บทที่ 4 พูดออกไปตามตรง
“ฮื่อ พี่ภูผา” ฉันที่เดินออกมากับพี่ภูผา แทบจะร้องไห้ เมื่อคุณอาคนนั้นยืนรออยู่หน้าโรงเรียน
“สวัสดีครับอาหมอ” พี่ภูผาเอ่ยทักทายคุณอา ส่วนฉันได้แต่เกาะแขนพี่เป็นปลิง ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าคุณอาเลย
“สวัสดีครับว่าที่พี่เขย!!” เสียงห้าวร้องตะโกนมาแต่ไกล เป็นใครไปไม่ได้นอกจากขุนศึกไอ้น้องบ้า ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับคุณอาหมอโรคจิต ตาแก่นี่สักหน่อย
“อามารับไปดูหนัง” เขาแค่พยักหน้าให้พี่ภูผา และขุนศึกแล้วเดินตรงเข้ามาหาฉัน
“หนูไม่อยากดูหนูจะกลับบ้าน” ตัวเล็กรีบหลบหลังพี่ชายทันที เมื่อสายตาดุจพญาเสือคู่นั้นจ้องมาอย่างไม่กะพริบตา
“อาไปส่ง วันนี้ภูผากับขุนศึกจะไปกับเพื่อน อาเป็นห่วงเลยมารับ” อาไรเฟิลพูดเสียงราบเรียบแต่แฝงไปด้วยความดุดันน่ากลัว ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรทำไมตัวเองถึงกลัวเขาได้มากถึงขนาดนี้ ตั้งแต่วันนั้นที่บ้านที่เขาแอบขึ้นห้อง ฉันก็ไม่กล้านอนคนเดียวอีกเลย นี่ก็หลายวันแล้วที่ต้องไปนอนกับแม่ ส่วนพ่อก็ต้องไปนอนกับขุนศึกตามระเบียบ
“พี่ผา หนูไปด้วยสิ” ฉันเดินเข้าไปเกาะแขนพี่ชายที่กำลังจะเดินไปหาเพื่อนที่ยืนรออยู่
“ภูพิงค์ไปไม่ได้มีแต่ผู้ชาย กลับกับอาไรเฟิลดีแล้ว” แต่ขุนศึกกลับพูดแทรกขึ้น มันน่าตบปากสักที ดีมั้ย ยุ่งไปซะทุกเรื่อง
“แต่หนู...ก็ได้” ฉันพูดเสียงสั่น ปล่อยมือจากแขนพี่ภูผา ได้แต่ก้มหน้าเดินไปที่รถ
“อาครับผมฝากน้องด้วย”
“มีอะไรโทรหาพี่ พี่ทำรายงานบ้านเพื่อนไม่นานก็กลับ” พี่ภูผาเดินเข้ามากอด พร้อมพูดปลอบ
“ค่ะ...กลับเร็ว ๆ นะ” วันนี้พ่อกับแม่ก็ไม่อยู่ด้วย ฉันไม่ชอบอยู่ในสถานการณ์แบบนี้เลย
“ฝากน้องสาวผมด้วยครับคุณอาหมอ ไม่สิ ต้องเรียกพี่เขยถึงจะถูก”
“ขุนศึก!!” ฉันเงยหน้าไปจ้องไอ้น้องบ้า แยกเขี้ยวใส่แต่ขุนศึกกลับทำท่าทางยียวนใส่แล้วดึงแขนพี่ภูผาเดินไปหากลุ่มเพื่อนที่รออยู่ เฮ้อ...ตรงนี้ก็เหลือแต่ฉันกับอาไรเฟิลสองคน
“เฮือก!”เธอสะดุ้งตกใจแรงเมื่อมือหนาเอื้อมมาจับที่แขน
“ขึ้นรถอาไปส่ง”
“......” ฉันได้แต่เดินก้มหน้าไปขึ้นรถอย่างจำใจ
“กลัวอะไร อาไม่ได้จะฆ่าเราสักหน่อย” ใบหน้าหล่อคมยื่นเข้ามาใกล้ ฉันได้แต่นั่งนิ่งแทบจะกลั้นหายใจ เมื่ออาไรเฟิลเอื้อมมือมาคาดเข็มขัดนิรภัยให้ แต่เขากลับไม่ยอมถอยห่างกลับจ้องหน้าฉันอยู่แบบนั้น
“มองหน้าอา แล้วบอกมาว่ากลัวอาทำไม” อาไรเฟิลเอามือจับปลายคางให้เงยหน้าสบตากับเขา
“กะ...ก็อาน่ากลัวนิคะ” ฉันพูดเสียงสั่น ไม่กลับสบตาเขา
