บทที่ 3 ดื่มให้เมา

บทที่2

สวัสดีค่ะฉันชื่อม่านหมอก หมอกเหมือนชื่อ ความรักที่มืดมนหม่นหมอง มีรักกับเขาทั้งทีกลับไม่เคยสดใสเลย ได้แต่เก็บความรู้สึกเอาไว้เปิดเผยไม่ได้ และรักเขาข้างเดียวอีกต่างหาก

เฮ้อ! ฉันเป็นคนอีสานเข้ามาหาเรียนที่กรุงเทพฯ ฐานะทางบ้านยากจน พ่อแม่เป็นชาวนา กว่าฉันเรียนจบนาผืนน้อยและวัวที่พ่อเคยมี ก็ขายส่งควายอย่างฉันเรียนเกือบหมด ฉันมีน้องสาว1คนแก่นแก้วแสนซน อายุ8ปี

พอฉันเรียนจบ ภาระทุกอย่างก็ตกมาที่ฉัน ฉันต้องส่งเงินกลับบ้านทุกเดือน หลังจากหักค่าห้องค่ากิน เงินทั้งหมดที่เหลือฉันส่งกลับบ้านหมด

ฉันไม่เคยปริปากบ่น ฉันอยากจะมีเงินส่งกลับบ้านเยอะ ๆ พ่อแม่จะได้สบาย  ดีนะที่ฉันเรียนจบ แล้วได้ทำงานกับเพื่อนสนิทที่เรียนมาด้วยกัน และผู้ชายคนนั้นคือปั้นจั่น

ก๊อก! ก๊อก! แกรก!

เสียงเคาะประตูดังถี่ ๆ ตามด้วยเสียงเปิดประตูเข้ามา พี่ปั้นสิบเดินเข้ามาพร้อมกับข้าวของพะรุงพะรัง

“หมอก ไอ้ปั้นจั่นอกแตกตายยังวะ!”  พี่ปั้นสิบถามฉัน แล้ววางข้าวของลงบนโต๊ะ

“ไม่ตายก็เหมือนตายแหละพี่ ร้องไห้ฟูมฟายไม่หยุดเลย ไม่รู้มันเอาน้ำตาจากที่ไหนมาผลิตนักหนา”

ฉันบ่นกระปอดกระแปด พร้อมกับทรุดกายลงนั่งลงบนเตียงข้าง ๆ ปั้นจั่นที่กำลังนั่งร้องไห้ฟูมฟายไม่หยุด มันน่าตบหัวทิ่มนัก ปั้นจั่นเจ็บฉันก็เจ็บไม่ต่างจากเขาหรอก

“พ่อคนเก่งปากเก่งจัง  สัส พอถึงเวลาร้องไห้ เป็นเผาเต่าเลยนะมึง”

“ฮือ ๆ ที่มึงมาเนี่ยมึงต้องการจะมาซ้ำเติมกูเหรอ? ถ้ามึงต้องการมาแค่นี้  มึงไสหัวมึงกลับไปเลยไอ้ปั้นสิบไอ้เวร! กูเจ็บขนาดนี้มึงยังจะมาซ้ำเติมกูอีก”

“ทำอย่างกับมึงไม่เคยซ้ำเติมกู เมื่อก่อนล่ะปากดีซะเหลือเกิน ไม่จำเป็นต้องมีแฟน โธ่เอ้ย! พอถึงเวลาตัวเองมีแฟนกลับมาร้องไห้จะเป็นจะตาย”

“กูผิดอะไรวะ? กูไม่ดีตรงไหน?  ทั้งที่กูทุ่มเทให้เธอหมดทุกอย่าง ทำไมถึงทำกับกูแบบนี้”

“ทุ่มเทเชี่ยอะไร? ขนาดกูเป็นพี่มึง  มึงยังไม่เคยพาแฟนมาเจอกู  มึงไม่เคยพาแฟนมึงไปบ้านเลยสักครั้ง ไม่พาเธอไปเปิดตัวอะไรสักอย่าง”

“ที่กูไม่พาเธอไปเปิดตัว เพราะกูปิดบังตัวตนไงล่ะ มึงก็รู้ว่าตอนกูเรียนมหาลัย กูก็ไม่ได้เรียนที่เดียวกันกับมึงกับขนมชั้น กูมาใช้ชีวิตอยู่คอนโด กูไปมหาลัยกูก็ทำตัวจน กูอยากจะรู้ว่ามีสักคนกี่คน ที่เป็นเพื่อนกูจริง ๆ รักกูจริง ๆ ไม่ใช่หวังแต่เงินของกู”

“ไอ้ปั้นจั่นเอ้ย”  พี่ปั้นสิบส่ายหัวอย่างอืมระอา

“และหนึ่งในนั้นก็มีม่านหมอกที่ยอมรับกูได้ ตอนนั้นม่านหมอกไม่เคยรู้เลยว่ากูเป็นคนมีฐานะ จนกระทั่งเรียนจบกูชวนเธอมาทำงานที่บริษัทพ่อ ม่านหมอกเองก็เพิ่งจะรู้ว่าฐานะของครอบครัวเราเป็นยังไง?”

