บทที่ 20 EP 05 เด็กปั้น [2]
“เอาๆ พวกเราพร้อม!” ไอ้เกมร้องเรียกประชากรอีกสองคนในทีมของมันมารวมตัวกันด้วยน้ำเสียงฮึกเหิม
“มึงเล่นบอลเป็นใช่ป่ะ”
แล้วไอ้บอลซึ่งอยู่ในทีมของผมก็เดินมากระซิบถาม มันตบบ่าผมเบาๆ สองสามทีแล้ววิ่งไปยืนอยู่ข้างๆ ไอ้ติณโดยไม่ได้รอคำตอบ
ทุกคนคงดูออกนะว่าผมไม่ค่อยชอบกีฬาสักเท่าไหร่ แต่ก็นั่นแหละ จะทำยังไงได้ในเมื่อไอ้ติณไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ ดันทุรังเอาผมมาลงเล่นเพราะว่าไอ้กั๊มข้อเท้าพลิกต้องเปลี่ยนตัวมาเป็นผมแบบกะทันหัน
ปี๊ดดด!
เสียงนกหวีดดังขึ้นเมื่อไอ้กายผู้รับหน้าที่เป็นกรรมการเป่าลมใส่นกหวีดแทบหมดปอด ทำเอาผมที่ยืนอยู่ข้างๆ มันหูอื้อไปชั่วขณะ
“ไอ้บอล”
เสียงไอ้ติณร้องเรียกไอ้บอลดังลั่นไปทั่วสนามก่อนที่มันจะเขี่ยลูกบอลให้ไอ้บอลที่วิ่งไปรออยู่ที่กลางสนามราวกับว่ารู้กันมาก่อน ซึ่งผมก็ได้แต่วิ่งเหยาะๆ ตามหลังลูกบอลที่ได้ติณเตะไปนั่นแหละ
บอกแล้วไงว่าผมจะลงมาวิ่งเหยาะๆ คิดเสียว่าผมเป็นตัวแถมที่ทำให้ทีมมีสมาชิกครบสามคนและสามารถเริ่มการแข่งชิงหมูกระทะได้ก็แล้วกัน
“ไอ้คิม” เสียงไอ้บอลตะโกนเรียก แต่ว่าผมยังไม่ทันจะหันไปมองหน้ามัน มันก็เตะลูกบอลโด่งมาทางผมเสัยแล้ว
“เฮ่ย!”
บ้าฉิบ มันเตะบอลอัดหน้าผมทำไม
ปี๊ดดดด!
แล้วเสียงนกหวีดหยุดการแข่งขันชั่วคราวก็ดังขึ้นเมื่อผมหงายหลังมานอนมองดาวตอนกลางวัน เห็นดาววิบวับเต็มไปหมดเลย
“ไอ้เหี้ยคิม ตื่นสิมึง ไอ้คิม”
“เรายังไม่ตาย” ผมรีบบอกพร้อมกับปัดมือไอ้ติณออกไปเมื่อมันพยายามจะตบหน้าผมเพื่อเรียกสติ ผมแค่หลับตาเพราะแสงแดดมันส่องตาผมเท่านั้นเอง ยังไม่ได้ตายสักหน่อย ไอ้นี่ก็ทำเสียงตกใจจนเว่อร์
“ใครสั่งใครสอนให้มึงเอาหน้ารับบอล”
“เราแค่ยังไม่ทันตั้งตัวน่ะ” ผมรีบบอกพร้อมกับพยายามลืมตา ยอมรับนะว่ามึนหัวแล้วก็เจ็บหน้ามาก แต่ว่าผมสำออยไม่ได้หรอก เดี๋ยวพวกมันจะดูถูกผม
“นั่งๆ มึงนั่งเฉยๆ เลย หลังตรงๆ ก้มหน้าลงนิดนึงแล้วก็บีบจมูกไว้ เลือดกำเดามึงไหล” ไอ้ติณรีบบอก มันดูชำนาญเรื่องการปฐมพยาบาลมาก ทำเอาผมนึกไปถึงเรื่องที่มันเคยบอกว่ามันโดนไล่ออกเพราะทะเลาะวิวาท อืมมม
“เราไม่เป็นไร”
“กูบอกให้มึงบีบจมูกเอาไว้ไง หูแตกเหรอมึง ไอ้กาย ไปเอาผ้าเย็นมาที” แล้วไอ้ติณก็รีบหันไปสั่งไอ้กาย ใบหน้าของมันตื่นตระหนกเหมือนผมกำลังจะตายทั้งที่แค่เลือดกำเดาไหล
