บทที่ 6 บอสใจดี
บทที่5
ม่านหมอก… TALK...
"นี่คีย์การ์ดห้องคอนโดดีดิว ห้องของเธอ" คนที่ชื่อสายฟ้ายื่นคีย์การ์ดให้ฉัน
"ขอบคุณค่ะ" ฉันยกมือไว้อย่างนอบน้อม ส่วนคุณพายุเดินเข้ามา แล้วไปหยุดยืนที่หน้าต่าง เขาหยิบบุหรี่ราคาแพงขึ้นมาสูบ แล้วพ่นควันขาวลอยคลุ้ง แค่ได้กลิ่นฉันจะเป็นลม ฉันไม่ชอบกลิ่นบุหรี่ มันเหม็น
แค่ได้กลิ่นฉันก็จะตายแล้ว ฉันยกมือขึ้นมาปิดจมูกอย่างอดไม่ได้ สายตาคมเข้มนั้นตวัดมองฉันสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะหันไปมองผ่านอากาศอันเวิ้งว้างนอกกระจกใส
"ลูกน้องของผมน่าจะกำลังไปขนของเธอไปที่คอนโดแล้ว ไปดูความเรียบร้อย พรุ่งนี้มาทำงาน" คุณสายฟ้ายิ้มให้ฉัน ฉันยังงง ๆ เขารู้ได้ไงว่าฉันพักที่ไหน ฉันได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ
"ขอบคุณค่ะ งั้นฉันกลับก่อนนะคะ" ฉันยกมือไหว้อีกครั้ง
"ครับ"
ฉันหยิบซองเงินเดือนล่วงหน้าและคีย์การ์ดออกมาด้วย ในใจก็คิดไปเรื่อย ให้ฉันไปอยู่คอนโด คงจะเป็นคอนโดธรรมดาไม่หรูอะไรหรอก แค่พนักงาน เขาคงไม่ให้อยู่เลิศหรูหรอกมั้ง ฉันนั่งรถมาที่ห้องเช่าของตัวเอง ปรากฏว่ามีผู้ชาย5-6คน ขนของฉันมาไว้บนรถเรียบร้อยแล้ว
"จะไปพร้อมพวกผมเลยไหมครับ?" ชายเสื้อลายถามฉัน ฉันยังงงกลางดงผู้ชายอยู่เลย พวกพี่เขาเข้าไปขนของในห้องของฉันได้อย่างง่ายดายเลย ทั้งที่ฉันล็อคห้องเอาไว้
"พี่เข้าไปได้ไงคะ?" ฉันพูดไม่ได้อะไรกับข้าวของเท่าไหร่หรอกนะ เพราะมันไม่มีของมีค่าอะไร
"คุณไม่ได้ล็อคครับ"
"อ๋อค่ะ" ฉันกล่าวพร้อมกับคิดอย่างสงน ฉันลืมไปยังไงกัน แต่ก็ช่างเถอะ! คงเพราะฉันสะเพร่าเอง มีหลายอย่างมากที่ฉันสงสัย มันแปลก ๆ ห้องพักของฉัน พวกเขารู้ได้อย่างไร
"ไปเลยไหมครับ ถ้าไม่ไปพร้อมกันพวกผมจะไปก่อน"
"งั้นไปก่อนเลยค่ะ เอาคีย์การ์ดไหมคะ?"
"ไม่เป็นไรครับ คุณสายฟ้าให้พวกผมมาแล้ว"
"ค่ะ"
"พวกผมไปก่อนแล้วกัน" ชายคนนั้นพูดกับฉันแล้วเดินไปขึ้นรถ ฉันเปิดประตูห้องเข้าไปในห้องของตัวเอง ภายในห้องบัดนี้เหลือเพียงเตียงกับตู้ ข้าวของของฉันถูกเก็บไปจนหมดแล้ว
"มึงนอนที่นอนแข็งๆแบบนี้ได้ไงวะ?"