ฉันนั่งฟังปั้นจั่นพูดอย่างเงียบ ๆ ปั้นจั่นไม่เคยเปิดเผยตัวตนให้ฉันรู้เลยว่าเขาเป็นคนมีฐานะ ฉันเจอเขาตอนขึ้นรถเมล์ไปมหา'ลัย สุดท้ายก็รับน้องและเรียนที่คณะเดียวกัน

ไม่ใช่ว่าปั้นจั่นไม่เคยมีเพื่อน เขามีเพื่อนเยอะมากในตอนแรก แต่พอปั้นจั่นพูดเรื่องฐานะทางบ้านจน ทุกคนก็ไม่อยากจะยุ่งกับเขา ในตอนนั้นไม่มีใครรู้หรอกว่าปั้นจั่นเป็นลูกเจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่ เพราะพี่ชายของเขาเป็นคนบริหารปั้นจั่นไม่เคยพูดถึงเรื่องครอบครัวให้ใครฟังเลย

“แล้วทำไมมึงถึงเลิกกันกับแฟนมึงวะ?”

“เธอไปกับไอ้เดรโก”

“อ๋อไอ้เดรโก ลูกเจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่ คู่แข่งกับบริษัทเรา ผู้หญิงคนนั้นเขาคงจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดละมั้ง ดีกว่ามาจมปลักกับคนจน ๆ ไง”

“แม่ง! กูอุตส่าห์จะเปิดตัวแบบพระเอกเลย แม่ง! ริสาดันทิ้งกูไปอยู่กับคนอื่น ฮือ ๆ”

“ดีแล้วที่มึงกับเธอเลิกกัน  ถ้าผู้หญิงคนนั้นรู้ว่ามึงรวย แล้วต้องการมาปอกลอกทรัพย์สินของเรา มึงคิดว่าแม่น้ำชาจะยอมเหรอ? มึงรู้จักแม่น้ำชาน้อยไปซะแล้ว วีรกรรมสมัยสาว ๆ เยอะนะมึง”

“ฮือ..ฮือ... กูไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ที่ริสาเคยบอกว่ารักกู มันไม่จริง... ริสาโกหก”

“เอาน่า! ไปกินเหล้าให้เมาดีกว่า อย่าไปใส่ใจเลย แค่ผู้หญิงคนเดียวมึงจะอะไรนักหนา มึงจำคำพูดของมึงได้ไหมที่มึงเคยบอกกูว่า แค่ผู้หญิงคนเดียวมึงจะอะไรนักหนาหล่อรวยเพอร์เฟคแบบมึง แค่กระดิกนิ้วก็มีผู้หญิงมาอ้าขาถึงที่ มึงเคยบอกกับกูแบบนี้เพราะฉะนั้นมึงก็ใช้ คำนี้เองแล้วกัน” พี่ปั้นสิบตบบ่าปั้นจั่นเบาๆ

“เชี่ยความรักแม่งเชี่ย กูผิดอะไรนักหนาวะ ความรักแม่งเฮงซวย ฮือ ๆ” ปั้นจั่นพูดพร้อมกับทุบเตียงแรง ๆ ฉันมองการกระทำของเขา แต่ไม่รู้ จะช่วยยังไง ให้ความเจ็บปวดภายในหัวใจของเขามันเบาบางลง

“หมอกลากมันไปห้องรับแขก วันนี้เราจะฉลองความโสดให้ไอ้ปั้นจั่น กินให้เมาไปเลย”

“ค่ะ”  ฉันพยักหน้ารับคำจากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วดึงแขนเพื่อนตัวดีกึ่งลากกึ่งเดินไปนั่งที่ห้องรับแขก พี่ปั้นสิบเดินไปเปิดตู้เย็นแล้วเอาน้ำแข็งออกมาจากนั้นก็จัดแจง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้วยื่นให้ปั้นจั่น

“เอ้ากินซะ จะได้เลิกร้องไห้เสียที โตเป็นควายแล้วยังมาร้องไห้แม่งโคตรทุเรศเลยว่ะ”