ผมได้แต่นั่งนิ่งๆ แล้วบีบจมูกเอาไว้ตามที่มันบอก ตอนนี้ทุกสายตากำลังจับจ้องมาที่ผมเพราะว่าผมนั่งอยู่ท่ามกลางวงล้อม ซึ้งในน้ำใจที่พวกมันทุกคนวิ่งมามุงดูอาการของผมอย่างใกล้ชิด บางคนยิ้ม บางคนหัวเราะ บางคนก็หน้าตาตื่นตระหนกตกใจอย่างเช่นไอ้ติณในตอนนี้
ไม่นานผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของไอ้กายวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา มันส่งถุงผ้าเย็นให้ไอ้ติณด้วยความร้อนใจก่อนจะยิ้มให้ผม
ผมรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ค่อยออก แต่ไม่ใช่เพราะขาดอากาศ หากแต่มันเป็นเพราะผมหัวใจของผมสูบฉีดเลือดไม่ทันเพราะว่ามันกำลังทำงานหนักมาก รับรู้ได้จากจังหวะการเต้นของมันที่เต้นเร็วขึ้นตั้งแต่เห็นว่าไอ้ติณโน้มใบหน้าลงมาใกล้ๆ แถมมือไม้ของมันยังสั่นมากจนไม่สามารถแกะห่อผ้าเย็นออกได้ทั้งที่มันเป็นแค่เรื่องง่ายๆ
“สั่นทำเหี้ยไรเนี่ย”
มันหงุดหงิดถึงขนาดด่ามือของตัวเอง
“เอามานี่ไอ้เหี้ยติณ กูช่วย เดี๋ยวไอ้คิมมันก็ตายห่าเพราะเลือดกำเดาไหลหมดตัวพอดี”
สาบานอีกทีว่าไอ้กายเรียนคณะนิติศาสตร์ ในความคิดผมคือมันควรจะฉลาดกว่านี้ อยากรู้นักว่าอาจารย์ท่านไหนสอนมันว่าคนเราสามารถเลือดกำเดาไหลจนหมดตัวได้
“อ่ะ คุณพระช่วย!”
แล้วไอ้กายก็ใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีฉีกซองผ้าเย็นออกเป็นสองส่วน อยู่ในมือมันนั่นแหละข้างล่ะส่วน และส่วนสุดท้ายที่เป็นผืนผ้าเย็นก็กระเด็นออกจากซองตกลงมาแปะกลางหน้าผมพอดิบพอดีราวกับมันตั้งใจ
หน้ามันโหดมาก แต่อุทานออกมาได้ขัดแย้งกับเบ้าหน้าสุดๆ
ผมยกมือขึ้นมาเพื่อจะจับผ้าเย็นออกจากหน้าและใช้มันซับเลือดกำเดาของตัวเอง แต่ว่ามือของผมยังไม่ทันจะได้จับผ้าเย็นเลยด้วยซ้ำ อยู่ๆ ผ้าเย็นผืนนั้นก็ถูกใครบางคนดึงออกจากหน้า และมันคงจะเป็นใครไปไม่ได้หรอกนอกจากไอ้ติณที่นั่งอยู่ข้างผมมาตลอด
“ใจเสาะฉิบหายเลยนะมึง โดนบอลอัดหน้าแค่นี้เลือดกำเดาไหลอยากกับโดนเชือด” ไอ้ติณพูดไปเช็ดเลือดกำเดาให้ผมไป บอกตรงๆ ว่าผมตกใจ แต่ก็ได้แต่ทำหน้างงใส่มันเพราะไม่รู้ว่าผมควรจะทำยังไง
“มึงสิใจเสาะ เห็นเลือดแค่นี้มือไม้สั่นไม่หยุดเลยนะ เอามานี่ กูช่วย” ไอ้บอลพูดแล้วขยับตัวเองมาใกล้ๆ ผม แต่ว่าคนละฟากกับที่ไอ้ติณนั่งอยู่
“ไม่ต้องเสือก”
“อ้าวไอ้นี่ กูกำลังจะช่วยมันนะ” ไอ้บอลเริ่มเสียงดัง
ตอนนี้ทุกคนดูเป็นห่วงผมทั้งๆ ที่จริงๆ ผมเองก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บมากมายอะไร เพียงแต่ที่ยังนอนนิ่งอยู่แบบนี้ก็แค่รู้สึกว่าผมชอบแววตาของทุกคนที่กำลังมองผมด้วยความห่วงใย
