บทที่ 6 Chapter 6

Chapter 6

พูดถึงบุญคุณที่พะเยาว์มีต่อครอบครัวตาหวาน หากจะกล่าวถึงก็ต้องพูดถึงรุ่นตารุ่นยายที่ได้รับความช่วยเหลือเรื่อยมา และพะเยาว์ไม่เคยทวงบุญคุณเลยสักครั้ง ช่วยเหลือด้วยความเมตตาสงสารจากใจจริง เมื่อบุญคุณเยอะแล้วไม่รู้ว่าจะตอบแทนอย่างไร ทันทีที่พะเยาว์มาพูดเรื่องนี้ บิดามารดารวมทั้งตายายของตาหวานไม่ขัดข้อง ทว่าพะเยาว์กลับต้องการความยินยอมจากตาหวานมากกว่า ซึ่งแน่นอนว่า ตาหวานยินดีและเต็มใจ ด้วยเหตุผลส่วนตัวคือ หล่อนหลงรักนายแพทย์หนุ่มตั้งแต่แตกเนื้อสาวแล้ว

“แล้วเธอไม่กลัวใครนินทาเหรอว่า มีลูกตั้งแต่อายุยังน้อย แถมไม่ได้แต่งงานกับฉัน” เขาถามอีกข้อ

“เราห้ามไม่ให้คนอื่นนินทาเราไม่ได้หรอกค่ะ เหมือนห้ามไม่ให้ฝนตก ห้ามไม่ให้มีลมพายุอะไรเทือกนั้น หนูไม่แคร์สายตาคนอื่น ไม่สนใจคำนินทา ไม่ใส่ใจปากหอยปากปู  เพราะหนูรู้ว่า หนูทำอะไรอยู่ ยายนันสอนว่า ถ้าเราไม่ดีพอก็จงอย่าว่าคนอื่น อย่านินทาคนอื่นให้เขาเกลียดชัง แล้วมันจะเป็นบาปติดตัวไปด้วย”

เตศวรมองหน้าคนตอบ เขาไม่คิดว่าจะได้ยินคำตอบนี้ คำตอบที่แสดงถึงความเป็นผู้ใหญ่ที่มีความคิดความอ่าน ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคำตอบที่หลุดออกจากปากแม่สาวน้อยนักกระโดดเชือก

“เธอนี่ความคิดสวนทางกับอายุเลยนะ” เขาชม “แล้วเมื่อไหร่จะเลิกกระโดดเชือก จะอายุยี่สิบอยู่ไม่กี่วันนะ”

“ยางค่ะ ไม่ใช่เชือก หนูกระโดดยาง”

“เออๆ นั่นแหละ เมื่อไหร่จะเลิก”

“เมื่อมันถึงเวลาของมัน ซึ่งไม่ใช่ตอนนี้”

“ยังไง ไม่เข้าใจ” เตศวรไม่เข้าใจที่ตาหวานพูดจริงๆ

“อืม จะพูดว่าไรดีนะ” ตาหวานทำหน้าคิด โดยที่หล่อนไม่รู้ว่า เตศวรกำลังลอบมองดวงหน้าของคนกำลังคิดคำพูดที่ชวนมองเหลือหลาย หล่อนเอียงคอเล็กน้อย นิ้วชี้แตะลงตรงคาง มองแล้วเพลินตาดีทีเดียว แต่ชั่วขณะที่ตาหวานคิด สายตาหล่อนมองเห็นบางอย่าง “อาจเลิกเล่นตอน...ว้ายคุณเตระวัง”

ตาหวานยังไม่ทันพูดจบ หล่อนก็ต้องร้องตกใจดังลั่นรถ เมื่อมีวัวตัวหนึ่งวิ่งตัดผ่านถนน ความที่เตศวรละสายตาจากถนนหันมามองหน้าหล่อน จึงไม่ทันสังเกตเห็นวัวตัวนั้น พอได้ยินเสียงเตือนของตาหวาน เขาก็เหยียบเบรกรถกะทันหัน ส่งผลให้ตาหวานที่ไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย ร่างไถลไปด้านหน้ารถ หน้าผากไปกระแทกกับคอนโทรลรถเต็มแรง

“โอ๊ย!”

“เป็นอะไรไหมตาหวาน” เตศวรรีบหันมาถามคนร้องเจ็บที่เอามือลูบหน้าผาก

“หนูไม่เป็นไรค่ะ เจ็บนิดเดียว”

“ไหนขอฉันดูหน่อยสิ” ด้วยความเป็นหมอและเป็นห่วงแม่ตาหวาน เขาปลดเข็มขัดนิรภัย เอี้ยวตัวมาดูหน้าผากของหล่อน ส่งผลให้ทั้งคู่ใกล้ชิดกันไปโดยปริยาย “โนนิดนึง ฉันขอโทษนะที่ขับไม่ระวัง”

