บทที่ 12 EP 03 เด็กขี้ลืม [2]

“คราวก่อนกูโดนเก้าอี้ไม้ฟาดมาทั้งตัวกูยังนอนพักแค่สองชั่วโมง กับอีแค่ไม้ผุๆ ใกล้ฝั่ง รอวันตาย มึงคิดว่าจะทำอะไรกูได้งั้นเหรอ” ไอ้ติณยังคงโชว์แมน และมันก็เหมือนจะรู้แล้วว่าเราทั้งคู่โดนแอบมอง มันถึงได้พูดไปช้อนตามองคนขับแท็กซี่ไปแบบนั้นจนลุงแกต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาของมันไปเอง

ผมบอกแล้วว่าให้ลุงมองหน้ามันก่อนจะคิด เพราะถึงท่าทางผมจะดูเป็นผู้ชายสุภาพจนอาจน่าสงสัย แต่ลุงน่าจะมองหาแนวโน้มความเป็นไปได้อย่างอื่นประกอบสักนิดนะ นี่ลุงคิดว่าคนข้างๆ ผมมันจะมีแนวโน้มขนาดนั้นเลยหรือไง หรือเวลาที่เห็นผู้ชายสองคนไปไหนมาไหนด้วยกันก็จะยัดเยียดความเป็นเกย์ให้เขาไปเสียหมด

เฮ้อ น่าเบื่อคนประเภทนี้นะ ไอ้พวกที่ไม่รู้จักเขาดีแล้วเที่ยวคิดแทนเนี่ย เอาเป็นว่าอย่าไปให้ความสำคัญกับคนประเภทนี้มากก็แล้วกัน

“นายคิดเอาเองน่ะสิว่าไม่เจ็บ อย่างน้อยก็น่าจะไปเอ็กซเรย์ดูว่ามีกระดูกหักหรือร้าวบ้างรึเปล่า” ผมอดไม่ได้ที่จะบ่น ร่างกายของคนเรามันก็แค่เนื้อหนังหุ้มกระดูก ถึงแม้จะรู้สึกว่าไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ก็ไม่เห็นจะต้องรอให้มันเจ็บปวดจนทนไม่ไหวถึงค่อยไปหาหมอนี่นา

“บ่นเหมือนแม่กูเข้าไปทุกวันแล้วนะมึง ถ้ามึงมีนมอีกสักหน่อยคงนอนเอากับพ่อกูได้”

“กลัวบาปกรรมบ้างมั้ยที่พูดออกมา”

จนแล้วจนรอดมันก็ทำให้ผมเบื่อที่จะพูดกับมันได้ทุกที

ผมกับไอ้ติณไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลยกระทั่งโชว์เฟอร์จอดรถที่หน้าตึกตามที่ไอ้ติณบอกไปตั้งแต่แรก ผมเอาแต่มองออกนอกกระจกและคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ในขณะที่ไอ้ติณนั่งเล่นเกมจ้องตากับคนขับผ่านกระจกมองหลังเป็นระยะๆ ท่าทางมันจะไม่ชอบใจสักเท่าไรนัก แต่ใครใช้ให้มันตามผมขึ้นแท็กซี่มาล่ะ

“มึงไม่ต้อง กูจ่ายเอง” ไอ้ติณโชว์ป๋าแล้วหยิบแบงค์พันจ่ายค่าแท็กซี่ ซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกเพราะยังไงเราก็นั่งมาด้วยกัน ก็แค่กำลังปรับสีหน้าไม่ถูกเพราะเหมือนจะเห็นสายตาของคนขับที่ยังคงไม่เลิกแอบมองผมกับไอ้ติณเลย

“ลงไปสิ หรือต้องให้กูถีบ”

“นายหลุดออกมาจากยุคทาซานรึไง” ผมบ่นพึมพำ

“มึงเห็นกูโหนเถาวัลย์รึไงล่ะ” ไอ้ห่านี่ก็กวนไม่รู้จักเวร่ำเวลา

ผมรีบเปิดประตูรถแล้วก้าวเท้าลงมา ซึ่งไอ้ติณเองก็เปิดประตูรถลงจากอีกฟาก ก่อนที่มันจะเดินมายืนบนฟุตบาธข้างๆ ผมแล้วมองผมด้วยสีหน้าหงุดหงิด

