บทที่ 5 บทที่ ๒ (๑)
แพรวพราวค่อยๆ วางผ้าดึงให้ตึงแล้วถูไปตามพื้นเรือน นี่คือวันที่สามที่หล่อนอยู่ที่นี่ แน่นอนว่าต้องปรับตัวอย่างแรงกล้า เพราะวันๆ ต้องคลุกอยู่กับการทำงานบ้านงานเรือน แถมข้าวที่ได้กินก็เป็นเพียงห่อข้าวใบตองกับปลาย่างตัวเล็กๆ และน้ำพริกแห้ง บางอย่างที่คนรวยไม่ติดดินอย่างเธอไม่รู้จัก ห่อข้าวนิดเดียวพอทน (เพราะเธอชอบไดเอต) แต่น้ำพริกอะไรไม่รู้โคตรเผ็ด แต่พอจิ้มกินกับปลาย่างก็อร่อยดี แต่ผักที่แกล้มมาเป็นไปได้เธอจะเอาไปให้สุนัขที่พ่อครูคันศรเลี้ยงไว้กินแทน
สุนัขตัวนั้นเป็นสุนัขจรจัด เป็นหมาพันธุ์ไทยหลังอานตัวสีดำสนิท หน้าตาดูดุแถมยังตัวใหญ่ แต่เพราะแพรวพราวเป็นทาสหมามาก่อน เธอเคยเลี้ยงสุนัขจรจัดอยู่ตัวหนึ่ง มันเป็นเรื่องบังเอิญจากความใจบุญของพ่อ แต่ถ้าให้เล่าคงยาว ตอนนี้ก็คิดถึงเหมือนกันแต่กลับไปไม่ได้แล้ว แต่ผักน่ะให้กินเพราะไม่อยากกินด้วยล่ะนะ แต่มันก็ยอมกินให้อย่างเอร็ดอร่อย
ว่านอนสอนง่าย น่ารัก กินง่ายอยู่เป็น ชอบมาอ้อนขอผักขอข้าวจากหล่อนได้สองวันแล้ว
ไม่รู้ว่าพ่อหมอนั่นตั้งชื่อมันว่าอะไรเพราะวันๆ หน้าเธอเขาแทบไม่อยากจะมอง ก็เลยตั้งชื่อให้มันว่า ‘โรเบิร์ต’ แทน
ก็ถ้าทานอะไรเหลือ ดูอีกฝ่ายจะหน้าบึ้งบูด เขาดูรำคาญหล่อนทุกวินาที ถึงจะไม่แสดงออกมาตรงๆ
เวียนกลับมาที่ปัจจุบัน
สาวเจ้าโก่งโค้งถูพื้นด้วยความยากลำบาก เพราะไม่เคยทำงานอะไรพวกนี้ตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว สักพักเอวก็เคล็ดจนต้องลุกขึ้นยืนร้องโอดโอย เธอออกกำลังกายและเล่นโยคะเป็นประจำเนื่องจากพอเป็นดาราก็ต้องควบคุมสรีระ แถมยังต้องคุมอาหารเพื่อให้หุ่นสวยตลอดเวลา แต่บางทีถ้าทำงานหนักไม่มีเวลาจนหุ่นที่เซ็ตมาพัง ก็ต้องพึ่งทางลัดบ้างอะไรบ้าง (อย่างเช่นฉีดแฟต)
แต่ต้องยอมรับว่าการออกกำลังกายกับเทรนเนอร์แล้ว การทำงานบ้านเป็นอะไรที่หนักหนาสาหัสกว่ามาก เรียกได้ว่าออกกำลังกายมันเฉพาะส่วน แต่พอทำงานบ้านเหมือนได้ออกทุกส่วน
ถูพื้นเรือนไปจนหมดหนึ่งห้องก็แทบหอบ หล่อนจึงมานั่งพักอยู่หลังกระไดเรือนติดกับป่ากล้วย พอเป็นตอนกลางวันก็ดูน่ากลัวน้อยลงหน่อย จึงวักน้ำจากตุ่มมาล้างหน้าล้างตาที่ชื้นเหงื่อ
แต่ยังพักไม่ทันไร ก็ปรากฏร่างสูงใหญ่ในชุดไทยโบราณที่ยืนอยู่บนกระไดเรือน สาวเจ้าสะดุ้งโหยงนึกว่าผี ไม่ชินกับบรรยากาศไทยๆ จนบางครั้งก็ตกใจที่เขาปรากฏตัวเงียบๆ แบบไม่บอกไม่กล่าว
“ถูเรือนเสร็จแล้วหรือ?” เขาไขว้หลังหน้าตึงกวาดสายตามองหล่อนตั้งแต่หัวจรดเท้า “ในห้องบูชาอย่าได้ยุ่มย่ามเป็นอันขาด กูจักดูแลของกูเอง ในนั้นมีพ่อแก่ ฤาษี มิควรชิดของต่ำ”
“...”
