บทที่ 6 6

หญิงสาวเดินเข้ามาภายในบ้านซึ่งไร้แสงสว่างจากไฟฟ้า เธอนั้นไม่ได้แปลกใจอะไรเพราะบ้านหลังนี้อยู่กันเพียงสองคนเท่านั้นคือเธอกับปริภัทร์ เดินเข้ามาอย่างไม่ใส่ใจแต่อยู่ ๆ ไฟกลางห้องนั่งเล่นก็สว่างขึ้นทำเอาหญิงสาวตกใจไม่น้อย หันซ้ายแลขวาดูว่าใครกันเป็นคนเปิดมัน แต่แล้วก็ต้องสะดุดกับร่างของปริภัทร์ผู้เป็นสามียืนกอดอกมองเธอแววตาโกรธเกรี้ยวบนเชิงบันใดข้าง ๆ สวิตช์ไฟที่เปิดเมื่อครู่

“คุณปัท!” หญิงสาวเรียกชื่อเขาอย่างตกใจ

“ใช่ฉันเอง… ตกใจขาดนั้นเลยเหรอที่เห็นฉันอยู่บ้าน” ร่างสูงเดินเข้ามาหาร่างบางที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ใกลจากเขา

“ฉันก็ตกใจนิดหน่อยค่ะ ไม่คิดว่าคุณจะกลับมาบ้าน” หญิงสาวตอบกลับเสียงอ่อนเพราะเธอนั้นไม่อยากหาเรื่องเข้าตัวหรือทะเลาะกับเขา

รู้ว่าเขาไม่ชอบหน้าเธอ

“ทำไมนี่บ้านฉันทำไมฉันจะกลับมาไม่ได้ หึ...กลับบ้านเอาป่านนี้ไปถึงสวรรค์ชั้นไหนมาล่ะ”

“นี่คุณ… พูดเรื่องอะไรฉันไม่เข้าใจ”

“อย่ามาทำเป็นไร้เดียงสา พูดจาทำเป็นไม่รู้เรื่องไปหน่อยเลย ออกจากบ้านไปแต่เช้ากลับกลับบ้านเอาป่านนี้ไปถึงสวรรค์ชั้นไหนมาล่ะ” ชายหนุ่มว่าเสียงแข็งแล้วย่างก้าวเข้าหาเธอช้า ๆ สองมือแกร่งบีบเข้ากับไล่มนของหญิงสาวและจับเขย่าจนหัวสั่นหัวคลอน

“มันจะมากเกินไปแล้วนะ” หญิงสาวพยายามสะบัดให้หลุดจากการเกาะกุมของเขา

“มันไม่มากไปสำหรับผู้หญิงมักง่าย หน้าเงินอย่างเธอหรอก” ว่าแล้วก็กระชากแขนเรียวของภัคพิญาขึ้นไปยังชั้นสองทั้งลากทั้งดึงไปตามแรงของเขาด้วยความโกรธจากเรื่องวันนี้

“คุณปัท… ปล่อยฉันนะ” เธอว่าพยายามรั้งกายเอาไว้แต่ก็ไม่เป็นผล และทันทีที่ประตูห้องปิดลงก็เหวี่ยงเธอลงบนเตียงอย่างแรง

“คุณจะทำอะไร” เธอถามด้วยหน้าตาที่ตื่นตระหนกกับท่าทางของเขา ยันกายขยับตัวให้ออกห่างรังสีอำมหิตที่แผ่ซ่านจากกายคนตรงหน้า

“อย่าทำเป็นไร้เดียงสาไม่เคยไปหน่อยเลย” เขาว่าแล้วกระชากเท้าเรียวให้เข้ามาอยู่ใต้ร่างจากนั้นเขาก็คร่อมเธอเอาไว้แขนสองข้างที่กำลังจะทุบตีเขาถูกรวบตรึงเอาไว้กับเตียงนุ่มก่อนก้มซุกไซ้ลำคอขาวผ่องจนเกิดรอยท่ามกลางเสียงขอร้องอ้อนวนของเธอ

“คุณปัทปล่อยฉันนะ อย่าทำอะไรฉันเลย” อยู่ ๆ น้ำใส ๆ ก็ไหลออกมาเขากำลังจะย่ำยีเธอ

“ฮึ ดีใจถึงกับร้องไห้เลยหรือไง” เขาว่าน้ำเสียงเย้ยหยันคนใต้ร่างอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะผละออกจากร่างบางที่เสื้อผ้าหลุดรุ่ยจากฝีมือของเขา