“อะไร”

“ไอ้คิม”

“เราจะเรียนหนังสือ ถ้าจะมาชวนคุยจนโดนไล่ออกจากห้องอีกนายก็เดินออกไปเลย ทันอาจารย์ยังไม่มา” ผมรีบพูดแล้วหันไปมองหน้าไอ้ติณตรงๆ เบื่อมันฉิบหายเลยแต่ไม่รู้จะอธิบายยังไง

“ทำไมมึงต้องเครียดด้วยวะ ไม่พอใจกูเรื่องอะไรเนี่ย ค่าแท็กซี่กูก็จ่ายนะ ไม่ได้บอกให้มึงหารด้วย” ไอ้ติณเริ่มถาม แต่ผมว่ามันไม่เกี่ยวกับเรื่องค่าแท็กซี่นะ

“เอ้า มีอะไรก็พูดมา แมนๆ ดิ” ไอ้ติณย้ำเสียงเข้มแล้วผลักไหล่ผมอยู่สองสามครั้ง คำว่าแมนๆ ของมันทำให้ผมเดือดปุดๆ ก่อนจะตัดสินใจปัดมือมันออกแรงๆ

“ไอเดียโทรมาชวนนายไปกินข้าว”

แล้วผมก็ตัดสินใจพูดออกไปเพื่อเปลี่ยนเรื่อง

ผมไม่อยากทำตัวเองให้เป็นปัญหาของใคร และไม่ได้อยากจะทะเลาะกับมันเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องหรอก เราทุกคนมีความคิดไม่เหมือนกัน มันมีสิทธิ์ไม่ชอบเวลาที่ถูกคนอื่นมองมันด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นว่ามันแมนรึเปล่า ในขณะที่ผมเองก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกว่าชอบหรือไม่ชอบให้ตัวเองเป็นแบบไหน

และผมไม่ได้ขอร้องให้มันมาชอบในสิ่งที่ผมเป็น...

“มึงดูมันทอนเงินให้กูสิ” ไอ้ติณยื่นมือมาแบให้ผมดู เห็นแล้วผมอยากจะหัวเราะเพราะในมือของมันคือเงินทอนค่าแท็กซี่ที่มีแต่เหรียญ หนึ่งกำมือของมันนั่นน่าจะเป็นร้อยบาทเลยนะ

“ใครใช้ให้นายจ่ายแบงค์พันล่ะ”

“ก็กูมีแบงค์เดียวนี่หว่า แล้วทำไมเมื่อกี้ตอนที่เห็นกูจ่ายแบงค์พันมึงไม่บอกกูล่ะว่ามึงมีแบงค์ย่อย”

“ใครจะรู้ล่ะ”

“กูว่าไอ้ลุงเหี้ยนั่นมันต้องตั้งใจกวนตีนกูแน่ๆ”

“ก็นายไปว่าเขาเป็นไม้ใกล้ฝั่งทำไม” ผมพูดอย่างรู้ทัน ตอนที่ไอ้ติณพูดว่าไม้ผุๆ ใกล้ฝั่งมันเน้นเสียงดังขนาดนั้น ผมถึงต้องรีบหันหน้าหนีมันยังไงล่ะ

“ก็เสือกมองทำไม กูรู้นะว่ามันคิดอะไร”

“สนใจความคิดคนอื่นทำไม”

“ก็กูเกลียด” ไอ้ติณย้ำออกมาเสียงดัง มันแสดงจุดยืนออกมาชัดเจนจนผมปั้นหน้าไม่ถูก โชคดีที่โทรศัพท์ของผมสั่นขึ้นมาเสียก่อน ผมก็เลยได้โอกาสหันหน้าหนีไอ้ติณออกมา

แต่ว่าพอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วเห็นว่าใครโทรมา ผมก็ไม่ได้รู้สึกสบายใจขึ้นกว่าเดิมเลย

บทก่อนหน้า
บทถัดไป