บทที่ 4 บทที่ ๑ (๓) จบตอน

“ว่าแต่ชื่อพ่อครูอะไรนะ?” อีกฝ่ายกดสายตามองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า แม้ไม่มั่นใจว่าผู้ชายคนนี้จะเป็นมิจฉาชีพมาหลอกลวงเธอหรือเปล่า เพราะท่าทางยังดูหนุ่มแน่นไม่เหมือนพ่อหมอหรือพวกแม่หมอดูดวงชะตาตามที่เห็นได้ทั่วไป

“เรียกว่าพ่อครูคันศรจักดีกว่า” เขาไม่ชอบให้หญิงที่ชังน้ำหน้าเรียกชื่อห้วนๆ คนที่เขาอนุญาตให้เรียกว่า ‘พ่อศร’ มีเพียงวาดรักเท่านั้น

ไม่สิ... ก็หล่อนมีศักดิ์เป็นคุณผู้หญิงแล้ว ความเคยชินเดิมๆ จึงถูกปัดทิ้งไปในความทรงจำในที่สุด

“โอเคค่ะพ่อครูคันศร ฉันคงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องทำตามอย่างเคร่งครัด แต่งานบ้านฉันทำไม่เป็นเลยค่ะ ปกติให้แม่บ้านที่โรงแรมทำ พ่อครูทำเองได้ไหมเจ้าคะ?” เป็นสิ่งที่พ่อครูหนุ่มแทบไม่อยากจะเชื่อว่านังหญิงโสเภณีคนนี้จะหน้าด้านไร้ยางอายขนาดไหน หล่อนไม่มีแม้แต่ความเป็นกุลสตรีอย่างที่หญิงสาวควรจักมี หล่อนอวดดี สีหน้าเชิ่ดรั้นมิคิดจักลงมือทำงานเรือนที่คนเป็นหญิงควรต้องทำ

“ฝึกเอาเสีย... เมื่ออยู่ที่นี่มึงควรปรับตัวตามสมควร” เขากัดฟันกรอดโพล่งออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยด้วยพยายามสะกดอารมณ์ชิงชัง แผนการกำจัดนางหญิงกาลกิณียังต้องดำเนินต่อไป

แพรวพราวถึงกับเบ้หน้า หล่อนไม่ใช่คนหยิบหย่งแต่เพราะว่าไม่เคยได้หยิบจับอะไรพวกนี้มาก่อน เนื่องจากบ้านเธอรวยพอที่จะจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดวันเว้นวันอยู่แล้ว

ถึงไม่ใช่เธอ งานบ้านงานเรือนก็คือสิ่งที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ในยุคปัจจุบันเกลียด การหาเงินสนุกกว่าตั้งเยอะ ในยุคสมัยนี้เราเทียบเท่าผู้ชายอยู่แล้ว

แต่ดูเหมือนหล่อนจะไม่ได้อยู่ในที่ที่ถูกที่ควรนัก จะว่าเป็นชนบทก็ไม่ใช่ เพราะเรือนไทยหลังใหญ่นั้นมีความแปลกประหลาดที่ชวนให้ขนลุก ฝูงอีกามากมายบินว่อน พอๆ กับผ้านุ่งที่เขาใส่ ไม่มีทางที่คนต่างจังหวัดจะใส่ของที่ดูแพงและโบราณเช่นนี้ ก็ลวดลายทรงไทยวิจิตรตระการตา พร้อมกับหัวเข็มขัดเงินโบราณวาววับที่ดูไม่ค่อยได้เห็นใครสวมใส่เครื่องแต่งกายครบองค์แบบนี้นักนอกจากช่วงกระแสแต่งชุดไทยตามรอยละครพีเรียดที่เห่อกันอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ตอนนี้กระแสก็เงียบลงไปมากแล้ว

ตอนนี้เธออยู่ที่ไหนกันแน่?

คลายความสงสัยได้ไม่นานนัก พ่อครูคันศรก็เดินนำหน้าหล่อนเข้าไปภายในตำหนักโดยไม่แม้แต่จักหันกลับมามองว่าแพรวพราวจะเดินตามมาหรือไม่ สิ่งแรกที่เห็นเมื่อบานประตูที่เธอได้ยินเสียงบริกรรมคาถาแว่วมานั้นเปิดออกชวนตกตะลึงปนขนลุก มันคือหิ้งหมู่บูชา ไม่ว่าจะเป็นของขลัง หัวโขนหน้าตาน่ากลัว รวมถึงเศียรฤาษีที่ไม่คุ้นตา ยอมรับก็ได้ว่าเธอไม่มีความรู้เรื่องการเล่นของมาก่อนเพราะชีวิตที่มีอยู่ดีเกินกว่าที่จะไปทำของใส่ใคร

เธอไม่มีปมด้อยที่จะคิดร้ายกับใคร แต่ก็ไม่ใช่คนดีพอที่จะแยแสคนที่คิดร้ายกับตัวเอง เธอไม่ใช่คนใจดีและแน่นอนว่าคนพวกนั้นจะโดนฟ้องจนหมดเนื้อหมดตัวโดยที่แพรวพราวใช้เงินเพียงก้อนเดียวเท่านั้น

