บทที่ 5 Chapter 5
ห้องนอนเตศวร
เกือบห้าทุ่มอีกไม่กี่นาที ทว่าเตศวรยังมิอาจข่มตาหลับ ไม่ใช่ว่าเขาไม่ง่วง แต่ใจกระหวัดถึงตาหวานต่างหาก เป็นความคิดถึงที่ไม่เคยเกิดขึ้นในจิตใจมาก่อน ยามลืมตาดวงหน้าตาหวานก็ลอยอยู่ตรงหน้า ปิดเปลือกตาใบหน้าตาหวานก็เหมือนฟังในโสตจักษุ รอยยิ้มของหล่อนก็ยังระยับอยู่ในใจเขา วันนี้ตาหวานมีความสวยและน่ารักอยู่ในตัว หล่อนดูสดใส ดูมีเสน่ห์ดึงดูดเพศตรงข้าม แล้วโตพอที่ทำให้เขาคิดว่า หล่อนสามารถเป็นแม่พันธ์ที่ดีได้
“ทำไมฉันต้องคิดถึงเธอด้วยนะตาหวาน” เตศวรพูดกับตัวเอง นอนมองเพดานแล้วยิ้มราวกับคนบ้า ประหนึ่งว่าเพดานที่ตนมองอยู่มีหน้าตาหวานแปะอยู่ “สงสัยคืนนี้ฉันคงนอนหลับฝันดีแน่ๆ ฉันต้องฝันถึงเธอ”
เป็นความคิดถึงไม่เคยรู้สึกในหัวใจเตศวรมานานมากแล้ว เขาจำได้ว่า ตนคิดถึงผู้หญิงครั้งสุดท้ายเมื่อตอนเรียนแพทย์ปีที่สอง ช่วงนั้นเขาพอใจหญิงสาวต่างคณะ เป็นการแอบชอบอยู่เงียบๆ เนื่องจากหล่อนมีคนรักอยู่แล้ว ก่อนที่เขาจะตัดใจและมุ่งมั่นเรียนแพทย์ต่อไป
ขณะปิดเปลือกตาลง ใบหน้าเตศวรมีรอยยิ้มบางๆ ในใจยังคงคิดถึงแม่ตาหวาน หญิงสาวที่จะมาเป็นแม่ของลูกในอนาคต
เวลานี้เตศวรเร่งเวลาให้ถึงวันเกิดตาหวานเร็วๆ เพื่อที่เขาจะได้ ‘ทำ’ ลูก ปั้นเหลนสักสองสามคนให้คุณย่าพะเยาว์ปวดหัวเล่น
บ้านตาหวาน
ตาหวานมานั่งริมหน้าต่าง เงยหน้ามองท้องฟ้ายามราตรีที่ประดับด้วยดวงดาวหลายสิบดวง หล่อนมองไปยิ้มไป ใบหน้าเอิบอิ่มด้วยความสุข ยิ่งนึกถึงใบหน้าเตศวร รอยยิ้มยิ่งกว้างมากขึ้น สุขใจกับอาหารมื้อเย็นที่นอกจากอิ่มท้อง ตาหวานยังอิ่มใจอีกด้วย
ระหว่างที่ตาหวานกำลังเคลิบเคลิ้มอยู่กับความอิ่มอกอิ่มใจ บานประตูห้องนอนเปิดออก ดวงดาวน้าสาวของตาหวานเดินเข้ามาในห้อง มือถือนิยายเล่มหนึ่งอยู่ในมือ
“ตั้งแต่แกกลับมาจากบ้านคุณยาย ฉันเห็นแกยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างกับคนบ้า คลั่งอะไรมาล่ะ หรือว่าคลั่งว่าที่ผัวในอนาคต โถๆๆ แม่ตาหวานของน้า ยังไม่ทันส่งตัวเลย นั่งเป็นบ้าซะแล้ว”
ดวงดาวแซวหลานสาวที่หันมามองต้นเสียง ใบหน้าตาหวานแดงระเรื่อเมื่อได้ยินคำพูดของคนเป็นน้า
“น้าส้มพูดอะไรก็ไม่รู้ คุณเตยังไม่ได้เป็นผัวหนูสักหน่อย”