"นอนได้ จะเป็นไรไป"
"ปวดตัวแน่ๆเลยวะ เดี๋ยวกูมีเงินจะซื้อให้"
"ไม่เป็นไร มึงเก็บเงินของมึงเอาไว้เถอะ"
"อยากมีเงินเยอะๆจัง กูจะซื้อให้มึง"
"เรียนจบทำงานเก็บเงิน ตอนนี้อดทนไปก่อน"
"อืม" ภาพวันเก่า ๆ ลอยวนมา ฉันพ่นลมหายใจแรง ๆ แล้วเดินออกมาจากห้อง ฉันเรียกแท็กซี่ให้ไปส่งที่คอนโดดีดิว
พอจ่ายเงินเสร็จ ฉันเข้าไปอย่างงง ๆ ที่เขาบอกว่าห้องพักพนักงาน นึกว่าจะเป็นคอนโดราคาถูก หรือห้องเช่าที่ฉันเคยอยู่ แต่เปล่าเลย คอนโดหรูเลยแหละ บอสฉันโคตรใจดีเลย
ฉันเดินออกมาลิฟท์ แล้วเดินไปที่ห้องของตัวเอง พอถึงฉันก็แตะคีย์การ์ดเข้าไป ป้าดดดด!!! เริดเรอเพอร์เฟ็ค ห้องหรูมากกกก!!! ฉันรีบเดินออกจากห้องแล้วดูเลขห้อง ฉันก็ไม่ได้เข้าห้องผิด มันก็เป็นห้องที่ฉันต้องพักนี่น่า งงในงงแค่พนักงานทำไมได้พักดีจังวะ!!
ปั้นจั่น... TALK...
ผ่านไปเกือบเดือนที่ผมเอาแต่ขลุกอยู่ที่ห้อง ผมเก็บตัวเงียบ ไม่ว่าพี่ชายของผมจะมาไม่มาผมก็ไม่สนใจ
พี่ปั้นสิบพยายามพูดให้ผมคลายความเศร้าใจลง แต่ผมก็ทำไม่ค่อยได้เลยผมยังเสียใจทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องของริสา เธอคือรักแรกรักเดียวในหัวใจที่ผมมี
ม่านหมอกก็หายไปเลย ผมเองก็ไม่ได้ถามหาเธอ พี่ชายของผมก็ไม่พูดอะไร เป็นแบบนี้ก็ดีในเมื่อผมกับเธอ มันเป็นได้แค่เพื่อน แล้วเธอคิดไปเกินกว่าเพื่อน ผมก็คงให้เธอไม่ได้
แต่การหายไปของเธอ มันทำให้ผมอดใจหายไม่ได้ เมื่อก่อนสมัยเรียน ผมกับเธอขลุกอยู่ด้วยกันตลอดแทบจะ 24 ชั่วโมงเลยก็ว่าได้ ม่านหมอกเรียนไม่เก่งเท่าผม ผมก็จะคอยติวและอ่านหนังสือด้วยกันกับเธอ
"จั่น มึงทำยังไงวะ? มึงก็เรียนเท่ากู อ่านหนังสือเหมือนกันกับกู ทำไมมึงถึงเรียนเก่งกว่ากูวะ!"
"ทำไงได้วะ? ก็คนมันเก่ง"
"จ้าพ่อคนเก่ง" ม่านหมอกสะบัดค้อนใส่ผม
"ฮ่า ๆ แต่ตอนนี้กูหิววะ"
"กินไรดี?"