หญิงสาวได้แต่กอดตัวเองเอาไว้

เขามองด้วยความสมเพชกับผู้หญิงหน้าด้านไร้ยางอายอย่างเธอแล้วเอ่ยอีกประโยคหนึ่งก่อนจะเดินออกจากห้องไปปิดประตูลงอย่างแรง

ทิ้งให้ร่างบางนั้นกอดตัวเองนอนร้องไห้อยู่บนเตียง

“คืนนี้ฉันไม่มีอารมณ์ อีกอย่างเธอคงอิ่มจากไอ้เวรที่มาส่งแล้วฉันคงไม่ต้องปรนเปรอให้เธอหรอกนะ”

สองเดือนผ่านไปตามวันเวลา การใช้ชีวิตคู่ฉันสามีภรรยาของปริภัทร์และภัคพิญาแน่นอนว่าชีวิตของทั้งคู่ไม่ได้ราบรื่นหวานชื่นเหมือนคู่รักคู่อื่น ๆ การที่คนสองคนต้องมาแต่งงานกันโดยที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนั้นไม่เต็มใจย่อมขื่นขมมากเกินพอ ปริภัทร์ทำทุกอย่างและทุกวิถีทางที่จะทำให้เธอหย่าขาดจากเขาแม้กระทั่งพานางแบบสาวคู่ควงคนล่าสุดของเขาเข้ามาค้างอ้างแรมกัน

ที่บ้าน

ใคร ๆ ก็ว่ากันว่าชีวิตของภัคพิญานั้นโชคดีที่ได้แต่งงานกับปริภัทร์ ต่างคนต่างพากันอิจฉาในชีวิตของเธอ แต่หญิงสาวนั้นไม่ได้คิดแบบนั้นว่าตนโชคดีแต่ตรงกันข้ามเสียมากกว่า ถ้าหาเมื่อสองปีก่อนเธอไม่บังเอิญได้พบกับบิดามารดาของเขาเธอก็คงไม่ต้องมาแต่งงานและใช้ชีวิตเรียบง่ายตามมีตามเกิดสองยายหลาน

หากว่าด้วยเหตุผลบางประการที่ทำให้เธอตกปากรับคำแต่งงานกับ

ปริภัทร์ พรหมพิริยะ บุตรชายคนโต ทั้ง ๆ ที่เธอไม่เคยเห็นหน้าค่าตาเขามาก่อน ภัคพิญานั้นรู้จักกับท่านทั้งสองมาราวสองปี ท่านคอยช่วยเหลือเธอในยามยากลำบาก ยายที่เป็นญาติเพียงคนเดียวของเธอนั้นล้มป่วยต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลมานานแรมปี

ระหว่างที่ยายของเธอเข้ารับการรักษาตัวเธอก็จำเป็นต้องย้ายเข้ามาอยู่ภายในบ้านของคุณนายปภาซึ่งในช่วงนั้นชายหนุ่มก็อาศัยอยู่ภายในบ้านหลังนั้นด้วย แต่พอได้รู้ว่าเขาจะต้องแต่งงานกับเธอแล้วจึงสั่งสร้างบ้านหลังใหม่ให้เสร็จโดยตัวของชายหนุ่มนั้นไปอาศัยอยู่ที่เพนต์เฮาส์ของโรงแรมซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัว

ไม่ค่อยกลับมาค้างที่บ้านสักเท่าไรนัก หญิงสาวรู้ดีว่าเขาไม่ได้เต็มใจที่จะแต่งงานกับเธอ แต่เพียงภายในใจลึก ๆ ของเธอแล้วนั้นยินดีที่จะแต่งานกับเขาแม้เขาไม่ต้องการก็ตาม อาจจะเป็นเพราะเธอหลงรักเขาเข้าแล้วตั้งแต่เพียงแรกเห็นที่เจอกัน

หลายต่อหลายครั้งที่เขามักจะต่อว่าดูถูกดูแคลนหญิงสาวเสมอตราหน้าว่าเป็นผู้หญิงหิวเงินต้องการปลอกลอกเงินของเขา เธอทำอะไรพ่อแม่ของเขาก็เชื่อไปเสียหมด มิหนำซ้ำเขายังเกลียดเธอสุดหัวใจ ดูได้จากแววตาท่าทางของเขาที่มีต่อเธอมาโดยตลอดที่พบหน้ากันและอยู่ด้วยกันมา แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อเธอนั้นหลงรักเขาเข้าแล้ว รักแม้กระทั้งที่เขาร้ายกับเธอ ‘รัก’ ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเห็นเธออยู่ในสายตาแม้แต่น้อย ภัคพิญารู้ดีว่าเธอไม่อาจเทียบเคียงคนรักของเขาอยู่แล้วหญิงสาวได้แต่เพียงเก็บความรู้สึกเอาไว้ภายในใจไม่อาจบอกกับใครเขาได้

