บทที่ 9 พรหมลิขิตบันดาลชักพา (125%)
คนที่โดนสาวเจ้าตบติดๆ กันถึงสองครั้งสองคราถึงกับยืนอึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนจะได้สติเพราะเสียงแหลมปรี๊ดของใครบางคน
“ว้าย…ตายแล้ว!” เสียงกรีดร้องด้วยความแตกตื่นของสาวสวยนางหนึ่ง ทำให้มัลลิกาและแอรอนตกเป็นจุดสนใจในชั่วพริบตา
“เกิดอะไรขึ้นครับ” ผู้จัดการผับแจ้นมายังจุดเกิดเหตุและถามไถ่เร็วจี๋ เมื่อเห็นว่าคนที่มีปัญหากับเด็กเสิร์ฟหน้าใหม่คือลูกค้าวีไอพีอย่างแอรอน มอร์แกน
“นังเด็กเสิร์ฟคนนี้มันตบคุณแอรอนน่ะสิยะ” ยังไม่ทันที่คู่กรณีจะได้เอ่ยปากตอบว่ากระไร แม่สาวใจกล้าคนเดิมก็โพล่งขึ้นเสียก่อน และไม่วายส่งสายตาเชิญชวนไปให้พ่อหนุ่มเพลย์บอย
“ผมต้องขอโทษคุณแอรอนด้วยนะครับ ที่เด็กของทางร้านแสดงกิริยาไม่สุภาพ” ผู้จัดการผับรีบค้อมหัวและละล่ำละลักขอโทษลูกค้าวีไอพี เพราะเกรงว่าถ้าอีกฝ่ายเกิดไม่พอใจขึ้นมา ผับที่เขาทำงานอยู่คงมีอันต้องปิดตัวลงในวันรุ่งขึ้นเป็นแน่แท้
“ไม่เป็นไรหรอก เราแค่มีเรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อย” กล่าวกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ คำตอบที่หลุดออกมาจากปากเจ้าพ่อหนุ่ม ทำให้ผู้จัดการผับถึงกับลอบผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“มัลลิกา ไปพบฉันที่ห้องทำงานด่วน!” หลังจากเคลียร์กับผู้ทรงอิทธิพลเสร็จ ผู้จัดการผับก็ปรายตามามองหญิงสาวอย่างเครียดเขม็ง แล้วออกคำสั่งเสียงเรียบติดจะดุ
“ค่ะ” รับคำเสร็จร่างสวยสมส่วนก็เดินก้มหน้าตามผู้จัดการผับไป ท่ามกลางสายตาสอดรู้สอดเห็นของนักเที่ยวกลางคืนทั้งหลาย ทิ้งให้พ่อหนุ่มหล่อลากไส้ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยนิ้วมือทั้งห้ายืนยิ้มกริ่ม แอรอนแสนจะพอใจที่ได้รู้ว่าแม่ตัวแสบชื่ออะไร
‘มัลลิกา แม่โป๊งชึ่ง เจอกันคราวหน้าฉันไม่ปล่อยเธอไว้แน่’ นั่นคือความคิดสุดท้ายที่กระเด็นออกมาจากหัวสมองอันฉียบแหลมของพ่อสุดหล่อ ก่อนที่ร่างทระนงองอาจจะก้าวออกไปจากสถานบันเทิงแห่งนั้นด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม ราวกับเมื่อกี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ปริ๊นๆๆ…
