พิธีการผ่าน
“ไอรีน นาเกลเหรอครับ ตอนเรียนเคยโดนเพื่อนล้อว่า ‘ยัยเบเกิล’ อะไรแบบนี้ไหม”
แอนดี้ ฟิสเกอร์มองเธอจากที่นั่งตรงเคาน์เตอร์พยาบาล ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเพื่อจับมือทักทาย เขาสูงกว่าหกฟุตสบายๆ ชนิดที่ไม่ต้องไปโกงความสูงในแอปหาคู่เลย และมีกล้ามเนื้อที่แน่นเปรี๊ยะจนชุดสครับแทบปริ เขามีรอยยิ้มแบบเด็กหนุ่มประดับใบหน้า ซึ่งช่วยลดความน่าเกรงขามของเขาลงได้เยอะ แต่ไอรีนมั่นใจว่าแอนดี้คงรับมือได้อย่างเด็ดขาดเวลาที่ต้องจัดการกับคนไข้ยากๆ
“ไม่เคยค่ะ เพราะมันออกเสียงว่านาเกล... เหมือนชื่อบริษัทน่ะค่ะ”
แอนดี้พยักหน้ารับรู้อย่างไม่สะทกสะท้าน “เอาล่ะ ต่อจากนี้ไป ผมจะเป็นเทพผู้พิทักษ์และบ่อเกิดแห่งความรู้ของคุณ” เขาแนะนำตัวเองพร้อมกับวางมือทาบบนอก “ยินดีต้อนรับสู่นรกขุมนี้ อีกสองสามสัปดาห์ข้างหน้า ผมจะฝึกให้คุณเอาชีวิตรอดได้ด้วยตัวเอง และอาจจะส่งขนมไปปลอบใจบ้างเวลาที่คุณร้องไห้”
ไอรีนได้แต่ภาวนาให้เขาแค่พูดเล่น เธอค่อนข้างมั่นใจว่าเขาพูดเล่น แต่โรงพยาบาลที่ขาวโพลนไปทุกหนแห่งและเต็มไปด้วยคำพูดเร่งรีบก็ดูไม่ต่างอะไรจากนรกขุมย่อมๆ อยู่เสมอ โดยเฉพาะช่วงเปลี่ยนเวร ไม่มีที่นั่งเหลือเลย และเสียงจอแจวุ่นวายก็ทำให้แทบไม่ได้ยินอะไร
“ฟังดูน่าสนุกนะคะ” เธอบอกอย่างประหม่า
ไอรีนพบว่าการยอมรับการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องยากเสมอ การเริ่มงานใหม่หมายถึงการต้องพบปะผู้คนใหม่ๆ เป็นกองทัพ และต้องทำความเข้าใจว่าจะปฏิสัมพันธ์กับพวกเขาอย่างไร กับคนไข้น่ะง่าย แต่เธอกลัวการเจอเพื่อนร่วมงานใหม่ๆ เสมอ
เธอถูมือไปมา พลางสงสัยว่าตัวเองอาจจะมีภาวะวิตกกังวลในการเข้าสังคมหรือเปล่า
“ตามผมมา” แอนดี้เอ่ยขึ้นอย่างราบรื่น “ผมจะพาเดินดูรอบๆ วอร์ดเร็วๆ”
ไอรีนต้องเร่งฝีเท้าเพื่อให้เดินทันเขา การเดินทัวร์นั้นรวดเร็ว และเธอได้รับการแนะนำให้รู้จักเพื่อนร่วมงานหลายคน แอนดี้ลดเสียงลงต่ำขณะวิจารณ์แต่ละคนที่พวกเขาเดินผ่าน ไล่รายชื่อคนที่เธอต้องหลีกเลี่ยงให้เหมือนเชื้อโรค และคนอื่นๆ ที่อันตรายน้อยกว่า เขาร่ายยาวถึงร้านอาหารที่ดีที่สุด และจุดที่สัญญาณไวไฟแรงที่สุดสำหรับช่วงพัก
ไอรีนต้องยอมรับว่าแอนดี้ทำได้อย่างที่เขาแนะนำตัวเองไว้จริงๆ
“นั่นกาวิน” แอนดี้หยุดชี้ไปที่พยาบาลชายอีกคน แต่ไม่ได้แนะนำไอรีนให้เขารู้จัก “เรียกเขาว่าโอโปก็ได้ แต่เจ้าตัวไม่รู้หรอกว่าทำไม”
แอนดี้ก็ไม่ได้บอกเหตุผลเหมือนกัน ไอรีนเลยไม่รู้จะเข้าใจชื่อนั้นว่าอย่างไรดี ด้วยความสงสัย เธอจึงถามเขาว่า “ทำไมถึงเรียกเขาแบบนั้นล่ะคะ”
“เพราะเขาเหมือนตัวโอพอสซัม นอนนานเป็นชั่วโมงๆ แล้วก็แกล้งตายเวลาที่มีงานต้องทำ” แอนดี้ยักไหล่
ไอรีนกลั้นหัวเราะด้วยการยกมือขึ้นปิดปาก “ชื่อเหมาะดีนะคะ เขาก็ดูคล้ายๆ ตัวโอพอสซัมเหมือนกันนะ!”
แอนดี้หรี่ตามองก่อนจะพยักหน้า “พอคุณพูดขึ้นมา... ก็เหมือนจริงๆ ด้วย”
เขาชี้ไปที่พยาบาลร่างเล็กผมสีน้ำตาลสลวยและรอยยิ้มสดใส “นั่นทาเลีย หรือที่รู้จักกันดีในชื่อทิงเกอร์เบลล์ ผมคงไม่ต้องอธิบายนะว่าทำไม ใช่ไหม”
ไอรีนส่ายหน้า เธอเคยได้รับการแนะนำให้รู้จักทาเลียก่อนจะเข้ามาทำงานที่นี่ และทึ่งในความว่องไวและแข็งแรงของผู้หญิงคนนี้ แม้ว่าเธอจะสูงไม่ถึงห้าฟุตก็ตาม ทาเลียเคลื่อนที่เข้ามาหาพวกเขาราวกับล่องลอยด้วยความคล่องแคล่วที่ไอรีนอิจฉา และเธอก็พอจะเดาได้ว่าทำไมทาเลียถึงอยู่ในรายชื่อคนที่คบหาเป็นเพื่อนได้
แอนดี้มองไอรีน “ที่เหลือก็แค่ตั้งชื่อใหม่ให้คุณ” เขาประกาศด้วยท่าทีครุ่นคิดเล็กน้อย
“ขอปฏิเสธข้อเสนอนะคะ” ไอรีนตอบ เธอพยายามจะสุภาพ แต่สิ่งสุดท้ายที่เธอต้องการคือการถูกตั้งชื่อตามสถานการณ์น่าอับอายครั้งแรกที่เธอเจอ เธอไม่ต้องการให้ความน่าอับอายนั้นติดตามเธอไปตลอดการทำงานที่นี่ “เรียกว่าไอรีนก็พอค่ะ”
“ไม่ต้องอายหรอกน่า ฉันรู้ว่าเธอต้องชอบแน่” เขาตบหลังเธอปุๆ หญิงสาวลูบบ่าตัวเองพลางทำหน้าเหยเก นึกสงสัยว่าแอนดี้แรงเยอะขนาดไหนกัน
“แต่ฉันชอบชื่อของฉันนี่นา” เธอพึมพำอย่างไม่พอใจ
“แหม เธอจะชอบชื่อตัวเองหรือไม่มันไม่สำคัญหรอกไอรีน ที่นี่เขามีธรรมเนียมปฏิบัติกันแบบนี้” เขาถูคางอย่างครุ่นคิดก่อนจะลากเธอเดินต่อไป “สำหรับรายนี้ ฉันจะค่อยๆ คิด” เขาพูดสรุป
ไอรีนกลั้นเสียงครางอย่างระอาใจ
เธอเดินตามเขาไปประเมินอาการคนไข้ วันนั้นเธอแค่เดินตามเขาไปก่อนเพื่อเรียนรู้กฎระเบียบต่างๆ ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป เธอจะต้องดูแลทีมทั้งหมด ส่วนเขาก็จะนั่งปล่อยให้เธอทำงานทุกอย่าง ไอรีนคาดว่าแอนดี้คงจะอู้งานไปอีกสองสามสัปดาห์ เพราะใครก็ตามที่บอกว่าไม่ใช่ก็คือโกหกทั้งเพ การปฐมนิเทศมีไว้เพื่อโยนงานให้คนอื่นชัดๆ
พวกเขากำลังเดินผ่านห้องทำงานฝ่ายธุรการตอนที่แอนดี้ตัวแข็งทื่อ สาวผมบลอนด์ขายาวราวกับหลุดออกมาจากนิตยสารแฟชั่นเดินสวนพวกเขาไป เหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วมากจนไอรีนอ่านชื่อบนป้ายของเธอไม่ทัน
คุณหมอคนสวยเหลือบมองมาทางพวกเขา สายตาของเธอหยุดอยู่ที่แอนดี้ อย่างดีที่สุดก็คือแววตาเป็นปรปักษ์ อย่างร้ายที่สุดก็คืออาฆาตแค้น
“แอนดี้” น้ำเสียงของเธอห้วนสั้นขณะพยักหน้าให้เขา สายตาแข็งกร้าว
แอนดี้ฉุนกึกกับท่าทีไม่ไยดีนั้น เขาเม้มปากแน่นทั้งที่ปกติเป็นคนปากจัด แต่ก็มีคำด่าสองสามคำจ่ออยู่ที่ปลายลิ้น รอวันที่จะได้พ่นออกมา