"กูไม่มีตังค์วะ บ้านกูจนให้เงินมาจำกัด"
"กูพอมี ตอนนี้มีอยู่เงิน100เดียว ได้ผัดกะเพรา2จานกับน้ำคนล่ะขวด" ม่านหมอกหยิบเงินออกมา
"ขอบคุณนะ กูมีกูจะตอบแทนมึงแน่นอน"
"อืม อย่าคิดมาก เดี๋ยวกูไปสั่งแป๊บเดียว เดี๋ยวมา" ม่านหมอกลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ประตู
" หมอก กูสัญญากูจะไม่ทิ้ง"
" อืม กูก็จะไม่ทิ้งมึงเหมือนกัน" ม่านหมอกส่งยิ้มหวานสดใส ผมมองรอยยิ้มนั้นแล้วยิ้มออกมา
Rrrrrr
เสียงสมาร์ทโฟนราคาแพงของผมดังขึ้น ทำให้ผมตื่นจากภวังค์ หลังจากที่สมองของผมมันคิดไปหาเรื่องเก่า ๆ ที่ผมกลับม่านหมอกเคยทำร่วมกัน เธอหายไปเป็นเดือนแล้ว ตั้งแต่ผมออกปากไล่ ม่านหมอกก็ไม่มาหาผมอีกเลย อดใจหายไม่ได้นะ เพื่อนรักที่คบกันมาตั้งหลายปี เงียบหายไป
"ฮัลโหล"
("ปั้นจั่นทำไมไม่ไปทำงานช่วยพี่") เสียงของปลายห้วน บ่งบอกว่าไม่พอใจมาก
"ผมยังไม่มีกะจิตกะใจทำเลยพ่อ ช่วยนี้ผมเศร้า"
("เศร้าเห*้ยอะไรวะเกือบเดือนแล้ว ตัดใจได้ก็ตัดเถอะ เธอแค่ผู้หญิงคนเดียวจะอะไรนักหนาวะ! งานสิสำคัญ พี่ปั้นสิบบริหารงานคนเดียว ไม่ได้นะ ลุงภูก็ไม่อยู่ อินทัชก็ไปทำงานต่างประเทศแล้ว พ่อก็ช่วยได้เท่าที่ช่วยตอนนี้ธุรกิจเรามันขยายใหญ่แล้วต้องช่วยกัน จะมาเอาปัญหาส่วนตัวไปปนกับส่วนรวมไม่ได้นะ")
"แต่พ่อครับ"
("ไม่มีแต่รีบมาช่วยงานพี่ปั้นสิบเลย สินค้าตัวใหม่จะเปิดตัวอีกไม่กี่วัน ทำเป็นเล่นไปได้"
"ธานินทร์มันก็ช่วยอยู่ไม่ใช่เหรอ? ให้ธานินทร์มันช่วยทำก็ได้"
"จะมีใครมาช่วยเราได้ตลอดล่ะลูก ถ้าเราไม่กระตือรือร้นทำเอง ปั้นจั่นโตแล้วควรคิดเองได้แล้วนะ อย่าให้เรื่องส่วนตัวมากระทบกับงาน อาบน้ำแล้วออกมาทำงานเลย"
"พ่อครับ…"
("นี่ไม่ใช่คำขอร้องให้กลับมาทำ แต่นี่คือคำสั่ง โตแล้วควรคิดให้เป็น ผู้หญิงในโลกนี้มันมีคนเดียวหรือไงจะอะไรเอาอะไรนักหนา")
"พ่อไม่เคยอกหักเพราะไม่รู้หรอกว่ามันเจ็บแค่ไหน?"
("พ่อก็เคยเจ็บนะสมัยเป็นหนุ่ม แต่พ่อไม่เอามาปนกับเรื่องงาน คนเรามันต้องรู้จักแยกแยะ ถ้าเกิดว่าเรามัวแต่จมอยู่กับเรื่องส่วนตัว แล้วไม่มาบริหารงาน จะเอาอะไรกินล่ะหัดคิดให้มาก")
"เอ่อ…"
("ถ้าไม่เชื่อคำพ่อ พ่อจะให้แม่น้ำชาไปลากลูกมาจากคอนโดโกโรโกโสนั่น")
"พ่อครับสภาพจิตใจของผม ยังไม่พร้อมเลยนะครับ"
("ต่อให้แกเสียใจให้ตาย มันก็เอากลับคืนมาไม่ได้หรอก ในเมื่อเขาเลือกคนอื่นไปแล้ว มาโฟกัสงานของเราไม่ดีกว่าเหรอ ถ้าลูกทำงาน มาบริหารพี่ชายและเปิดตัวสินค้าใหม่พร้อมกับพี่ ให้คนได้รับรู้ว่าพี่กับน้องมาบริหารงานช่วยกัน ใคร ๆ ก็อยากรู้จักลูกทั้งนั้น ในฐานะนักธุรกิจไฟแรง ผู้หญิงมากมาย ต่างก็พร้อมจะอ้าขาให้ลูก ลูกจะเอาสวย กว่าผู้หญิงคนนั้นของลูก 10 เท่าก็ยังได้เลย")
"... "
("เลิกฟูมฟายร้องไห้เป็นเด็ก ๆ ได้แล้ว ทำตัวให้มีค่า ให้ผู้หญิงคนนั้นมันเสียดายเรา อย่าไปยึดติดกับของที่ไม่ใช่ของของเรา ขนาดคนเป็นผัวเมียกันมีลูกด้วยกันเขายังหย่ากันได้ แต่งได้ก็เลิกได้ หมั้นได้ก็ถอนหมั้นได้ รักได้ก็เกลียดได้ เกลียดได้ก็รักได้ ชีวิตนี้มันไม่มีอะไรจีรังยั่งยืนหรอก เราอย่าไปยึดติดกับมันมาก ของที่เป็นของของเรา ต่อให้เราเสียไปแล้วมันก็กลับมาเป็นของเราอยู่ดี")
"ครับพ่อ"
("เดี๋ยวให้แม่ไปลากมานะ")
"ไม่ต้องให้แม่มาหรอกครับ เดี๋ยวผมจะไปเองแม่มาทีไรบ่นผมหูชาทุกที"
("เออ… รีบ ๆ มาแล้วกัน")
"ครับ" ผมรีบวางสายพร้อมกับตวัดปลายเท้าจรดลงพื้น แล้วหยัดกายลุกขึ้นเต็มความสูง ผมสูดลมหายใจเข้าออกลึก ๆ เพื่อเรียกกำลังใจตนเอง
จริงอย่างที่คำของพ่อผมพูด ถึงจะเสียใจไปมันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรหรอก ผมควรจะลุกขึ้นมาทำตัวเองให้มีค่า ผมจะช่วยงานพี่ชาย
ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ผมก็ขับรถสปอร์ตหรูของผมไปจอดที่ลานจอดรถของบริษัท พนักงานทุกคน ที่เห็นผมเดินเข้าไปในตึก ต่างก็ทำความเคารพผม พนักงานทุกคนก็รู้จักผมเป็นอย่างดี เพราะผมโตมากับบริษัทแห่งนี้
ผมเดินไปเรื่อย ๆ จนมาถึงโต๊ะทำงานที่ม่านหมอกเคยนั่งทำงาน ผมขมวดคิ้วมุ่น เมื่อคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นกลับไม่ใช่ผู้หญิงตัวเล็ก ผิวขาวหน้าตาจิ้มลิ้ม เพื่อนสนิทของผมอีกแล้ว แต่เป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ม่านหมอก นั่งทำงานแทนเธอ