“อ้อ...” เมื่อเห็นว่าหญิงสาวนิ่งชะงักไป เขาเลยฉีกยิ้ม “หมายถึงผ้าขี้ริ้วน่ะ ที่กูว่าเป็นของต่ำ”
“จ้ะ” หล่อนรับคำ แอบฉุนหน่อยๆ เพราะรู้สึกเหมือนโดนเหน็บทางอ้อม แต่ก็ช่างมัน เธอเป็นคนสวยจิตใจงามที่ไม่ถือสาปากหมาๆ ของใครสักคนอยู่แล้ว เพราะมั่นใจในตัวเองมากพอว่าไม่ได้เป็นอย่างที่คนพวกนั้นพูด หล่อนคือของสูงที่สูงจนเรียกได้ว่าหนาว! “เสร็จไปห้องหนึ่งเจ้าค่ะ มีอะไรอีกไหมคะ?”
“โอ่งมังกรที่มึงวักล้างหน้าอยู่นั้น ใกล้เหือดเต็มทีแล้วเห็นหรือไม่”
“คะ?” แพรวพราวรู้สึกเหมือนตัวเองหูฝาด เขาพูดเหมือนกำลังจะใช้ให้หล่อนไป...
“หาบน้ำมาเติมให้เต็มโอ่งเสีย”
ไม่อยากจะเชื่อว่าพ่อหมอหน้าหล่อคนนั้นจะกล้าใช้ดาราดังอย่างเธอไปแบกตุ่มน้ำ ที่เป็นเพียงคานหาบถังไม้เล็กๆ ที่ดูเหมือนวนรอบเดียวยังไม่ถึงครึ่งโอ่งด้วยซ้ำ อีแบบนี้มันแกล้งกันชัดๆ หล่อนขัดเคืองใจเหลือเกิน อยากจะจับหัวเขามาเขย่าๆ ให้หลุดมาทั้งหัวว่าคิดบ้าอะไรอยู่ แต่เพราะตอนนี้ตัวเองถือเบี้ยต่ำกว่า เลยทำได้เพียงแค่กัดฟันกรอดเดินหาบถังไม้ไปตามทางลาดดิน ฝ่าป่าดงกล้วยไปอย่างไม่กลัวตาย
“แถวนี้เป็นป่ากล้วยขนาดใหญ่ เมื่อพ้นจากป่าไปจักมีหมู่บ้านเล็กๆ เมื่อข้ามหมู่บ้านเล็กๆ ไปจักเป็นท่าน้ำใหญ่”
คิดถึงการบอกทางที่เป็นรูปประโยคกว้างๆ ที่หาสาระสำคัญอะไรไม่ได้ของหมอผีหน้าหล่อคนนั้นแล้วก็ได้แต่เจ็บใจ ถ้าที่นี่เป็นยมโลกและเธอก็เป็นวิญญาณแล้วจริงๆ บุญที่สร้างมาควรทำให้แพรวพราวสามารถเหาะเหินลอยอยู่บนอากาศได้บ้างสิ (ก่อนตายเธอเคยร่วมเงินสร้างโอบสถ วิหารเจดีห์หลักหลายล้าน) เหมือนวิญญาณตามปกติน่ะ แต่ทำไมคราวนี้เหมือนหล่อนจำต้องเดิน เดินและเดินไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดหมาย ต้นกล้วยก็ใหญ่โตบดบังทางไปจนหมด เสียงนกอีการ้องแสกหน้าดังอยู่เป็นระยะๆ ทั้งที่ในพื้นที่แห่งนี้ไม่ควรมีสัตว์จำพวกนี้อยู่ด้วยซ้ำ แถมแสงตะวันส่องลงมาเสียดแทงก็สว่างโร่จนแสบตา
หล่อนไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องเชื่อฟังเขาด้วย เพราะไม่มีทางเลือกก็คงใช่ แต่แบบนี้มันไม่ใช่สถานะที่เคยเป็นอยู่เลยสักนิด
คอยดูเถอะถ้ารอดไปได้แม่จะเล่นให้ไม่มีที่ยืนเลยคอยดู
ไม่ว่าจะโหนกระแสหรือรายการแฉ หรือแม้แต่ข่าวใส่ไข่ เธอจะไปออกรายการเหล่านั้นแล้วทำลายชีวิตเขาด้วยพลังโซเชี่ยลให้พังทลายแบบย่อยยับไม่มีชิ้นดี (ถ้าสมมุติว่าตอนนี้เธอยังมีชีวิตอยู่จริงๆ) ให้มันรู้ไปว่าแฟนคลับของเธอพอรวมตัวแล้วช่างมีพลังแกร่งกล้าแค่ไหน
เดินฮึดฮัดนึกขบฟันหาวิธีแก้แค้นพ่อครูคันศรอยู่สารพัดวิธี แต่ไม่ทันไรก็รู้สึกเหมือนตัวเองจะเวียนกลับมาที่ต้นกล้วยสูงๆ ต้นเดิม ต้นที่ผลกล้วยสุกเต็มต้นนั่นแหละ เธอเดินผ่านต้นกล้วยต้นนี้มาสองครั้งแล้ว
“นี่หลงป่ากล้วยเหรอเนี่ย?” หญิงสาวแทบกุมขมับ แต่สมัยออกกองถ่ายละครก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีงานที่สมบุกสมบันบ้าง เธอปอกเปลือกกล้วยเครือหนึ่งไว้ให้ลอกทั้งหมดเพื่อเป็นจุดสังเกตง่ายๆ แล้วตัดสินใจเดินต่อไป
และแล้วก็เป็นต้นเดิม เครือที่ปอกเปลือกกล้วยออกด้วยฝีมือหล่อนนั่นเอง แพรวพราวมองซ้ายมองขวาหาเส้นทางใหม่ เธอไม่มีเข็มทิศจึงไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองเดินไปถึงส่วนไหนของป่า และป่ากล้วยมันลึกแค่ไหน
แต่ดูจากสายตาตอนอยู่ที่เรือนไทยนั่น ก็ลึกอยู่พอประมาณ
แล้วแบบนี้จะไปต่อทางไหนดีล่ะ!
ตัดภาพมาที่เรือนไทยใหญ่ ในขณะเดียวกันพ่อครูคันศรก็กำลังนั่งทางในและรู้ได้ว่าอีกฝ่ายที่ออกเพทุบายให้เข้าไปหาบน้ำในป่ากำลังหลงอยูในป่ากล้วยรกชัฎ ดวงหน้าชายหนุ่มปรากฏรอยยิ้มเหยียดหยามอย่างรุนแรงที่สุด
“หญิงโง่ แถมยังวิปลาส กูปลูกป่าด้วยคาถาลวงตาเช่นนี้ มึงมิมีทางหลุดรอดไปจากป่านี้ รวมถึงหลุดไปเป็นเมียพระยาสิงห์แน่”
เท่านี้อีแพรวก็จะไม่สามารถทำร้ายคุณหญิงวาดรักได้อีกต่อไป
“ผีกะ จงไปเอาชีวิตนางกลางป่าเสีย” เขาเรียกภูตผีบริวารของตนออกมาจากหม้อดินลงผ้ายันต์ใบใหญ่เก่าแก่ที่เปื้อนเลือดพร้อมกับลอกผ้ายันต์ออก มวลสารปรากฏเป็นผีกะตายโหงตนหนึ่ง ดวงหน้าสะอิดสะเอียนผิดรูปมิต่างจากศพคนเดินดินค่อยๆ จางหายไป ดวงหน้าคมคายจึงกรีดยิ้มชั่ว
“มึงมีรอดดอก กูจักกำจัดมึงให้สิ้น!”
ในขณะที่อีกฝั่ง แพรวพราวกำลังประสบวิกฤตครั้งใหญ่
เธอเดินมาที่ต้นกล้วยที่ผลสุกเต็มต้นต้นเดิมอีกครั้ง และครั้งนี้เป็นครั้งที่ห้าได้แล้ว ตะวันเริ่มคล้อยลงต่ำ ฟ้าเริ่มฝ้าฟางกลายเป็นสีส้มกล่ำ เหงื่อกาฬของหล่อนค่อยๆ ไหลลงตามขมับจนมาถึงคาง
แพรวพราวกัดฟันทนไม่ยอมร้องไห้ออกมาทั้งที่อยากร้องเต็มเหนี่ยว เธอไม่มีรองเท้า เมื่อเดินบนดินร้อนๆ เป็นเวลานาน ฝ่าเท้าจึงเริ่มแสบและเป็นแผล หญิงสาวสวยยืนแหงนหน้ามองฟ้าที่ค่อยๆ กลายเป็นสีแดง ก่อนที่จะเริ่มพ่นลมหายใจ
“ถ้าฉันตายจริงๆ ก็ดี...”
“แม่หญิง แม่หญิงคนนั้นน่ะ!”
แต่ก็ต้องผวาเฮือกเมื่อทันทีที่ฟ้าตกสีชาด ก็บังเกิดเสียงชายผู้หนึ่งดังขึ้นกลางป่า ทั้งที่เสียงดังมากแท้ๆ แต่กลับไม่เห็นหน้าหรือเห็นตัว
“คะ... ใคร!” หญิงสาวลืมตัวเผลอตอบรับพลางชะงักงันรีบเอามือปิดปาก หรือนี่จะเป็นสิ่งที่เขาเรียกกันว่าลมเพลมพัด? แบบนี้เธอขานรับไปแล้วจะเป็นอะไรไหม เพราะมันไม่เห็นมีคนเดินมาทางนี้เลยนอกจากน้ำเสียงทุ้มพร่าที่โผล่ขึ้นกลางป่าที่ฟ้าเริ่มกำลังจะมืด เวลานี้เขาเรียกเวลาโพล้เพล้สินะ
“แม่หญิง แม่หญิงที่ขานรับข้า ได้โปรดเดินมาทางขวาขอรับ!”
เสียงนั้นใกล้ขึ้นอีก เป็นเสียงทุ้มต่ำแหบห้าวแต่ให้ความรู้สึกหลอนแปลกๆ เพราะรอบตัวเธอมีแต่พงกล้วย สีหน้าของเจ้าหล่อนซีดเผือด ไม่ว่ายังไงก็ไม่กล้าเดินไปตามที่เสียงนั้นบอกแน่ จึงส่ายหน้าหวือกับตัวเองโดยไม่ส่งเสียงออกมา
“...”
