคร

“มันไม่ง่ายแบบนั้นนะสิ”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป