บทที่ 4 บทที่ 4
นภัทรเลือกที่จะไม่เอ่ยชื่อของอดีตคนรัก เพราะเขาขยะแขยงพฤติกรรมของเธอเต็มกลืนจนไม่อาจจะเอื้อนเอ่ยชื่อนั้นออกมาได้
“แสดงว่ามึงจะไม่ยอมเลิกราง่ายๆ งั้นเหรอ”
“ถ้าเลิกราง่ายๆ ก็ไม่ใช่กู”
“มึงต้องการอะไร ทำยังไงมึงกับกูถึงจะเลิกแล้วต่อกันวะ”
“เอาของที่มึงรักมาแลกสิ ถ้าถูกใจ กูอาจจะยอมเลิกรา” นภัทรพูดอย่างคนที่ถือไพ่เหนือกว่า ทำให้กวินยิ่งหน้าเครียดมากกว่าเดิม เพราะการต่อกรกับคนอย่างนภัทร ไม่มีทางที่ใครจะเอาชนะได้ง่ายๆ นอกเสียจากนภัทรจะเป็นฝ่ายรามือไปเอง ซึ่งเขารู้ดีว่าคงไม่มีทางแน่ๆ เนื่องจากเรื่องที่เขาทำนั้นถือว่าร้ายแรงมากเกินกว่าจะให้อภัยได้
“หนูไงคะ ของที่พี่ป้องรัก”
เสียงใสๆ ของสาวน้อยที่เพิ่งผลักประตูเข้ามาดังขึ้น ทำให้ชายหนุ่มทั้งสองต่างหันไปยังต้นเสียงพร้อมกัน
“ไผ่!” กวินเรียกชื่อน้องสาวอย่างตกใจ ไม่คิดว่า จู่ๆ กลิ่นจันทร์จะเข้ามาได้ยินเรื่องพวกนี้
“พี่เอาตัวหนูไปได้เลยค่ะ หนูยินดีจะทำทุกอย่างที่พี่ต้องการ ขอแค่พี่ไม่ทำอะไรพี่ป้องกับพี่บีมอีก” กลิ่นจันทร์รวบรวมความกล้าเอ่ยต่อรอง ทั้งที่หวาดหวั่นไม่น้อยเมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้ชายอย่างนภัทร ภาพของชายใจดีที่เคยเอ่ยทักทายเธออย่างเป็นกันเองในวันนั้น ไม่มีหลงเหลือให้เห็นอีกแล้ว ตอนนี้สายตาที่เขาตวัดมองมายังเธอ มันมีประกายมาดร้ายบางอย่างที่ทำเอาเธอเกือบจะลืมหายใจ
“ไผ่ออกไปก่อน เดี๋ยวพี่จัดการเอง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับไผ่” กวินเอ็ดน้องสาวแล้วเอื้อมมือไปดึงมือเล็ก เพื่อจะรีบพาออกจากห้อง ซึ่งท่าทีเช่นนั้นทำให้นภัทรตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ในทันที
“ตกลง”
เสียงที่ห้วนๆ แต่เด็ดขาดและจริงจังนั้น ทำให้กวินชะงักกึก หัวใจร้อนรนขึ้นมาด้วยความเป็นห่วงน้องสาว ในขณะที่กลิ่นจันทร์กลับใจเต้นไม่เป็นส่ำแบบคนกลัวแต่ก็ต้องทำใจดีสู้เสือเข้าไว้
“ไอ้ไนท์เรื่องนี้น้องกูไม่เกี่ยว”
“แต่กูอยากให้เกี่ยว เพราะได้ข่าวว่ามึงรักน้องมากนี่ มึงแย่งของรักของกู มึงก็ควรเอาของที่มึงรักมาแลกคืน ไม่อย่างนั้นมึงจะเดือดร้อนกว่านี้หลายสิบเท่า”
“ยังไงกูก็ไม่ยอม”
“ก็แล้วแต่มึง กูไม่คิดจะบังคับมึงอยู่แล้ว แต่มึงคงรู้นะ ว่ากูไม่เคยให้โอกาสใครเป็นรอบที่สอง”
กวินรู้ดีว่า นั่นไม่ใช่แค่คำขู่ แต่เป็นคำเตือนมากกว่า เขารู้ดีว่าคนอย่างนภัทร ดีก็ดีใจหาย ร้ายก็ร้ายแบบล้างบางยันเงา และที่มันบอกว่าไม่ให้โอกาสใครพร่ำเพรื่อก็เรื่องจริงล้วนๆ การเป็นเพื่อนกันมาเกือบสิบปี ทำให้เขารู้นิสัยของนภัทรดี
“ให้ไผ่ช่วยนะพี่ป้อง ไผ่ไม่เป็นไรหรอก”
เสียงหวานละมุนของน้องสาวแทรกเข้ามาบีบคั้นหัวใจที่กำลังร้อนรนของกวินในทันที เขาทะนุถนอมน้องสาวคนนี้ดุจแก้วตาดวงใจ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิดกับการที่จะหยิบยื่นน้องสาวให้ไปอยู่ในมือของคนที่หัวใจเต็มไปด้วยไฟแค้นอย่างนภัทร
“มันไม่ใช่เรื่องที่เด็กอย่างไผ่จะต้องมาเกี่ยวข้องเลย พี่ขอร้องนะไผ่ อย่าทำแบบนี้”
“ไผ่โตแล้ว ให้ไผ่ได้มีโอกาสตอบแทนพี่ป้องบ้างนะ ที่ผ่านมาพี่ป้องดูแลยาย ดูแลน้า และดูแลไผ่มาตลอด ถึงตอนที่พี่ป้องเดือดร้อน ไผ่ก็ควรต้องช่วยสิ”
“ไผ่ไม่รู้หรอกว่า ไผ่ต้องเจอกับอะไรบ้าง”
“ไม่ว่าไผ่จะเจอกับอะไร ไผ่ก็จะอดทน”
“แต่...”
