บทที่ 13 EP 03 เด็กขี้ลืม [3]
“กูบอกแล้วว่าผู้หญิงเขาอ่อยมึง” ไอ้ติณที่ชะเง้อคอมาแอบมองโทรศัพท์ของผมรีบบอก ผมจะไม่ตกใจหรอกถ้าไม่บังเอิญว่าหันหน้าไปมองมันแล้วปลายจมูกผมเฉียดแก้มมันไปนิดเดียว
“ไอ้เหี้ยนี่เล่นกูแล้วไง”
“นายยื่นหน้ามาใกล้เราเอง คราวหลังอย่ามาเสียมารยาทกับเราอีก” ผมว่าใส่แล้วเป็นฝ่ายเดินหนีไอ้ติณออกมา เมื่อกี้นี้มันว่าผมซะเสียงดังแถมยังยกมือขึ้นมาถูแก้มมันเหมือนจะรังเกียจผมทั้งๆ ที่ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้นสักหน่อย มันนั่นแหละที่เสนอหน้ามาเอง
ผมเดินหนีไอ้ติณออกมาไกลพอสมควร มันเองก็คงไม่พอใจผมเหมือนกันที่ผมว่ามันกลับไปเรื่องเสียมารยาท มันถึงไม่ได้เดินตามมา หรือไม่ก็อาจจะเกลียดผม...เหมือนอย่างที่มันพูด เพราะเหตุการณ์เมื่อกี้นี้
“ฮัลโหล”
ผมตัดสินใจกดรับสายหลังจากที่ไอเดียยังพยายามโทรเข้ามาเป็นสายที่สาม สองสายที่ถูกตัดไปเพราะผมเอาแต่ยืนจ้องหน้าจอมือถือของตัวเองด้วยความลังเล
[นั่นคิมใช่มั้ย นี่เราไอเดียเองนะ]
“ใช่ๆ เราเอง มีอะไรให้เราช่วยหรือเปล่า” ผมถามไปเรื่อยๆ พร้อมกับที่กำลังเดินขึ้นบันได อย่างน้อยๆ วันนี้ผมก็ไม่ได้มาสายจนต้องวิ่งล่ะน่า
[ฉันก็แค่อยากจะเลี้ยงข้าวนายน่ะ ตอบแทนน้ำใจที่นายช่วยฉันไว้เมื่อวาน วันนี้นายพอจะสะดวกรึเปล่า]
เอ่อ...สะดวกดีรึเปล่าล่ะเนี่ย
“ฉันต้องทำงานช่วงเย็นน่ะ แต่ถ้าเป็นช่วงบ่ายก็พอจะมีเวลา” ผมตอบกลับไปตามความจริง
[งั้นช่วงบ่ายก็ได้ แต่ว่า...] ปลายสายเว้นช่วงไปนิดหน่อย ตรงกับจังวะที่ผมเงยหน้ามาเจอไอ้ติณที่กำลังจะเดินมาพอดี
[ฉันอยากให้นายชวนติณไปด้วยน่ะ]
แล้วสิ่งที่ได้ยินก็ทำให้ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากันนิดหน่อยก่อนจะเดินเข้ามาในห้องโดยไม่คิดจะรอไอ้ติณที่กำลังเดินมาเพราะว่ามันขึ้นบันไดมาจากอีกฟากหนึ่งของตัวอาคาร
[จะเป็นไรมั้ยถ้าฉันอยากให้นายชวนติณมาด้วย คือว่าฉัน...เอ่อ คือว่า]
“เดี๋ยวจะลองถามมันดูก็แล้วกันว่ามันว่างหรือเปล่า” ผมรีบพูดออกไปเพื่อจะได้ไม่ต้องมีใครลำบากใจ ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกแปลกๆ ตอนที่ได้ยินไอเดียเอ่ยปากชวนไอ้ติณไปกินข้าวด้วยกัน ทั้งๆ ที่ผมคิดว่าผมเองก็ไม่ได้ชอบเธอสักหน่อย
[ขอบใจนะ แล้วเดี๋ยวฉันจะโทรหานายอีกที แล้วเจอกันนะคิม]