“ไอ้พี่เชี่ย”  ปั้นจั่นสบถออกมา พร้อมกับใช้มือปาดน้ำตาที่แก้มของตัวเองอย่างลวก ๆ

“แก้วนี้ของหมอก”  พี่ปั้นสิบยื่นเครื่องดื่มให้ฉันฉันมองมันนิ่ง ๆ แต่ยังไม่ได้รับมา ก่อนจะเงยหน้ามองพี่ปั้นสิบ

“หมอกไม่กินค่ะ หมอกไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์” ฉันปฏิเสธไป สมัยอยู่บ้านนอก ฉันมันคอเหล้าขาว เมาที่ไรเผยความลับในใจออกมาทุกที ฉันเลยเลิกดื่มแอลกอฮอล์ทุกอย่าง

“เฮ้ยจริงดิ ทำไมถึงไม่กินล่ะ”

“ปกติหมอกก็ไม่กินอยู่แล้วค่ะ”  ฉันตอบพี่ปั้นสิบ

“กินเป็นเพื่อนกูหน่อย” ปั้นจั่นพูดกับฉัน

“มึงก็รู้นิ่ว่ากูไม่กิน พี่ปั้นมาแล้ว กูจะกลับห้องกูแล้ว กูเหนียวตัว”  ฉันพูดพร้อมกับลุกขึ้นไปหยิบกระเป๋า

“ห้องกูก็มีน้ำอาบ”

“มึง...”

“อยู่เป็นเพื่อนมันหน่อยนะ ถ้าหมอกไม่เคยกิน พี่จะชงให้เบา ๆ แล้วกันจะได้ดื่มเป็นเพื่อนมันหน่อย ตอนนี้มันร้องไห้ฟูมฟาย จะเป็นจะตาย พี่ล่ะทุเรศลูกกะตาจริง ๆ เมื่อก่อนละปากดีจริง ๆ ตอนนี้ร้องไห้ เป็นเผาเต่าเลย”  พี่ปั้นสิบบ่นอุบอิบ

“เอ่อ…”

“เชี่ยไม่ว่าใครก็ทิ้งกูไปหมด แฟนกูก็ทิ้ง ตอนนี้เพื่อนกูก็จะมาทิ้งกูอีก กูนี่มันไม่มีใคร รักเลยจริง ๆ ไม่มีใครใส่ใจกูเลย”

“กูก็อยู่กับมึงอยู่นี่ไงไอ้เวร! มึงจะเรียกร้องอะไรนักหนา กินกินเข้าไปเถอะเหล้า จะได้หุบปากสักที”

“มึงไม่รักกูแล้วเหรอวะหมอก? มึงจะทิ้งกูจริง ๆ เหรอ?”  ปั้นจั่นตะเบ็งเสียงใส่ฉัน ทำไมฉันจะไม่รักเขาล่ะ ก็เพราะรักนั่นแหละถึงได้ทนเจ็บปวดอยู่แบบนี้ ถ้าฉันรักคนอื่นแทนรักผู้ชายคนนี้ก็ได้ ฉันก็รักไปแล้วแหละ ฉันคงไม่มาทนให้หัวใจของฉันเจ็บปวดอยู่ทุกวันแบบนี้หรอก

“...”

“มึงจะทิ้งกูเหมือนริสาใช่ไหม?  ไหนมึงบอกกูว่าจะไม่ทิ้งกันไง? ฮึก! มึงเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของกู มึงจะทิ้งกูเหรอวะ?!  มึงจะทิ้งกูได้ลงคอเหรอ?” ปั้นจั่นพอได้กินเหล้าก็เริ่มโวยวายฟูมฟายมากกว่าเดิม เฮ้อ! ฉันกลอกตามองบน ก่อนจะเดินไปนั่งข้าง ๆ ปั้นจั่น

“กูไม่กลับแล้วมึงมีอะไรมึงก็พูดมา จะกินให้มันเมาก็กินไปอยากระบายอะไรก็เต็มที่ มึงคิดเสียว่ากูเป็นกระโถนรองรับอารมณ์ของมึงก็แล้วกัน”  ฉันประชดประชันปั้นจั่น พี่ปั้นสิบมองหน้าฉันสลับกับหน้าปั้นจั่นไปมา จากนั้นก็ยิ้มที่มุมปากเบา ๆ

“นี่ของหมอก  ส่วนนี้ของมึง” พี่ปั้นสิบยื่นเเก้วเหล้าฉัน คนล่ะแก้ว ฉันรับมาก่อนจะกระดกมันเข้าปากอย่างเครียด ๆ

“แม่ง! ทำไม?! ทำไม?! ทำไมริสาถึงทิ้งกู”  ปั้นจั่นจับบ่าฉันเเล้วเขย่าจนหัวสั่นหัวคลอน พร้อมกับตะเบ็งเสียงใส่ฉัน

“กูจะรู้ไหมวะ?! ขนาดมึงยังไม่รู้แล้วกูจะรู้เหรอ!?”

