บทที่ 17 EP 04 เข้าตาจน [2]
“ตกลงนายจะเอายังไง”
“เลิกไง ทำไมวะ พูดแค่นี้ทำไมไม่เข้าใจ”
“แต่ฉันไม่เลิก” เธอคนนั้นประกาศเสียงดัง และผมก็เริ่มคิดเหมือนไอ้ติณแล้วนะว่าเธอพูดจาไม่รู้เรื่อง
ผมไม่ได้เข้าข้างมันหรอก แต่เคยได้ยินมาบ้างว่าเวลาที่ผู้หญิงบอกเลิกผู้ชาย ส่วนมากจะเป็นเพราะประชด แต่ถ้าผู้ชายเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอเลิก นั่นแปลว่าเขาอยากเลิกจริงๆ
“แล้วจะเอาไง” ไอ้ติณพยายามถามกลับด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยียบเหมือนว่า ดูจากสีหน้าท่าทางแล้วผมว่ามันเองก็พยายามอย่างถึงที่สุดแล้วที่จะใจเย็นๆ ทั้งที่ปกติแล้วมันไม่ใช่คนใจเย็นนัก
“นายต้องไปหาพี่ปลายฟ้ากับฉัน”
“ไปกระทืบหน้ามันน่ะเหรอ” พอพูดถึงบุคคลที่สาม น้ำเสียงของไอ้ติณก็เปลี่ยนไปทันที และผมก็เริ่มได้กลิ่นแปลกๆ ลางสังหรณ์บอกว่าต้นสายปลายเรื่องมันชักจะยังไงๆ ดูมีอะไรไม่ชอบมาพากล
“นายไม่มีสิทธิ์พูดแบบนั้นกับพี่ชายฉันนะ”
“เธอก็ไม่มีสิทธิ์มาสั่งฉันเหมือนกัน แล้วก็เลิกวุ่นวายกับฉันสักที อย่าให้ฉันต้องเกลียดเธอจนหนีออกนอกประเทศไปเลยนะปลายรุ้ง” ไอ้ติณทำหน้าตาจนปัญญา หนำซ้ำน้ำเสียงของมันอ่อนลงต่างจากเมื่อตอนแรกที่ได้พบเธอ สายตาดูเอือมระอาและเบื่อหน่ายราวกับว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาที่มันแก้ไขไม่ได้
แต่ว่าเดี๋ยวนะ ผมเห็นแววตามัน นั่นแปลว่ามันเห็นผมแล้ว งานเข้าแล้วไง ถึงคราวซวยของผมอีกแล้วเหรอ
ทันทีที่ผมเผลอสบสายตากับไอ้ติณ ผมก็ต้องรีบตั้งสติ หันหลังให้ไอ้ติณทันทีไม่อย่างนั้นมันต้องหาว่าผมสอดรู้สอดเห็นเรื่องของมันแน่ๆ ต่อให้ความจริงจะเป็นอย่างนั้นแต่ใครจะบ้ายอมรับ อีกอย่างผมแค่อยากรู้เฉยๆ ไม่ได้อยากจะเข้าไปมีส่วนร่วมกับเรื่องของมันสักหน่อย ยิ่งเป็นเรื่องผู้หญิงด้วยแล้วละก็ผมยิ่งอยากจะอยู่ให้ไกล เพราะฉะนั้นผมควรจะปล่อยให้มันจัดการไปเองจะดีกว่า
ผมรีบเผ่นอ้อมตัวตึกมาทางสนามด้านหลัง เดินดุ่มๆ ขึ้นไปนั่งบนอัฒจันทร์เพื่อรับลมเย็นๆ เผื่อว่ามันจะทำให้ผมคิดอะไรออกได้บ้าง บอกตรงๆ ว่าตอนนี้ไม่รู้จะไปไหน เริ่มไม่อยากจะกลับไปนอนที่ห้องแล้วเพราะคงนอนไม่หลับ แต่จะให้เดินไปหาไอ้ติณอย่างที่เพิ่งจะเปลี่ยนใจไปเมื่อกี้ก็ดูท่าทางมันจะไม่ว่าง หรือว่าผมควรจะโทรหาพี่ไทม์ดี
อืม...โทรก็แล้วกัน
“ไอ้เหี้ยคิม”
ยังไม่ทันจะได้ก็โทรออกเลยไอ้เวร!