“อืม”
[บาย]
“บาย” ผมบอกสั้นๆ ก่อนจะกดวางสาย เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าเอาไว้แล้วเงยหน้าขึ้นมาหาที่นั่ง ก่อนจะเดินขึ้นบันไดสโลปไปนั่งที่ชั้นสี่ มุมซ้ายของตัวห้องตามเดิม
“เป็นส้นตีนอะไร วางโทรศัพท์แล้วทำหน้าเหมือนคนอกหัก”
ผมหย่อนก้นนั่งลงที่เก้าอี้ก้นยังไม่ทันอุ่น เจ้าที่เจ้าทางประจำห้องก็เดินมาหย่อนก้นนั่งลงข้างๆ
นี่มันจะตามจองเวรผมไปถึงไหนกัน เมื่อกี้นี้เห็นมันตอนก่อนจะเดินเข้ามาแล้วมันก็หายไป คิดว่าจะไปผุดไปเกิดแล้วเสียอีก
บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไหร่นัก ผมไม่กล้าสนิทกับใครเพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะรับได้แม้ว่าปากจะพูดว่านี่มันยุคสมัยไหนแล้วก็เถอะ ถึงใครต่อใครจะคิดว่าสังคมเปิดกว้างมากพอเรื่องเพศ แต่ก็อย่างที่รู้ว่าแค่ผมเดินไปไหนมาไหนกับไอ้ติณ ทุกคนก็จะจับจ้องมาที่เราด้วยสายตาใคร่รู้
“ที่แท้ก็เรื่องนี้เนี่ยนะ”
“นัดไอเดียไว้บ่ายโมง นายว่างรึเปล่า เธออยากเจอนาย” ผมพยายามถามอย่างใจเย็น ทั้งๆ ที่เรื่องที่ผมพูด กับเรื่องที่ไอ้ติณพูด มันแม่งคนละความหมายเลย
“มึงไปป่ะละ”
“ไปมั้ง กินข้าวแล้วจะได้จบๆ ไม่งั้นไอเดียคงรู้สึกติดหนี้บุญคุณเราไม่เลิก ทั้งๆ ที่จริงๆ เราไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ” ผมพูดออกไปตรงๆ ผมรู้ว่าไอเดียอาจจะเอาข้อนี้มาอ้างเพื่อเข้าถึงตัวไอ้ติณ เพราะฉะนั้นถ้าครั้งนี้ผมไม่ไป เธอก็คงหาโอกาสให้มีครั้งหน้าแน่ๆ
“แล้วมึงอยากให้กูไปด้วยรึเปล่า” ไอ้ติณย้อนถามแล้วมองผมด้วยสายตาแปลกๆ
จริงๆ มันคงมองผมด้วยสายตาปกติ แต่ผมนั่นแหละที่คิดไปเองว่ามันแปลก ในเมื่อผมบอกไปแล้วว่าไอเดียอยากเจอมัน แล้วมันจะมาย้อนถามผมทำไม
“แล้วแต่นายสิ”
“ถ้ากูไป มึงจะคิดว่ากูหักหลังมึงป่ะ”
“มันไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลย” ผมรีบบอก
“เกี่ยวดิ ถ้ากูไปแล้วไอเดียจีบกูขึ้นมา เดี๋ยวมึงก็หึงแล้วพาลมาโกรธกูอีก” ไอ้ติณใส่อารมณ์ตลอดการพูด หน้าตามันจริงจังมากกว่าเรื่องที่มันควรจะจริงจังซะอีก
“ทำไมเราต้องหึง”
“แล้วที่มึงโวยวายเพราะไอเดียชวนกูไปกินข้าวนี่คืออะไร ทำไมมึงต้องหึง” ไอ้ติณพูดไปส่ายหน้าส่ายตาไปด้วยเหมือนตั้งใจจะกวนโมโห แต่ผมไม่ได้หึงจริงๆ นะ