เสียงแตรที่ดังออกมาจากรถยนต์คันหรูราคาหลายสิบล้านทำให้คนที่กำลังเดินร้องไห้อยู่ริมฟุตบาทผงกหัวขึ้นมามอง มัลลิกาไม่ได้ล้างหน้าล้างตาออกเช่นทุกวัน ทำให้แอรอนจำได้ว่าเป็นแม่โป๊งชึ่งของเขา แล้วหญิงสาวก็ต้องทำหน้าแปลกใจที่รถคันดังกล่าวเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ ตามหลังเธอมาติดๆ ความหวาดกลัวเริ่มเกาะกินในใจทำให้เจ้าของร่างบางซอยเท้าไปข้างหน้าไม่ลดละ แต่เสียงบีบแตรก็ยังดังไล่หลังอยู่ไม่หยุดหย่อน
“ให้ฉันไปส่งไหม แม่โป๊งชึ่ง” ชายหนุ่มลดกระจกลงแล้วส่งเสียงห้าวตะโกนไปถามไถ่ ไม่ต้องหันมามองเธอก็รู้ว่าเป็นใคร มัลลิกาเดินลิ่วๆ โดยไม่คิดจะเหลียวหลังเพื่อจะไปให้ถึงสถานีรถไฟให้เร็วที่สุด เพราะไม่อยากเสวนากับคนที่ทำให้เธอโดนไล่ออกจากงาน
กิริยาไม่แยแสที่หญิงสาวกำลังแสดงออกทำให้แอรอนทนไม่ได้ จนต้องจอดรถแล้วก้าวขาเพรียวลงมา ก่อนจะกระชากร่างระหงเข้าไว้ในวงแขน
“ฉันบอกว่าฉันจะไปส่ง เธอไม่ได้ยินหรือไง” เสียงกร้าวกระซิบถาม พร้อมล็อกเอวบางไว้แนบลำตัว เมื่อเธอออกอาการพยศโดยการดิ้นรนขัดขืนเขาก็คำรามฮึ่มฮั่ม
“ได้ยิน แต่ฉันไม่อยากให้คุณไปส่ง ได้ยินไหม ไอ้คนบ้า!” เมื่อโดนบีบคั้นมากๆ ก็ทำให้คนที่กำลังอัดอั้นตันใจปล่อยโฮออกมาเสียงดังลั่น
“มัลลิกา…” เห็นหยาดน้ำตาที่รินไหลออกมาจากนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนแอรอนก็ครางแผ่วเบา อยู่ๆ เธอก็ร้องไห้โฮ พลอยให้เขาทำอะไรไม่ถูก
‘ให้ตายสิ เขาเกลียดน้ำตาเธอชะมัด มองแล้วทำไมมันรู้สึกทรมานใจ และร้อนรุ่มราวกับจะทุรนทุรายอย่างนี้นะ’ ชายหนุ่มแอบสบถด้วยความหงุดหงิด
“อย่ามายุ่งกับฉัน จะไปไหนก็ไป” หญิงสาวเค้นเสียงจากลำคอน้อยตวาดลั่น พร้อมทั้งดิ้นรนฟึดฟัดให้หลุดพ้นจากพันธนาการแข็งแกร่ง แต่เมื่อทำไม่ได้อย่างใจคิด เจ้าของร่างบางก็ยืนร้องไห้กระซิกอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรง
“โอ๋ๆๆ ใครทำอะไรเธอ บอกฉันซิ คนดี ฉันจะไปจัดการมันให้” เสียงปลอบประโลมนุ่มละมุนจากคนตัวโตทำให้คนที่กำลังร้องไห้หยุดชะงัก คนที่ไม่เคยปลอบใครลูบแผ่นหลังสะท้านอย่างเก้ๆ กังๆ ก่อนจะกดศีรษะหอมกรุ่นกลิ่นแชมพูมาซบอกอุ่น
“ถ้าฉันบอก คุณจะจัดการกับคนคนนั้นยังไง” ถามทั้งที่ยังสะอึกสะอื้น หูน้อยเงี่ยฟังและภาวนาว่าคำตอบที่ได้รับจะเป็นดั่งที่เธอคาดหวัง