“กูไม่ฆ่าน้องมึงหรอก ถึงมึงจะเคยเชี่ยกับกู จนกูอยากจะฆ่ามึงก็ตาม” นภัทรแทรกขึ้นอย่างรำคาญและหงุดหงิดกับความอ้อยส้อยของสองพี่น้อง แต่ลึกๆ ก็สะใจเมื่อได้เห็นสีหน้าอันแสนเจ็บปวดของอดีตเพื่อนรักอย่างกวิน
“เรื่องเลวๆ ที่กูทำไม่เกี่ยวกับน้องกู ไผ่เป็นเด็กดี กูขอร้องละไนท์ มึงอย่าทำอะไรรุนแรงกับน้องกูเลย...” เสียงของกวินอ่อนลงคล้ายคนยอมจำนนต่อสถานการณ์
“กูจำเป็นต้องรับปากมึงมั้ย ในเมื่อน้องมึงเสนอตัวเอง แถมยังบอกว่าจะอดทนทุกอย่าง เอาเป็นว่ากูให้เวลามึงกับน้องมึงตกลงกันอีกห้านาที ไปตกลงกันข้างนอก เพราะกูจะทำงาน ได้คำตอบยังไงก็มาบอกกู แล้วก็จำใส่หัวมึงไว้ด้วย ว่านี่ เป็นโอกาสเดียวที่กูจะยังเหลือให้มึง”
กวินไม่ต่อล้อต่อเถียง แต่จับมือน้องน้อยพาเดินออกมานอกห้องอย่างรวดเร็ว ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกัน แค่มองหน้ากันและกัน สายตาของคนเป็นพี่เจ็บปวด น้ำตาคลอเบ้า เมื่อเห็นดวงหน้าอันหวานใสบริสุทธิ์ของน้องสาว มือใหญ่ยกขึ้นลูบแก้มนวลอย่างอ่อนโยน ก่อนจะดึงร่างบางเข้ามากอดไว้แน่นอย่างหวงแหนสุดหัวใจ มันช่างยากยิ่งนักกับการต้องปล่อยให้น้องน้อยไปเผชิญหน้ากับความเลวร้ายที่ตัวเองเป็นคนก่อ แต่ตอนนี้เขาเหมือนหมาจนตรอก เหมือนคนที่ถูกบีบทุกทาง แล้วเขาจะมีสักกี่ทางเลือกให้ต้องเดิน นอกจากปล่อยให้น้องสาวที่เขาเฝ้าทะนุถนอมปกป้องมาตั้งแต่เด็กไปอยู่ในกำมือของคนที่เต็มไปด้วยไฟแค้นอย่างนภัทร
ร่างบางในชุดนักศึกษายืนตัวลีบอยู่หน้าโต๊ะทำงานของเจ้าของห้องตามลำพัง หลังจากพี่ชายกลับไปแล้ว กลิ่นจันทร์สะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะรีบก้มหน้างุด เมื่อร่างสูงเดินอ้อมโต๊ะมาหา แล้วใช้นิ้วเชยคางมนของเธอขึ้นเพื่อให้สบประสานสายตากับเขา ซึ่งนั่นยิ่งทำให้กลิ่นจันทร์ตัวสั่นยิ่งกว่าเดิม
“กลัวเหรอ?” เสียงหล่อทุ้มสมตัวถามอย่างเย็นชา เช่นเดียวกับแววตาที่กำลังมองเธอ
“ค่ะ”
“ถ้ากลัวแล้วจะเสนอตัวทำไม”
“หนูสงสารพี่ป้อง หนูอยากช่วย”