“แม่หญิง เชื่อใจกันเถิด ข้ามาช่วยท่าน”
“ละ... หลอกกันชัดๆ เป็นผีใช่ไหมล่ะ!” สุดท้ายก็อดไม่ได้เผลอตอบกลับไป
“ผีเผอกระไร ข้านี่แหละคนเป็นๆ” เสียงที่ลอยมาตามลมเจือเสียงกลั้วหัวเราะเย็นๆ
“แล้วทำไมไม่ออกมาให้เห็นตัวล่ะ!” คราวนี้เธอหลับตาถามไปตรงๆ เสียงนั้นจึงเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนที่ดงกล้วยจะเริ่มสั่นสะเทือนเหมือนมีสิ่งที่มีขนาดใหญ่โตมากๆ กำลังก้าวตรงมาทางนี้ แพรวพราวแตกตื่น เธอเริ่มพนมมือสวดมนต์ทุกคาถาเท่าที่นึกออก
แม่! ขอโทษที่ไม่เชื่อฟังแม่ ขอโทษที่ใช้เงินพ่อสุรุ่ยสุร่าย แต่ก็โอนคืนแล้วนะ
พ่อแก้วแม่แก้วช่วยลูกด้วย!
แซ่ก!
“กรี๊ด!” เสียงกรีดร้องมาก่อนใคร เมื่อภาพตรงหน้าคือคชสารตัวใหญ่ที่ชูงวงแผ่หูกว้างเท่าใบลานใส่หล่อน หญิงสาวล้มก้นจ้ำเบ้าจนถังไม้และคานหาบหล่นลงระเนระนาด ยังไม่ได้น้ำสักหยดแถมยังต้องมาโดนช้างทับตายอีก ชีวิตเธอมันอนาถอะไรแบบนี้ ตายซ้ำตายซ้อนไม่หยุดหย่อน ตกสลิงตายแล้วยังหลงป่ามาโดนช้างเหยียบตายอีก
แต่ทว่า
“กานพลู สงบลงเสีย เจอหญิงสาวสวยเป็นมิได้เลยนะ!” เสียงที่โพล่งออกมากลับเป็นเสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนหลังคชสารตัวนั้นและกำลังพูดกับช้าง! รูปร่างของเขามันคือมนุษย์ดีๆ นี่เอง (แถมหล่อด้วย) แต่ด้วยความที่ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนกันแน่ สาวเจ้าเลยกระถดตัวถอยหนี
ก็นี่มันคนแปลกหน้า ถึงร่างใหม่จะหน้าคมผสมแขกแต่ก็สวยอยู่ อาจจะถูกลวงจับไปทำมิดีมิร้ายก็ได้
“อย่าเข้ามานะ!”
“กระไรกัน คนเขาอุตส่าห์มาช่วยแท้ๆ”
“นายเป็นผีใช่ไหม!”
“เฮ้อ แม่หญิง” เมื่อเห็นว่าหญิงสาวยังดื้อแพ่งเชื่อในความคิดตัวเองว่าเขาเป็นผีอยู่ ชายหนุ่มจึงใช้หลังส้นเท้ากระแทกลำตัวคชสารของตนให้หมอบลง เพื่อที่จะกระโดดลงจากหลังช้างตรงมาหาแม่คนสวยที่นั่งก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น “ลองจับข้าดูไหมล่ะ”
“... ฮะ?”