“ฉันจะไปชกมันให้หน้าหงายสักทีดีไหม” แล้วก็เป็นไปตามคาด มัลลิกาแอบพอใจจนอยากจะตะโกนออกมาดังๆ แต่ก็กลัวเสียแผนที่ตนวางไว้
“ดีค่ะ เอาให้มันลงไปนอนหยอดน้ำข้าวต้มเลยนะคะ” ป้ายน้ำตาออกพร้อมพยักหน้ารับ แอบยิ้มมาดร้ายที่มุมปากชมพูระเรื่อ ก่อนที่หญิงสาวจะยกมือขึ้นลูบไล้แก้มสากอย่างอ้อนๆ
“จัดการไอ้วายร้าย ให้ฉันด้วยนะคะ”
“ได้สิ ยาหยี ถ้ามันเป็นความต้องการของเธอ” เสียงหวานๆ ที่เจ้าตัวจงใจเขย่งปลายเท้าขึ้นไปกระซิบข้างกกหู ทำให้เพลย์บอยหนุ่มถึงกับเคลิ้ม แย้มริมฝีปากได้รูปตอบรับคำขอของอีกฝ่ายราวกับถูกสะกดจิต
“แท็กซี่” ร้องเรียกพลางกวักมือไหวๆ เมื่อเห็นว่าเท็กซี่คันดังกล่าวจอดห่างออกไปด้านหน้า มัลลิกาก็ซอยเท้าวิ่งไปหาทันที ตัดสินใจขึ้นแท็กซี่ไปลงตรงสถานีรถไฟหน้า เพราะถ้าอยู่อย่างนี้ เขาต้องรังควานเธอไม่เลิกแน่
“นั่นเธอจะไปไหน เธอยังไม่ได้บอกฉันเลยนะว่าใครทำให้เธอร้องไห้” เสียงห้าวตะโกนไล่หลังพร้อมวิ่งตามมา เจ้าของร่างใหญ่ทันได้ดึงประตูที่หญิงสาวกำลังจะปิดลงพอดี ตั้งใจจะรั้งร่างบางลงมาคุยกันให้รู้เรื่อง แต่เมื่อตาเหลือบไปเห็นสัญญาณไฟจราจรที่เปลี่ยนเป็นสีเขียวก็ต้องถอนหายใจเฮือก
“ถ้าอยากรู้ว่ามันเป็นใคร คุณก็ไปส่องกระจกดูซะ แล้วฝากชกมันให้หน้าหงายด้วยล่ะ” พูดจบก็กระแทกประตูรถใส่หน้าเขาแล้วหัวเราะคิกคัก
“ฮึ่ย…แม่โป๊งชึ่ง เธอกล้าหลอกด่าฉันเหรอ เจอกันคราวหน้าเธอไม่รอดแน่” ยืนคิดอยู่นานถึงได้รู้ว่าคำพูดของเธอมันหมายความว่าอย่างไร ไอ้คนที่เธอบอกให้ไปชกก็คือตัวเขานั่นเอง แม่คุณช่างฉลาดจริงที่สามารถหลอกล่อให้เขาหลงกล ยิ่งเธอท้าทายอย่างนี้เขายิ่งอยากได้มาครอบครอง
“อีกไม่นานเธอจะต้องเป็นของฉัน มัลลิกา แม่หางเครื่อง แม่โป๊งชึ่งของฉัน” ร่างสูงสง่ายืนพึมพำเบาๆ อยู่คนเดียวด้วยรอยยิ้มมาดร้ายบาดลึก ก่อนจะเปิดประตูรถคันโก้มากด้วยสมรรถนะหลายแรงม้า เคลื่อนร่างทรงพลังเข้าไปนั่งประจำตำแหน่งคนขับ แล้วฮัมเพลงกลับไปนอนที่เพนต์เฮาส์อย่างสบายอารมณ์ พรุ่งนี้เขาจะให้ลูกน้องไปสืบประวัติของมัลลิกามาให้ หลังจากนั้นก็จะรีบหาทางทำให้เธอมาเป็นเมียกำมะลอโดยเร็วที่สุดก่อนที่คุณย่าจะมัดมือเขาชก