ตาหวานไม่ได้สนใจคำพูดเตศวร ตอนนี้หล่อนแทบไม่เป็นตัวของตัวเอง หัวใจเต้นเร็วถี่แรงด้วยความตื่นเต้น สัมผัสจากเขาช่างอบอุ่นเหลือเกิน มือใหญ่ที่จับมือตนให้ออกห่างหน้าผากที่ปูดโน แม้ว่าจะเพียงแค่แวบเดียวหล่อนก็รู้สึกได้ ไหนจะกลิ่นน้ำหอมผู้ชายที่พอสูดกลิ่นเข้าไป เป็นกลิ่นหอมที่ไม่แรงมาก มีกลิ่นอำพันผสมกับแมกไม้ ทำให้รู้สึกเคลิ้ม ชวนหลงใหล เซ็กซี่ ดูมีเสน่ห์ดึงดูดเพศตรงข้าม แน่นอนว่า ตอนนี้กลิ่นน้ำหอมของเตศวรกำลังดึงดูดใจตาหวานอยู่ หล่อนหลับตาแล้วสูดดมกลิ่นกายเขาเข้าปอด หลงลืมความเจ็บไปจนสิ้น

โห...กลิ่นโคตรหอมเลย

เตศวรมองหน้าตาหวานที่ทำหน้าตาเคลิบเคลิ้มแล้วอมยิ้ม อันที่จริงตาหวานก็ไม่ใช่เด็กๆ แม้ว่าจะเป็นหญิงสาวตัวเล็ก หล่อนเป็นสาวเต็มตัวกำลังบรรลุนิติภาวะในอีกไม่กี่วัน รูปร่างจากภายนอกดูมีน้ำมีนวล ไม่ใช่เด็กกะโปโลที่เขาเคยเห็นเมื่อสองสามปีก่อน ใบหน้าเครื่องเคราของหล่อนก็ชวนมอง โดยเฉพาะริมฝีปากที่น่าเอาปากไปประกบจูบ

น่าเอาปากไปประกบจูบ...

เขาคิดแบบนี้กับตาหวานตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ปกติเขาจะเห็นหล่อนเป็นคนที่ไม่รู้จักโต ทว่าตอนนี้กลับมีความคิดว่า หล่อนโตเต็มวัย

เหมือนมีแรงดึงดูดที่ประสานกับความคิดตัวเอง ใบหน้าเขาโน้มไปใกล้ดวงหน้าตาหวาน ใกล้เข้าไปอีกนิด ชิดเข้าไปอีกหน่อย ระยะห่างใบหน้าของทั้งคู่ ห่างกันไม่ถึงคืบ ช่วงขณะนั้นตาหวานลืมตาขึ้นพอดี

ดวงตาตาหวานขยายกว้างด้วยความตกใจ เป็นความตกใจที่ทำให้หล่อนทำอะไรไม่ถูก นั่งนิ่ง หายใจถี่แรงเช่นเดียวกับหัวใจที่เต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ ไม่รู้ว่าจะดึงหน้าหนีหรือจะขยับหน้าเข้าใกล้ดี

อยากเป็นลมเสียให้ได้..

แปร๊น!

เตศวรกับตาหวานตกใจกับเสียงบีบแตรที่ดังลั่นถนน เป็นนายแพทย์หนุ่มที่ดึงตัวเองกลับมานั่งที่เดิม แล้วรีบขับรถทันที ส่วนตาหวานนั่งอมยิ้ม หน้าแดงระเรื่อ ทั้งเขินทั้งอายกับเหตุการณ์เมื่อครู่ ยังแอบเสียดายว่า เสียงแตรรถยนต์คันหลังไม่น่าดังขึ้นเลย ไม่เช่นนั้นป่านนี้หล่อนคงรู้จัก ‘จูบแรก’ ไปแล้ว

เฮ้อ...เสียดายจัง

เตศวรพาตาหวานมาเดินซื้อของในห้างสรรพสินค้าในตัวเมือง ห้างนี้เป็นห้างใหญ่มีสินค้าให้เลือกครบครัน มาที่นี่สามารถหาซื้อของที่ต้องการได้หมด

อาจดูจะพูดเกินจริงไปว่า ตาหวานเคยมาที่นี่สามครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งมาด้วยเหตุผลเดียวคือ เข้าห้องน้ำ ทำธุระส่วนตัวเสร็จก็เดินออกจากห้างเลย ไม่เคยเดินตากแอร์ ดูนั่นดูนี่ ส่วนใหญ่หล่อนหาซื้อของในตลาดมากกว่า การมาเดินห้างครั้งแรกแบบเป็นจริงเป็นจังจึงนำพาความตื่นเต้นมาให้สาวน้อยวัยละอ่อน ที่มองดูสินค้าด้วยความตื่นตาตื่นใจ วิ่งไปเกาะกระจกตามร้านค้าต่างๆ มองดูสินค้าภายในร้าน การกระทำของตาหวานอยู่ในสายตาของนายแพทย์เตศวรที่มองหล่อนอย่างเอ็นดู ไม่รู้สึกรำคาญหรืออายที่ต้องเดินกับหล่อนที่อาจพูดได้ว่า เหมือนบ้านนอกเข้ากรุง

บทก่อนหน้า
บทถัดไป