ชีวิตดีๆ แบบนี้ถ้าเสียมันไปคงอยากจะร้องไห้หนักๆ

เธอสู้ทนใช้ชีวิตลำบากตรากตรำไม่ได้หรอก

ยิ่งเป็นเมียคนๆ นี้ในสถานที่เช่นนี้น่ะหรือ ลืมไปได้เลย การอาบน้ำต่างขันไม่ใช่วิถีทางของเธอ อย่างเธอมันต้องชาวเวอร์ ไม่ก็แช่ร่างกายในอ่างน้ำนมเท่านั้น

“นั่งลงตรงนั้นเสีย” พ่อครูคันศรชี้ไปทางพื้นเรือนกระด้าง สีหน้าของแพรวพราวยิ่งยากจะอธิบาย แต่ก็จำใจหย่อนก้นลงนั่งแต่โดยดี

“ไม่มีพรมปูรองเหรอคะ?” แต่เธอมันมากเรื่องนัก นั่งลงแบบนี้ปวดเมื่อยตัวจะแย่ ขยาดพื้นเย็นๆ แล้ว

“กูจักนั่งทางในว่าเกิดกระไรขึ้น ถ้าวิปลาสจักบอกว่าวิปลาส แต่ถ้ามีข้อแม้นอกเหนือจากนั้น... จักแจ้งให้ประจักษ์ตามตรง” หากแต่อีกฝ่ายเมินข้อโต้แย้งอันไร้สาระนั่น พร้อมกับนั่งลงขัดสมาธิบนตั่งไม้ราวกับตัดรำคาญ

“เจ้าค่ะ”

พลันนั้นลมจากภายนอกก็พัดโบกเข้ามาจนรู้สึกหนาวเหน็บจับใจ กลิ่นคาวคลุ้งเหม็นเน่ามาพร้อมกับเสียงหวีดของลมท่ามกลางป่ากล้วยรกชัฏอย่างน่าสยดสยอง พ่อครูตรงหน้าบริกรรมคาถาปากก็พึมพำขมมุกขมัว ดวงตาของแพรวพราวมองไม่เห็นว่าร่างเน่าเฟะที่ลำตัวยาวประมาณสามเมตรกำลังจ้องมองร่างของเธอ น้ำลายของร่างอันสยดสยองนั้นเจือน้ำเลือดน้ำหนองหยดลงพื้นเรือนเป็นหย่อมๆ ลำคอที่ยาวคดเคี้ยว ทั้งตัวเป็นสีดำของศพที่เน่าเปื่อยและแห้งกรัง มันค่อยๆ ควักบางสิ่งบางอย่างออกมาจากอกอิ่มของแพรวพราว เธอรู้สึกใจหายวูบวาบจนร่างสะอิดสะเอียนนั้นวางลูกแก้วสีชาดลงบนฝ่ามือหนาของพ่อครูคันศร

ท่านลืมตาขึ้นมา อ่านลูกแก้วดวงจิตดวงนั้น ก่อนที่จักเป่ามันกลับเข้าอกของหญิงตรงหน้าดังเดิม

“วิปลาส จิตของมึงเกิดวิปลาส ชะตาบอกว่าต้องนอนรอความตายในวันข้างหน้า” นั่นคือชะตาที่อ่านได้ในมณีแก้วดวงเล็ก ขวัญของอีแพรวกระเจิดกระเจิงหนีหายไปบางส่วน และในตอนนี้ขวัญที่หายไปต้องเรียกกลับคืนมา มิชะนั้นเจ้าชะตาจักเจ็บป่วย มีเรื่องราวอันตรายแทรกซ้อนมิจบมิสิ้น แต่เมื่อหล่อนมิได้ร้องขอ แลเขาเองก็ต้องการให้หญิงผู้นี้ได้รับรู้รสชาติของการที่ยิ่งกว่าขวัญกระเจิง พ่อครูคันศรจึงซ่อนรอยยิ้มพรายไว้ใต้ความมืดยามค่ำที่มีเพียงแสงจันทร์โอบล้อมเสี้ยวดวงหน้า

“จริงเหรอคะ!” อีกฝ่ายแตกตื่น ว่าแต่เขาได้ดูให้ใครกัน? “แต่หน้าฉันเปลี่ยนไป เนี่ย! เสียงก็เปลี่ยน ปกติเสียงฉันจะนุ่มหวานชวนฟังไม่ใช่เสียงแหลมเล็กแบบนี้”

“กูมิรับรู้ ตามที่ว่าไว้ว่าวิปลาส ตัวมึงหาใช่ตัวมึงไม่ ทำความเข้าใจกับสถานที่ที่อยู่ให้ได้ มึงจักยังมิสามารถเรียกขวัญที่หนีกระเจิงกลับมาได้ เพราะมีเงื่อนไขกับกูว่าจักปรนนิบัติรับใช้อยู่ที่นี่”

จะบอกหล่อนกลายๆ ว่าไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆ สินะ

“แล้วที่นี่ที่ไหนล่ะเจ้าคะ อย่างน้อยถ้าอยากให้ฉันรู้ว่าอยู่ที่ไหน พ่อหมอก็ควรบอกฉันก่อนสิ”

“ตำหนักทรงของกู นี่จำมิได้แม้แต่สถานที่ที่ก้าวเดินมาเองเลยรึ?”

