บทที่ 2 ความหลังฝังใจ (60%)
“นายนั่งรออยู่ในรถสักครู่นะครับ ผมสองคนจะลงไปเคลียร์ทางให้รถวิ่งผ่านไปได้” คาร์ลอสหันมาบอกเจ้านายด้วยท่าทางนอบน้อม แล้วพยักพเยิดให้แก่ฟรานซิส กำลังจะเอื้อมมือไปเปิดประตูรถในฝั่งของตน แต่เลขามาดนิ่งก็ต้องชะงักมือไว้เพียงเท่านั้น เมื่อเสียงทรงอำนาจของมาร์โบโลหลุดออกมาจากปาก ที่เพิ่งคลายจากการเม้มสนิทเพราะความไม่ได้ดั่งใจของเจ้าตัว
“เปลี่ยนไปใช้เส้นทางลัดแทน” เจ้าพ่อหนุ่มบอกลูกน้องด้วยโทนเสียงราบเรียบติดจะดุ นัยน์ตาที่เครียดขรึมอยู่แล้วมาบัดนี้ยิ่งแดงฉานน่าสะพรึงกลัว
สองหนุ่มผู้ต้องคำประกาศิตหันสีหน้าอันสุดแสนกระอักกระอ่วนมาสบสานสายตาซึ่งกันและกันราวกับจะใช้สายตาฟาดฟันประหัตประหารว่าหากใครเพลี่ยงพล้ำ คนนั้นก็จะต้องเป็นฝ่ายทำหน้าที่คัดค้านเจ้านาย ที่สุดฟรานซิสก็พ่ายแพ้ให้แก่หนุ่มมาดนิ่ง เพียงคาร์ลอสใช้สายตาขู่เข็ญแกมบังคับ เขาก็ยอมที่จะเปิดปากห้ามปรามเจ้านายอย่างไม่คิดจะโต้แย้งให้มากความ
“แต่ว่าทางนั้นมันมืดนะครับ อีกอย่างถนนก็ไม่ดีด้วย”
ใช่ว่าจะใช้เส้นทางที่เจ้านายกำลังกล่าวถึงสัญจรไม่ได้ แต่ฟรานซิสไม่อยากใช้มันในเวลาฝนฟ้าคะนองเช่นนี้ เพราะขนาดในเวลาปกติหากไม่รีบจัดจนเกินไปก็จะหลีกเลี่ยงการใช้เส้นทางนั้น ผิวถนนขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อไม่พอ ไฟถนนยังเสียตั้งหลายหลอด หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็เพิกเฉย ไม่คิดจะมาปรับปรุงซ่อมแซม ปล่อยปละละเลยจนเส้นทางนี้ร้างรถยนต์สัญจรไปมาในที่สุด
“ถึงแม้จะวิ่งฝ่าความมืด แกก็ต้องพาฉันไปให้ถึงบ้านภายในครึ่งชั่วโมงให้ได้ เข้าใจไหม!” เสียงกร้าวกระด้างออกคำสั่งประกาศิตบ่งบอกว่าทั้งสองหนุ่มหมดสิทธิ์โต้แย้ง ซึ่งมันเป็นการเอาแต่ใจอย่างร้ายกาจ
“ครับนาย” สุดท้ายสองเสียงที่ร่วมแรงแข็งขันก็ไม่สามารถคะคานหนึ่งเสียงหัวเดียวกระเทียมลีบ ทว่าเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจได้
สารถีหนุ่มยอมที่จะหักพวงมาลัยย้อนกลับมาทางเดิมประมาณสองร้อยเมตร ก่อนจะนำพารถยนต์คันหรูวิ่งเข้าสู่ถนนวิบากที่โรยตัวไปด้วยความมืดมิดของราตรีกาลอันไร้ซึ่งแสงดาวส่องสว่างนำทาง เพราะมีกลุ่มเมฆทะมึนเคลื่อนตัวมาบดบัง ท้องฟ้าจึงปิดสนิท จากเปิดไฟต่ำเมื่อขับขี่รถยนต์ตามปกติมาตบไฟสูงเพื่อให้มองเห็นพื้นผิวถนนที่อยู่เบื้องหน้าได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น เป็นการลดอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้น จะเรียกว่ากันไว้ดีกว่าแก้ก็คงจะไม่ผิดสักเท่าไหร่ เพราะไม่มีใครทราบได้ว่าอุบัติเหตุจะมาเยือนเมื่อใด แต่ที่แน่ๆ คืออุบัติเหตุมักจะมาพร้อมกับความประมาทเสมอ