“อีกไม่กี่วันก็เป็น พูดไว้ก่อนไม่เสียหลายหรอกน่า”
“แล้วน้าส้มไปไหนมา กลับซะดึกเชียว” ตาหวานเปลี่ยนเรื่อง
“ฉันก็อยู่บ้านนี่แหละ อ่านหนังสืออยู่ข้างนอก” ดวงดาวตอบ “เออจริงสิ แกยังเวอร์จิ้นอยู่นี่นา”
แม้ว่าตาหวานจะเรียนจบแค่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก แต่หล่อนก็รู้ว่า คำว่าเวอร์จิ้นหมายถึงอะไร แก้มทั้งสองข้างของตาหวานเปื้อนสีแห่งความอายทันที
“น้าส้มพูดไม่น่าฟังเลย” ตาหวานพูดไปอายไป
“แกไม่ต้องมาอาย อีกไม่กี่วันแกก็ต้องแก้ผ้าบนเตียงนอนกับคุณเต ฉะนั้นแกต้องศึกษาหลักสูตรเพศศึกษาก่อน” ดวงดาวเล่นเอาเรื่องจริงมาพูดเช่นนี้ มีหรือตาหวานจะไม่อายซ้ำอายซาก หล่อนยิ่งเขินอายหนักมากขึ้น แต่ก็สงสัยว่าจะให้ตนไปศึกษาเรื่องนี้อย่างไร
“ศึกษายังไง”
“นี่ไง” ดวงดาวยื่นหนังสือนิยายให้หลานสาว “อ่านนิยายเรื่องนี้รับรองว่า แกจะรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับแกในคืนส่งตัว”
“หนังสือนิยายเล่มเดียวเนี่ยนะรู้ทุกอย่าง” ตาหวานถามกลับ สีหน้าไม่อยากเชื่อว่าจะศึกษาอะไรได้จากหนังสือเล่มนี้
“แกก็ลองอ่านสิ มันมีฉากที่นางเอกเสียตัวให้พระเอก เสียความบริสุทธิ์น่ะ แกจะได้รู้ไงว่า พระเอกทำอะไรนางเอกบ้าง นางเอกจะเจ็บมากไหมหรืออะไรๆ ที่แกไม่รู้ โน่นรู้ยันความสุขถึงสวรรค์ชั้นฟ้าเลยนะแก อ่านเล่มเดียวจบเลย” ดวงดาวตอบ “ศึกษาไว้ รับรองช่วยแกได้เยอะ”
ดวงดาวเดินไปล้มตัวลงนอนบนที่นอนโดยมีสายตาตาหวานมองตามร่างน้าสาวสลับกับหนังสือที่อยู่ในมือ
ตาหวานไม่แน่ใจว่า หนังสือเล่มนี้จะให้ประโยชน์อะไรกับตน หล่อนไม่เคยอ่านหนังสือนิยาย และไม่คิดจะอ่าน อย่างมากก็อ่านหนังสือการ์ตูนเล่มละสิบห้าบาท ตอนเรียนหนังสือก็อ่านตำราเรียนเฉพาะเวลาจะสอบ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะหมกตัวอ่านอย่างเดียว อ่านไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงตาก็จะปิด พับหนังสือแล้วล้มตัวลงนอน
หนังสือเล่มนี้หนาพอสมควร หนากว่าหนังสือเรียนเสียอีก หล่อนคิดว่า อ่านไม่กี่หน้าคงง่วงนอน ตาหวานจึงวางมันลงตรงโต๊ะ ละความสนใจที่จะอ่านมัน แล้วเดินไปนอนข้างน้าสาว
เกือบบ่ายโมง
lll