“เชี่ย! ฮือ ๆ”

“หมอกอยู่นานไม่ได้นะคะ พรุ่งนี้หมอกมีงาน”  ฉันพูดกับพี่ปั้นสิบ

“ดูมันให้พี่ก่อนแล้วกัน อาการฟูมฟายของมันดีขึ้น หมอกค่อยไปทำก็ได้ พี่อยากฝากหมอกดูแลมัน พี่จ่ายเงินเดือนเพิ่มให้หมอกอีกเท่าหนึ่ง”

“แต่พี่คะ...”

“มันสนิทกับหมอก หนมชั้นติดงานถ่ายละคร พี่ก็ติดงาน จะลากมันกลับไปอยู่บ้าน มันคงไม่ยอมแน่ ๆ ดู ๆ มันให้พี่ก่อนนะ พี่ขอร้อง”

“ค่ะ”  ฉันพยักหน้ารับคำ ฉันนั่งกินเป็นเพื่อนปั้นจั่น ตอนนี้เขาเมาหัวทิ่มไปแล้ว แต่ก็ยังไม่หลับนะเมาเป็นหมาเชียว

Rrrrrrrr

สมาร์ทโฟนราคาแพงของพี่ปั้นสิบดังขึ้น

“ว่าไงจ้ะอิน”

(“...”)

“ปั้นมาดูไอ้ปั้นจั่น มันอกหักร้องไห้ฟูมฟายจะเป็นจะตายอยู่เนี่ย”

(“...”)

“หึ! เดี๋ยวปั้นจะถามมันดู มันจะไปบ้านแม่ไหม?”

(“...”)

“ครับ รักอินกับลูกนะครับ”  พี่ปั้นสิบเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าแล้วลุกขึ้น

“ฮือ ๆ กูเจ็บวะ!”

“กลับบ้านแม่กัน  มีอะไรไปคุยที่บ้าน”

“กูไม่ไป”

“ทำไมวะ?!”

“กูชอบอิสระ”

“อิสระเหี้*นะสิ ตกลงจะไปกับกูไหม? พ่อแม่รออยู่บ้าน”

“กูไม่ไป”

“เออ งั้นกูกลับ ฝากดูมันด้วยแล้วกันนะหมอก”

“พี่คะหมอกต้องกลับห้องนะคะ”

“อืม แต่ดึก ๆ ค่อยกลับได้ไหม? เดี๋ยวตอนเช้าค่อยมาดู เดี๋ยวให้ลุงคมสันเจสันมาเฝ้ามัน”

“ค่ะ พรุ่งนี้หมอกจะมาดูปั้นจั่นแต่เช้า”

“ขอบใจนะ พี่กลับก่อนแล้วกัน”

“ค่ะ” พี่ปั้นสิบมองหน้าปั้นจั่น ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง

“แม่ง แฟนก็ทิ้ง พี่ก็ทิ้ง เพื่อนก็ทิ้ง” ปั้นจั่นบ่น เฮ้อ! อยากจะทิ้งมันจริง ๆ แต่ก็ทำไม่ได้

“กูไม่ได้ทิ้งมึง แต่กูต้องไปพักผ่อน”  ฉันพูดในขณะที่ปั้นจั่นนอนเฝ้าขวดเหล้า ตอนนี้ฉันเองก็ชักมึน ดีนะที่ฉันดื่มไม่เยอะ

“หมอก มึงอย่าใจร้ายทิ้งกูไปอีกคนนะ”  ปั่นจั่นพูดพร้อมกับหลับตาลง ฉันเขยิบไปนั่งข้าง ๆ ปั้นจั่น ฉันมองใบหน้าหล่อเหลาคมคายของปั้นจั่น ฉันมองริมฝีปากหยักนั้นอย่างเผลอใจ ก่อนจะก้มลงจูบเขาเบา ๆ

แม้ในใจอยากจะตะโกนบอกว่ารักปั้นจั่นมากกว่าเพื่อนมากแค่ไหน ฉันได้แต่เก็บคำว่ารักเอาไว้แล้วกลืนมันลงไป

บทก่อนหน้า
บทถัดไป