อึดใจต่อมาฟรานซิสก็หักพวงมาลัยมุ่งเข้าสู่ถนนส่วนบุคคลของตระกูลคอฟอร์ด แล้วเร่งความเร็วเพื่อไปให้ถึงที่หมายอย่างที่ใจเจ้านายปรารถนา
“รอพี่ก่อนนะมิเชล พี่กำลังจะถึงบ้านแล้ว” เสียงพึมพำดังลอดออกมาจากปากเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาทว่าเครียดเขม็งราวกับจะฝากสายลมไปบอกคนที่กำลังนอนป่วยอยู่ที่บ้าน มือใหญ่ทั้งสองข้างกุมกระชับเข้าหากันแล้วบีบจนเส้นเลือดปูดโปน
แม้เจ้านายจะเปล่งวาจาออกมาแผ่วเบาไม่ต่างอะไรจากเสียงกระซิบ แต่ฟรานซิสและคาร์ลอสก็ได้ยินชัดเต็มสองรูหู อยากจะเหยียบคันเร่งให้มิดเข็มไมล์ เอาให้ทันใจผู้เป็นนายที่กำลังร้อนเป็นไฟ แต่ก็ทำอย่างที่ใจปรารถนาไม่ได้ เพราะถ้าหากพลาดพลั้งขึ้นมา ผลเสียย่อมบังเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
หลังจากนั้นสามสิบนาทีไม่ขาดไม่เกิน ฟรานซิสก็สามารถประคับประคองรถยนต์คันหรูมาถึงคฤหาสน์คอฟอร์ดอย่างปลอดภัยครบสามสิบสองกันถ้วนหน้า คฤหาสน์หรูสไตล์โคโลเนียนที่ไม่อาจประเมินค่าตั้งตระหง่านอยู่บนเนื้อที่นับสิบไร่ ท่ามกลางธรรมชาติในเขตชนบทของเมืองคาลมาร์ ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศสวีเดน โดยที่ข้างหน้าจรดทะเลบอลติกข้างหลังติดเนินเขาเขียวขจีลูกย่อมๆ
มาร์โบโลไม่ค่อยได้กลับมาที่บ้านบ่อยนัก เพราะส่วนมากเขาจะใช้ชีวิตอยู่บนเรือสำราญแกรนเพิร์ล ที่ล่องอยู่ในน่านน้ำสีครามของท้องทะเลบอลติก ธุรกิจที่บรรพบุรุษรุ่นแรกๆ ของตระกูลคอฟอร์ดได้บุกเบิกและริเริ่มทำขึ้น แล้วก็ตกทอดมาจนถึงทายาทคนโตผู้มีสายเลือดไวกิ้งอยู่เต็มเปี่ยมอย่างมาร์โบโล คอฟอร์ด อาจจะเป็นเพราะเจ้าพ่อหนุ่มมีเลือดของเชื้อสายไวกิ้งอยู่เต็มเปี่ยมทั่วทุกอณูของเรือนร่างทรงพลัง จึงทำให้เขาเป็นคนดุดันและน่าเกรงขามในสายตาของผู้พบเห็น แล้วไหนจะยังกิตติศัพท์ความเลือดเย็นของเขาอีกล่ะ เพียงแค่ได้สดับรับฟังผู้คนทั้งหลายต่างก็ขยาดกลัวแล้ว