เตศวรขับรถปิคอัพไปตามถนนสายหลักที่ทอดยาวไปสู่ตัวเมือง การเข้าเมืองครั้งนี้มาจากคำสั่งด่วนของพะเยาว์ที่ให้เขาพาตาหวานไปซื้อของใช้ส่วนตัว อาทิเสื้อผ้า รองเท้าและอื่นๆ ที่ตาหวานอยากได้ แน่นอนว่าว่าที่แม่ของลูกต้องร่วมเดินทางมาด้วย
ตาหวานตื่นเต้นจนมือไม้สั่น นั่งตัวลีบบนเบาะด้านข้างคนขับ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้อยู่ใกล้ชิดเตศวร เพราะที่ผ่านมา เขาและหล่อนจะเดินผ่านกัน ทักทายกันนิดหน่อย จะได้เห็นหน้านานๆ ก็ตอนที่พะเยาว์เรียกไปกินข้าวด้วยกัน ราวกับว่าจะสร้างความคุ้นเคยให้ทั้งคู่ วันนี้ก็เช่นกัน อีกเหตุผลหนึ่งที่พะเยาว์ให้หลานรักพาตาหวานไปซื้อของในเมือง ก็เพื่อเพิ่มความสนิทสนม ในวันส่งตัวจะได้ไม่เคอะเขิน
“เป็นอะไร ทำไมนั่งแบบนั้นล่ะ เบาะนั่งไม่สบายเหรอ” นายแพทย์หนุ่มอดถามตาหวานไม่ได้
“เปล่าค่ะ นั่งสบายค่ะ” ตาหวานตอบ
“นั่งสบายแล้วทำไมต้องนั่งไหล่ห่อ ทำตัวลีบแบบนี้ล่ะ”
“ไม่นั่งแบบที่คุณเตว่าก็ได้ค่ะ” ตาหวานจะตอบตรงๆ ว่าเขินอายที่อยู่กับเขาตามลำพังก็ไม่ได้ หล่อนจึงนั่งตัวตรง ไม่บิดตัวไปมา “แบบนี้ดีแล้วใช่ไหมคะ”
ตาหวานยิ้มให้คนที่กำลังขับรถ ช่วงวินาทีนั้นเขาหันมามองว่าที่แม่ของลูกพอดี เตศวรได้เห็นรอยยิ้มที่ยิ้มทั้งริมฝีปากและดวงตา เป็นรอยยิ้มที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน แม้ว่าจะเคยเจอหน้าเจอตาตาหวานมาแล้วหลายครั้ง ทว่าเหตุใดครั้งนี้หัวใจเตศวรถึงได้เต้นแรงกับรอยยิ้มที่เห็น
รอยยิ้มของเด็กกะโปโล...
“ถามอะไรได้ไหม” เตศวรสะบัดความรู้สึกแปลกๆ ให้หลุดออกไปจากหัว เอ่ยถามเรื่องที่ตนสงสัย
“ค่ะ ได้ค่ะ คุณเตจะถามอะไรหนูคะ” ตาหวานมักใช้สรรพนามเรียกแทนตัวกับทุกคนที่มีอายุมากกว่าตนว่าหนู ไม่เว้นแม้แต่เตศวร
“ทำไมถึงยอมทำตามข้อตกลงของคุณย่า” เตศวรถามตรงๆ
“เพราะบุญคุณค่ะ คุณยายเยาว์มีบุญคุณกับครอบครัวหนูมาก ช่วยเหลืออะไรหลายอย่างมาตลอด ตอนที่ตาป่วยก็ได้เงินจากคุณยายเอาไปเป็นค่ารักษา แล้วยังมีตอนที่ยายนันถูกหลอกให้ขายที่ คุณยายก็ให้เงินเอาไปไถ่ถอน ไม่งั้นหนูกับครอบครัวคงไม่มีที่อยู่ที่ทำกิน แล้วยังมีอีกหลายเรื่องค่ะ” ตาหวานตอบตามตรง “พอคุณยายมาพูดเรื่องนี้ หนูเลยตกลง”