“ลองจับข้าดูไหม เผื่อจักได้เชื่อกันได้ว่าข้าก็คือคนกันเองนี่แล” ดวงหน้าคมกร้าวยิ้ม เขายื่นดวงหน้าหล่อเหลาออกไทยแท้มาตรงหน้าหล่อน แพรวพราวรู้สึกว่าเขางานดี อารมณ์บ็อคซิ่งบอย เลยเอามือไปแตะที่แก้มสากของอีกฝ่าย
มัน... อุ่นมาก
“คนนี่นา”
“ก็ใช่น่ะสิ ข้าน่ะคน คนจริงๆ”
“ก็อยู่ดีๆ ขี่ช้างตัวใหญ่ขนาดนั้นมา ใครจะไม่ตกใจล่ะคะ” คราวนี้เลยใช้จริตหวานทัดปอยผมทำทีสุภาพ ก็ชายตรงหน้าเป็นคน แถมยังหล่อถูกใจขนาดนั้น งานนี้ต้องพึ่งพาความสวยของตัวเองหน่อยแล้วล่ะ อย่างน้อยอีกฝ่ายน่าจะใช้งานได้ ถ้าใช้มารยาหญิงสักหน่อย “อุ้ย เจ็บจัง”
“แม่หญิงเป็นกระไร? เจ็บขาหรือ” เมื่อเห็นว่าสาวสวยที่ทำท่าจะลุกขึ้นยืนดันเสียหลักล้มลงไปกุมข้อเท้าเล็กของตนเอง ผู้ชายตรงหน้าก็มีสีหน้าที่ดูเป็นห่วงอย่างชัดเจน “เจ็บหรือไม่ ให้ข้าอุ้มดีไหม”
“... อื้อ” อื้อแบบมีจริต จริงๆ ก็คือเจ็บนิดหน่อย นอกนั้นก็คืออยากเช็คเรตติ้งล้วนๆ (ภาษาชาวบ้านเรียกว่าอ่อยนั่นเอง)
สิ้นประโยคตอบรับ ชายผู้ได้รับอนุญาตให้แตะเนื้อต้องตัวสาวจึงค่อยๆ โน้มตัวยกร่างกายเล็กๆ อรชรนั้นขึ้นอุ้มแนบอก เขาเป็นคนตัวใหญ่ ผิวกล่ำแดด และกล้ามแน่นปึก ดวงหน้าแพรวพราวซบลงกับแผ่นอกแข็งแรง จนชายหนุ่มเผลอลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่เมื่อทรวงอกอิ่มล้นออกมาจากผ้านุ่งอก
“จะว่าไป” เมื่อเขายกหล่อนขึ้นหลังช้าง พร้อมกับยกตัวขึ้นตาม หญิงสาวจึงโพล่งขึ้นมา ด้วยความเคยชินเพราะหล่อนเคยเที่ยวที่แม่ฮ่องสอนขี่ช้างขึ้นดอยบ่อยๆ แถมพื้นเพเป็นคนรักสัตว์อีกด้วย “แถวนี้คงมีหมู่บ้านเล็กๆ ใช่ไหม”
“ใช่ แม่หญิงกำลังเดินทางไปที่หมู่บ้านนั้นหรือ”
“ก็ประมาณนั้น พ่อครูคันศรบอกให้มาฉันก็มาน่ะ เขาจะให้ฉันเอาไอ้เนี่ย ไปหาบน้ำมาเติมให้เต็มโอ่ง” พูดพลางชี้มือไปทางคานหาบและถังไม้เล็กๆ ที่กองอยู่ที่พื้น ชายผู้นั้นตวัดสายตาลงไปมองปราดเดียว เขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“อ้อ ไอ้หมอผีนั่นน่ะรึ มันคงหลอกแม่หญิงเข้าแล้วล่ะ”
“เดี๋ยวนะคะ” ถึงจะคิดไว้แล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะรู้จักกับพ่อหมอนั่น “คุณรู้จักพ่อหมอคันศรอะไรนั่นด้วยเหรอ?”
“ก็เพื่อนเก่าเพื่อนแก่” เขาฉีกยิ้ม สีหน้าคมเข้มนั้นหล่อนเพิ่งสังเกตุว่ามันมีรอยบากที่ข้างขมับเป็นทางยาว “แต่ตอนนี้จักเรียกว่ามิตรสหายก็มิเต็มปากนัก เอาเป็นว่าแม่หญิงขี่เจ้ากานพลูเข้าหมู่บ้านไปกับข้าก่อนเถิด เราเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่พอจักให้ที่พำนักชั่วคืนให้แม่หญิงได้ จักให้กลับตอนนี้เกรงว่าจักมีภัยอันตรายเอา... อย่างเช่นสัตว์ป่า”
“สัตว์ป่า!” เป็นไปได้ไหมว่าพ่อหมอนั่นจะเลี้ยงสัตว์ดุร้ายเอาไว้ในป่ากล้วย?