ผมทำหน้าฉงน ม่านหมอกไปไหนทำไมคนอื่นถึงมาทำงานแทนเธอ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะเอ่ยปากถามใคร พี่ปั้นสิบกับพี่อินทิราก็เดินมาพอดี
"มาทำงานได้แล้วเหรอ ไอ้ตัวดี"
"ครับ แล้วม่านหมอกไปไหนครับทำไมคนอื่นถึงมานั่งทำงานที่โต๊ะแทนเธอ"
"อ๋อ ม่านหมอกเธอลาออกไปแล้ว เกือบเดือนได้แล้วมั้ง เห็นว่าจะไปช่วยเพื่อนทำงาน"
"แล้วพี่ก็ให้เธอไปเหรอ?" ผมเอ่ยถาม พยายามขบคิดว่าเพื่อนของเธอเป็นใคร ในเมื่อตลอดที่ผ่านมา เธอมีผมเป็นเพื่อนคนเดียว
"อ้าวในเมื่อเธอต้องการจะออก กูจะรั้งไว้ทำไมล่ะ? เธอมีสิทธิ์ที่จะไปทำงานที่อื่นก็ได้ มันเป็นสิทธิ์ของเธอ ในเมื่อเธอต้องการที่จะออกกูก็แค่เซ็นอนุมัติให้เธอเท่านั้นเอง"
"... " ผมยืนนิ่ง กำลังใช้ความคิด ม่านหมอกคงจะโกรธ ที่ผมออกปากไล่เธอ ณ เวลานั้น ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก ผมตกใจ รู้สึกเสียใจ ปะปนกันไปหมด ถูกแฟนทิ้งเจ็บแล้ว เพื่อนสนิทมาจูบผม พร้อมกับสารภาพว่ารักผม จะให้ผมทำอย่างไร
ในเมื่อผมคิดกับม่านหมอกเป็นได้แค่เพื่อน ผมไม่สามารถคิดกับเธอเป็นอื่นได้เลย แล้วเราจะมองหน้ากันยังไง ในเมื่อเธอคิดกับผมมากกว่านั้นแล้ว จะให้ผมไปทำตัวสนิทด้วยมันก็คงไม่ใช่
"ส่วนนี่คุณเพ็ญศรี จะมาออกแบบสินค้าแทนม่านหมอก มึงก็ช่วยดูแล้วกัน"
"..."
"ม่านหมอกเธอลาออกกูก็เลยให้คนอื่นมาแทน หวังว่ามึงคงไม่มีปัญหานะ"
"ไม่มีครับ"
"ดีงั้นเราไปห้องทำงานกันเถอะอิน"
"จ้ะ!" ผมมองตามหลังพี่ชายของผมที่เดินเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัว ผมรีบหยิบสมาร์ทโฟนราคาแพงของผมออกมากดโทรออกทันที ถึงแม้ว่าความเป็นเพื่อนของผมกับเธอจะไม่เหมือนเดิม แต่ม่านหมอกเป็นคนมีความสามารถและเก่งในการออกแบบมาก ผมเองก็นึกเสียดายที่ต้องเสียพนักงานดี ๆ อย่างม่านหมอกไป
ผมกดย้ำที่หน้าจอโทรศัพท์อีกครั้ง แต่ผลตอบรับก็คือเสียงที่ดังตื๊ดตื๊ดตื๊ด เธอน่าจะบล็อคเบอร์ผมแต่ไม่เป็นไร ผมยังมีไลน์มีเฟซมี IG ผมรีบติดต่อเธอทันที แต่สิ่งที่ได้กลับเป็นความว่างเปล่า ม่านหมอกบล็อกเฟซ บล็อคไลน์บล็อคทุกช่องทางการติดต่อ ที่ผมจะติดต่อเธอได้
มาถึงตอนนี้ผมกลับร้อนใจแปลก ๆ ทำไมผมถึงรู้สึกแบบนี้ ทั้งที่ผมเป็นฝ่ายไล่เธอไป
"ช่างเถอะในเมื่อมึงไม่อยากให้กูติดต่อมึงกูก็จะไม่ติดต่อ ต่างคนต่างอยู่ไปแล้วกัน" ผมพูดออกมาเบา ๆ ถึงแม้ว่าในใจของผม มันจะโหวงเหวงแปลก ๆ ก็ตาม