ทว่ากลายเป็นกิจวัตรประจำวันไปเสียแล้วสำหรับภัคพิญา

ทุกวันหลังเลิกงานเธอมักจะเข้ามาเยี่ยมยายของเธอที่โรงพยาบาลหอบหิ้วถุงอาหารมากมายหลายถุง มันกลายเป็นภาพที่ชินตาของเหล่าหมอและพยาบาลเหล่านั้นไปเสียแล้ว

“เธอคุณภัคภรรยาของคุณปัทมาที่โรงพยาบาลอีกแล้ว”

“ก็ต้องมาสิมันจะแปลกอะไรในเมื่อยายของคุณภัคเขารักษาตัวอยู่ที่นี่” พยาบาลที่กำลังคุยถึงหญิงสาวที่เดินเข้ามาซุบซิบอย่างเบา ๆ

“แปลกตรงที่ฉันไม่เห็นสามีคุณภัคมาที่โรงพยาบาลเลยนี่สิ”

“อย่างที่เธอว่าก็จริง” ไม่นานนักเสียงหวานของภัคพิญาดังขึ้นตรงหน้าพยาบาลสาวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“สวัสดีค่ะ วันนี้ภัคซื้อผลไม้กับลูกชิ้นมาฝากพี่ ๆ พยาบาลและคุณหมอด้วยนะคะ” ว่าแล้วยื่นถุงตรงหน้าให้พยาบาล

“ขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะคุณภัค อันที่จริงไม่ต้องซื้อของมาฝากพวกเราก็ได้นะคะ” พยาบาลสองสาวรับถุงอาหารพลางยิ้มเจื่อนกับสิ่งที่ได้ว่านินทาคนจิตใจดีตรงหน้าไปเกรงว่าเธอจะเข้ามาได้ยินพลอยรู้สึกไม่ดีว่ากล่าวขอบคุณหญิงสาวตรงหน้า

“ไม่เป็นอะไรคะ ภัคยินดีถือว่าเป็นการของคุณที่คอยดูแลคุณยายของภัคมาตลอด” ภัคพิญาว่าแล้วส่งยิ้มให้

“มันเป็นหน้าที่ของพวกเราอยู่แล้วค่ะคุณภัค” หญิงสาวที่แสนจิตใจดีนั้นส่งยิ้มให้ทั้งสองก่อนขอตัวไปหายายของตนที่นอนพักฟื้นรักษาตัวอยู่ในห้องไม่ใกล้ไม่ไกลจากตรงนี้มากนักร่างบางเดินไปตามทางเดินด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่จะได้อยู่กับยายผู้เป็นที่รัก

ทุกครั้งที่เธอมาเยี่ยมเยียนผู้เป็นยายเมื่อใด หญิงสาวมักจะได้รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความหวังจากนางกลับมาเสมอ และตอนนี้ก็เช่นกัน เมื่อเปิดประตูห้องเข้าไปยายแววหันมาตามเสียงเปิดเห็นหลานสาวของตนส่งยิ้มมา

ให้พร้อมทั้งถุงอาหารผลไม้ในมือ

“จ๊ะเอ๋ ยายจ๋าภัคมาหาแล้วค่ะ” ภัคพิญาส่งยิ้ม

“เลิกงานแล้วทำไมไม่กลับบ้านไปดูแลผัวล่ะยายภัค” ยายแววหันมาพูดกับหลานสาวแล้วตักอาหารเข้าปาก

ภัคพิญาวางผลไม้ไว้บนโต๊ะค่อยจะเดินนั่งข้าง ๆ เตียงจับช้อนแล้วค่อย ๆ ป้อนอาหารพลางตอบคำถามของยายเมื่อครู่

“คุณปัทเขายังไม่กลับบ้านเหรอกจ้ะยาย เห็นว่ามีประชุมดึก ภัคเลยแวะมาหายายอยู่กับยายก่อน” หญิงสาวจำต้องโป้ปดออกไปเพราะเธอเองนั้นก็ไม่รู้ว่าเขาจะไปทำอะไรกับใครที่ไหนเธอไม่มีสิทธิ์ได้รับรู้

บทก่อนหน้า
บทถัดไป