เมื่อรถยนต์คันหรูวิ่งผ่านรั้วอัลลอยด์ทรงสูง ตีโค้งเข้ามาจอดเทียบเชิงบันไดหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ ร่างสูงเด่นเป็นสง่าของเจ้าอาณาจักรคอฟอร์ดก็รีบเปิดประตูแล้วเบี่ยงกายออกมาสู่ภายนอกทันที ไม่แยแสต่อคำทักทายและโค้งคำนับให้ของเหล่าบอดี้การ์ด ขาเพรียวยาววิ่งขึ้นสู่ชั้นสองของตัวคฤหาสน์ มุ่งหน้าไปทางปีกซ้ายซึ่งเป็นที่ตั้งห้องนอนของน้องสาว เสียงฝ่าเท้าหนักๆ หยุดลงเพียงเสี้ยววินาทีก็ตามมาด้วยเสียงเปิดประตูแผ่วเบา ก่อนที่ร่างองอาจจะก้าวผ่านธรณีประตู พาตัวเองเข้ามาภายในห้องนอนที่ตกแต่งด้วยโทนสีฟ้าสดใสอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้ทีมแพทย์จากโรงพยาบาลชั้นนำของสวีเดนกำลังระดมมันสมอง และเครื่องมือแพทย์อันทรงประสิทธิภาพในการยื้อชีวิตของคนไข้สาวอย่างเต็มกำลังความสามารถ
“มิเชล” เสียงเรียกชื่อน้องสาวเบาหวิวจนแทบจับใจความในน้ำคำไม่ได้ ใบหน้าของมาร์โบโลซีดเผือด ดวงตาแดงก่ำ สภาพของน้องสาวที่กำลังนอนหายใจรวยรินทำให้หัวใจดวงแกร่งที่ฝังอยู่ในอกซ้ายของเขาแทบจะขาดรอนๆ หากเป็นไปได้ เขาอยากจะขอถ่ายถอนความเจ็บปวดเหล่านั้นมาแทนแต่เพียงผู้เดียว
“เราคงต้องผ่าตัดเอาเด็กออกครับท่าน” น้ำเสียงและท่าทางนอบน้อมของหมอบอกญาติคนไข้ตามสภาพความเป็นจริง
“ไม่ ผมจะไม่ยอมเสียใครไป หมอต้องช่วยทั้งสองคนให้ได้ เข้าใจไหม!” ดวงตาที่ฉายแววสะเทือนใจแปรเปลี่ยนเป็นคุกรุ่นไปด้วยความไม่ได้ดั่งใจเพียงชั่วพริบตา เสียงกัมปนาทที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากกระด้างของผู้เปรียบเหมือนคนชี้ชะตาชีวิตของทุกคนในที่นี้ สร้างความลำบากใจให้ทีมแพทย์และพยาบาลเหลือคณา ต่างเหงื่อตกไปตามๆ กัน
จากนั้นทีมแพทย์ก็ระดมช่วยชีวิตของมิเชลอีกครั้ง ถึงแม้จะใส่เครื่องช่วยหายใจครอบใบหน้าซีดเผือดจนแทบไม่มีสีเลือด อัตราการเต้นของหัวใจยังดูเหมือนว่าจะแผ่วเบาลงเรื่อยๆ อย่างน่าใจหาย ราวกับว่าเจ้าของร่างผ่ายผอมที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ไม่ปรารถนาจะฝ่าฟันนาทีวิกฤตอันทรมานแสนสาหัสที่กำลังเผชิญอยู่ จนหมอผู้เชี่ยวชาญทั้งสามต่างส่ายหัวให้แก่กัน
“เราคงต้องเอาเด็กออกแล้วล่ะครับ เพราะนี่คงจะเป็นทางเลือกสุดท้ายที่จะช่วยให้เด็กรอดชีวิตได้” หมอหนึ่งในสามกล่าวกับเจ้าของไข้ด้วยสีหน้าลำบากใจ อีกทั้งยังหวาดหวั่นต่อแรงอารมณ์ของผู้อุปการคุณรายสำคัญของทางโรงพยาบาล



















































































