เขาไม่ผ่อนคลายลงจนกระทั่งเธอเดินลับสายตาไป แต่แล้วเขาก็หันมาหาไอรีนและพูดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวที่ปะทุออกมาว่า “นั่นคือหมอประเภทตัวหายนะที่เธอต้องหลีกเลี่ยงให้ไกลเลยนะ เธอเป็นคนเย็นชา หลงตัวเอง แล้วก็แทบไม่เคยปฏิบัติต่อคนอื่นเหมือนเป็นมนุษย์ ฉันไม่อยากจะบอกชื่อเธอด้วยซ้ำ”
นั่นยิ่งทำให้เธออยากรู้เข้าไปใหญ่ “ทำไมคะ เกิดอะไรขึ้นเหรอ” เธอถามอย่างกระตือรือร้น ชีวิตจะไปมีรสชาติอะไรถ้าขาดเรื่องซุบซิบนินทาไปสักหน่อย
“หล่อนคิดว่าตัวเองเป็นพระเจ้าเพราะมีปริญญาโก้ๆ ที่เพิ่มตำแหน่งนำหน้าชื่อให้ตัวเองมั้ง เวลาว่างแทนที่จะทำตัวแบบนี้ น่าจะไปเข้าวัดเข้าวาหาพระเจ้าซะบ้าง” ดูจากแววตาเกลียดชังอย่างสุดซึ้งแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้หมายความตามนั้นจริงๆ
“เธอชื่ออะไรเหรอคะ เผื่อฉันต้องเรียกเธอ...”
เขาคราง “อย่าไปคุยกับหล่อนถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ชื่อเซเลน่า สโตน” เขาบอก
“ด็อกเตอร์สโตน?”
“ใช่ เหมาะสมกันดี เพราะใจหล่อนทำด้วยหิน”
ไอรีนรู้จักพวกหมอ... ไอรีนรู้จักหมอเฮงซวยเยอะแยะไปหมดเพราะเธอทำงานร่วมกับพวกเขามาหลายปี บางทีพวกเขาอาจจะเริ่มต้นอาชีพด้วยการเป็นคนดี ถ่อมตัว แต่หลังจากช่วยชีวิตคนได้ไม่กี่ครั้ง พวกเขาก็เชื่อในทันทีว่าตัวเองอยู่เหนือคนอื่น
บางคนก็ทำงานเก่ง แต่บางคนก็ไม่เท่าไหร่ และโดยปกติแล้ว พวกเขาก็น่ารำคาญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่คิดว่าตัวเองเก่งกว่าพยาบาล เหมือนกับว่างานของไอรีนมีความสำคัญน้อยกว่าพวกเขา
ราวกับว่าพวกพยาบาลไม่ได้ทำงานเข้ากะสุดโหดและช่วยชีวิตคนเหมือนกับพวกเขาอย่างนั้นแหละ
ที่น่ารำคาญยิ่งกว่าคือความมั่นใจในตัวเองของพวกเขา ไม่มีอะไรจะร้ายกาจไปกว่าผู้ชายธรรมดาๆ ที่คิดว่าตัวเองหล่อ ที่จริงแล้ว มีอยู่สิ่งหนึ่ง นั่นคือหมอธรรมดาๆ ที่คิดว่าตัวเองหล่อ
แล้วถ้าเผอิญพวกเขาหน้าตาดีขึ้นมาหน่อยนะ พระเจ้าช่วย อีโก้มหาศาลของพวกเขาก็คงจะใหญ่คับโรงพยาบาล
ด้วยเหตุนี้ ไอรีนจึงสาบานว่าจะไม่เดตกับหมอเด็ดขาด ใช่ ในทางทฤษฎีแล้ว พวกเขาเป็นคู่รักที่ยอดเยี่ยม แต่ในความเป็นจริง บุคลิกของพวกเขาทำให้ดูไม่น่าดึงดูดใจเลย
แต่นั่นมันก่อนที่เธอจะมาทำงานที่โรงพยาบาลเกลนส์คอลเลจ ก่อนที่จะได้รับการฝึกสอนโดยพยาบาลนามว่าแอนดี้ ฟิสเกอร์ และก่อนที่จะได้พบกับคุณหมอเบรนเดน วอร์เรนผู้หยิ่งยโสแต่หล่อเหลาจนน่าเหลือเชื่อ