“แต่เจ้ากานพลูมิอันตรายดอก ข้าฝึกจนเชื่องแล้ว”
เจ้ากานพลูคงจะเป็นชื่อของช้างตัวนี้สินะ สาวเจ้าคิดในใจพลางลูบหัวมันเบาๆ แล้วพยักหน้ารับอย่างยอมจำนนต่อเหตุผล
“รบกวนด้วยแล้วกันค่ะ แล้วช่วยบอกฉันทีว่าที่นี่คือยุคสมัยไหนกันแน่ และฉันกำลังอยู่ที่ไหน”
“ย่อมได้สิ” ชายหนุ่มแปลกหน้ารับคำเหมือนเขาเองก็รู้อะไรบางอย่างมาเช่นกัน พลางชักเท้าบังคับให้เจ้ากานพลูที่หมอบลงอยู่ค่อยๆ หยัดตนลุกขึ้น มันโคลงเคลงเล็กน้อย แต่ไม่นานเอวคอดนั้นก็ถูกคว้าโดยฝ่ามือหยาบกร้าน ทั้งสองเหลียวมองสบตากัน แล้วชายผู้นั้นก็แย้มรอยยิ้มพราย “มิชอบให้ต้องตัวรึ?”
“ถ้ามันจำเป็น ก็ไม่เป็นไรหรอก” หล่อนหันหน้าหนีกลับไป ชายผู้นี้สู้มือดีชะมัด ไม่หวั่นไหวกับสายตาทรงเสน่ห์ของแพรวพราวเลยสักนิด ดูไม่ธรรมดาเอสเสียเลย
“งั้นก็ไปกันเถิด”
ใช้เวลาไม่นานนัก ดงป่ากล้วยที่เจ้าช้างกานพลูลุยออกไปก็พ้นแสงสว่างมาสู่หมู่บ้านซอมซ่อเล็กๆ หมู่บ้านที่ทั้งสองมาถึงนั้นเป็นหมู่บ้านที่ทุกหลังไม่ต่างจากกระท่อมเก่าๆ ชาวบ้านส่วนใหญ่ปลูกผักทำไร่นา บางส่วนหาบฟืน ดูผิวกล่ำแดดแถมแต่งตัวนุ่งกระโจมอกโบราณไม่เว้นทั้งชายและหญิง
แพรวพราวรู้สึกได้เลยว่าที่หล่อนสันนิษฐานไว้และคิดว่ามันเหลือเชื่อเกินไป อาจจะเป็นความจริง
การแต่งกายแบบนี้ ผิวคล้ำแดดทั้งชายและหญิง ทรงผมสั้นแบบนั้น
ยุคสมัยใหม่เขาไม่แต่งตัวกันแบบนี้กันหรอก!
“อโยธยาน่ะ เจ้ารู้จักใช่หรือไม่” นั่นเป็นประโยคที่ออกมาจากปากของชายที่นั่งซ้อนหลังราวกับรู้ทันในความคิด และเนื่องจากหญิงสาวนั้นผิวพรรณดีกว่าหญิงในหมู่บ้านทั้งหมด ทั้งผู้ชายไม่ว่าลูกเด็กเล็กแดง หนุ่มหรือแก่ต่างมองหล่อนที่ขี่เจ้ากานพลูกลับมากับชายที่น่าจะเป็นหนึ่งในชาวบ้านในหมู่บ้านนี้ด้วยความสนอกสนใจ
“พาใครมาด้วยงั้นหรือพ่อพรานสมิง!” เสียงที่ดังขึ้นรอบๆ นั้นเป็นเหล่าเด็กหัวจุกที่เปลือยทั้งตัวกำลังละเล่นขี่กะลามะพร้าวอยู่รอบๆ ดูไม่ออกว่าเป็นเพศหญิงหรือชายเพราะทุกคนล้วนแก้ผ้าจนหมด สีหน้าของหญิงสาวเริ่มหวาดหวั่น ชายผู้นี้ชื่อพรานสมิง? แล้วอโยธยานี่มันอะไร ยุคสมัยศรีอโยธยาที่เคยเล่นในละครย้อนยุคหรือไงกัน!
นี่หล่อนหลงยุคมาใช่ไหม