เสียงเหี้ยมๆ ของไอ้ติณตามมาหลอกหลอนเร็วชะมัด แถมพอหันไปมองก็พบว่าไม่ได้มาแค่เสียง เพราะไอ้ติณเดินตามผมมาตัวเป็นๆ เลย ผมนี่รีบเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าทั้งที่ยังไม่ได้กดเบอร์พี่ไทม์ด้วยซ้ำ
“เราไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟัง” ออกตัวก่อนเลยแล้วกัน มันจะเข้าใจมั้ยผมไม่รู้ๆ แต่ว่าผมไม่อยากมีปัญหากับมันหรอก คนอย่างมันพูดจาภาษาคนด้วยรู้เรื่องเสียที่ไหน
“แล้วมึงได้ยินรึเปล่า” ไอ้ติณถามเสียงเข้ม เอายังไงดีล่ะทีนี้ ผมโกหกไม่เก่งเสียด้วย
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้ตั้งใจ”
“กูถามว่ามึงได้ยินรึเปล่า”
“นิดนึง”
เอายังไงกับมันดีวะเนี่ย
“นิดนึงนี่แค่ไหน เรื่องอะไรบ้าง มึงพูดมา!”
“ก็ได้ยินตั้งแต่ที่ปลายรุ้งเรียกนายนั่นแหละ โอ๊ย!”
เวรเอ๊ย มันตบหัวผมอีกละ
“แบบนั้นเรียกได้ยินหมดเว้ย ถามดีๆ มึงก็ตอบดีๆ สิวะ ทำท่าอึกอักๆ น่ารำคาญ แต่ได้ยินก็ดีกูจะได้ไม่เสียเวลาเล่า” ไอ้ติณดวยวายเสียงดัง ก่อนที่เสียงของมันจะเบาลงในตอนท้าย ทำเอาผมงงเป็นไก่ตาแตก
อ่ะอ้าว ทำไมไอ้ติณมันจบแบบพลิกล็อกแบบนี้ล่ะ ทำหน้าตาเคร่งเครียดไล่บี้ถามความจริงจนผมกลัวหัวหด แล้วก็มาถอนหายใจใส่หน้าผมซะงั้น
“เมื่อกี้นี้มึงเดินตามกูไปทำไม”
“เปล่า”
“อย่าโกหกกู หน้าซีดเป็นไก่ต้มน้ำปลาแบบมึงโกหกไม่เก่งเท่ากูหรอก”
นั่นมันชมหรือด่าตัวเองกันล่ะ
“ว่าไง มึงเดินตามกูไปทำไม”
“เราแค่จะเอาชีทไปคืน” ผมบอกความจริงออกไปเพื่อตัดปัญหา ผมจะไม่หน้าซีดหรอกถ้ามันไม่เอาแต่ถามๆๆ โดยไม่เว้นช่องว่างให้ผมได้ตกใจก่อนสักนิด
ผมตัดสินใจหยิบชีทในกระเป๋าที่เก็บเอาไว้สองชุดออกมา ก่อนจะเลือกหยิบชีทของผมที่เป็นของผมจริงๆ มาวางลงบนโต๊ะ แล้วเก็บชีทของผมอีกชุด ที่เป็นชีทของไอ้ติณแต่มันดันเขียนชื่อผมลงไปไว้ในกระเป๋าตามเดิม
“กูบอกแล้วไงว่ากูไม่เอา” ไอ้ติณพยายามบอก แต่ว่าช่างมันเถอะ ผมตั้งใจแล้วว่าผมจะคืนให้มันนี่นา ถ้ามันไม่เอาเดี๋ยวค่อยให้มันเอาไปทิ้งเอง ผมแค่อยากจะทำในสิ่งที่ผมตั้งใจไว้เท่านั้นเอง
ผมหยิบปากกาน้ำเงินออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ก่อนจะเขียนชื่อไอ้ติณลงไปที่หัวมุมกระดาษ เหมือนกับที่มันเขียนชื่อผมนั่นแหละ แต่ว่าผมเขียนแค่ชื่อเล่นมันนะ ผมจำตัวสะกดชื่อจริงมันไม่ได้ แต่ว่าขี้เกียจจะถามมันเพราะการพูดกับมันเป็นเรื่องที่ผมคิดว่าเสียเวลามาก
“อ่ะ เราคืนให้” ผมยื่นชีทที่เขียนชื่อไอ้ติณลงไปแล้วส่งให้มัน จากนั้นก็แค่ยิ้มให้มันนิดหน่อยตามมารยาทแต่ทำไมมันกลับทำหน้าเหมือนผมกำลังขู่จะเอาชีทนั่นปาดคอมันให้ตาย
“รับไปสิ เราตั้งใจให้ แต่ถ้านายไม่อยากได้จริงๆ นายจะเอาไปทิ้งก็ได้ เราแค่อยากให้เฉยๆ คิดเสียว่าแลกกัน” ผมยังคงพยายามยิ้ม