ตำหนักทรงอะไร โบราณมากแถมยังตั้งกลางป่ารกๆ อีกต่างหาก

เผลอๆ หมอนี่น่ะอาจจะไม่มีวิชาอาคมอะไรหรอก น่าจะเป็นแค่พวกต้มตุ๋นลักพาตัวหล่อนมาเรียกค่าไถ่มากกว่า

อาจจะลักพาตัวมาหลังจากที่พักรักษาตัวจากการตกสลิงจนรูปร่างหน้าตามีบาดแผลจนผิดรูปก็ได้ (แพรวพราวเริ่มคิดไปเอง) เสียดายที่หมอศัลยกรรมให้หน้าออกแขกเกินไปหน่อย เธอไม่ชอบหน้าตาแนวนี้สักเท่าไหร่

หรือไม่... เธอก็อาจจะตายไปแล้วจริงๆ จากการตกสลิงครั้งนั้น และนี่ก็คือความฝันในโลกหลังความตาย และชายผู้นี้ก็คงเป็นเจ้ายมโลก

เอาเป็นว่าจะหาทางเอาตัวรอดให้ได้ก่อนก็แล้วกัน

ชาติก่อนเธอเองก็มีข่าวฉาวเรื่องราวแย่งผัวเขาไว้เยอะ กลัวจะได้ปีนต้นงิ้วเอา

แต่งานบ้านงานเรือนที่เขาให้หล่อนทำ มันดันหนักหนากว่าที่คิด

ใครจะคิดว่าผู้หญิงคนเดียวต้องมานั่งทำความสะอาดเรือนไทยใหญ่ทั้งหลัง แถมบ้านหลังนี้ไม่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอะไรทั้งสิ้น แน่นอนว่าการถูพื้นบ้านที่ฝุ่นจับใบไม้ตกทั้งวันนั้น... ใช้แต่สองมือสองตีนเท่านั้น!

ผ้าขี้ริ้วถูกชุบกับน้ำบิดหมาดอย่างหัวเสีย สภาพของแพรวพราวนั้นไม่เหลือเค้าโครงความเป็นมาดดาราสาวหลงเหลืออยู่เลยสักนิด ผมยาวถึงเอวถูกเกล้าหลวมๆ แล้วปักกิ่งไม้แห้งไว้ (เนื่องจากที่นี่ไม่มีปิ่นปักผมหรือแม้แต่ยางมัดด้วยซ้ำ!) หล่อนจึงต้องใช้สกิลมวยผมมั่วๆ เอาเอง ซึ่งก็รุงรังสิ้นดีเพราะชีวิตที่เป็นดาวร้ายตัวท็อปนั้นมีสไตล์ลิสต์มาแต่งหน้าทำผมให้ตลอด เรียกได้ว่าทำอะไรไม่เป็นนอกจากโยนเงินจ้างอย่างเดียว

แต่ ณ ตอนนี้ เงินที่ติดกระเป๋าไม่มีสักบาท ชาแนลสุดหรูกับเงินฟ่อนและบัตรเครดิตก็หายไป!

สภาพหล่อนที่นุ่งแค่ผ้ารัดอกเปิดเปลือยหน้าท้องแบนราบกับผ้าถุงลายโบราณๆ นั่งยองๆ พลางบิดผ้าขี้ริ้วข้างถังไม้นี่ คงไม่ดีนักถ้านักข่าวมาตามเจอแล้วถ่ายภาพนี้เอาไว้

จะแค้นไอ้พ่อหมอนั่น ก็เหลือจะแค้น ยังไม่รู้แน่ชัดว่าเขาเป็นใคร เพราะดูลึกลับเหลือเกิน แถมตั้งแต่วันนั้นก็ใช้งานเธอเยี่ยงทาส

แต่ดูมีคนแวะเวียนมาตำหนักทรงที่นี่และหายไปในห้องหมู่บูชาน่ากลัวๆ นั่นอยู่ เขาอาจจะเป็นผู้มีวิชาจริงๆ ก็ได้

แต่เท่าที่เคยแอบฟังอยู่ข้างหลังบานประตู คนเหล่านั้นพูดจาแปลกๆ

ไม่ใช่พูดจาภาษาปากแบบคนชนบทคอกนา แต่มันดู... โบร่ำโบราณกว่านั้น

บางคำก็ฟังไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่

ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่ใช่ที่ที่เธอสมควรมาอยู่ มันดูเก่าแก่ โบราณ แถมยัง... ให้อารมณ์เหมือนเธอถูกย้อนเวลามาที่ยุคไทยสมัยก่อนซะจริง

แต่เรื่องอัศจรรย์ยิ่งกว่าตายแล้วไปยมโลกเนี่ย มันจะมีจริงๆ เหรอ?

บทก่อนหน้า
บทถัดไป