“แล้ว อาต้องทำยังไง หนูถึงจะไม่กลัว” เสียงเยือกเย็นที่อาเอ่ยออกมา มันยิ่งทำให้ฉันเกร็งจนเผลอจิกเล็บคมลงบนฝ่ามือ
“นะ...หนูอยากกลับบ้านแล้วค่ะ” ฉันเบี่ยงตัวหันหน้าหนี มันรู้สึกอึดอัดกับสายตาอาไรเฟิลจนหายใจไม่ออก ทั้ง ๆ ที่ฉันไม่ใช่คนขี้กลัวแต่กับอาไรเฟิล มันอธิบายไม่ถูกแล้วยิ่งรู้ว่าเขาต้องการอะไรจากฉัน มันก็ยิ่งไม่อยากอยู่ใกล้ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง
พ่อเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง ฉันถึงกับตกใจอ้าปากค้างที่พ่อบอกอาไรเฟิลหลงรักฉันตั้งแต่อายุ 12 มันจะเป็นไปได้เหรอ และที่อาเขากลับมาเพราะจะมาขอและแต่งงานกับฉันให้ได้ นี่มันเป็นเรื่องบ้าที่สุดเท่าที่เคยเจอมา
แต่ดีที่พ่อไม่อนุญาต แต่อาไรเฟิลก็ไม่ยอม พ่อเลยบอกว่าทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับฉัน เพราะฉะนั้น เธอต้องกล้าที่จะพูดบอกอาเขาไปตรง ๆ นะภูพิงค์!!
“...อาคะ” ฉันสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ รวบรวมความกล้าหันหน้าไปสบตาอาไรเฟิลที่กำลังจะออกรถ
“......” อาเขาไม่พูดอะไรแค่หันมามอง
“หนูไม่ได้คิดอะไรกับอา หนูไม่ชอบ ไม่ชอบทุกอย่างและไม่มีวันที่จะชอบอา อาเป็นน้องชายพ่อนะคะ หนูว่าอา...” แต่แล้วฉันก็ต้องเงียบไม่กล้าที่จะพูดต่อ เมื่อสายตาคู่นั้นที่มองมามันน่ากลัวเหลือเกิน
“อาจะทำทุกอย่างให้หนูรักอา อย่าคิดว่าจะหนีอาไปได้ภูพิงค์!”
“ฮึก...” นั่งนิ่งตัวแข็งทื่อเมื่อเขาโน้มหน้าเข้ามาใกล้
“อย่าคิดตีตัวออกห่าง เพราะอาจะไม่มีวันปล่อยเราไป” เสียงกระซิบเย็นยะเยือก ปลายจมูกโด่งคลอเคลียเกลี่ยแก้มไปมา ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้น่ากลัวแบบนี้
“อะ...อาค่ะหนูอยากกลับบ้านแล้ว” ฉันพูดเสียงสั่น พยายามห้ามน้ำตาไม่ให้มันไหลออกมา มือเล็กที่สั่นเทากำชายกระโปรงแน่นด้วยความหวาดกลัว
“อึก...อึก” แต่มันห้ามน้ำตาไม่ได้จริง ๆ
“อาขอโทษ ที่ทำให้หนูกลัว ไม่ร้องนะเด็กดี” มือหนาเอื้อมมาซับน้ำตาอย่างอ่อนโยน แต่ความรู้สึกตอนนี้มันไม่ไหวแล้วจริง ๆ ถึงเขาจะทำดีด้วยแค่ไหนความน่ากลัวของผู้ชายคนนี้มันก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย
ยิ่งเห็นรอยสักที่ต้นคอตามนิ้วมือ อาไรเฟิลยิ่งดูน่ากลัว เขาเหมือนพวกมาเฟีย พวกนักเลง หัวหน้าแก๊งมากกว่าหมอจิตแพทย์อีก
“...........” ฉันไม่กล้าพูดอะไรได้แต่พยักหน้ารับ นั่งก้มหน้า มือประสานที่หน้าตักนั่งตัวแข็งทื่อ
“เฮ้อ…” ...ชายหนุ่มถอนหายใจ มองคนตัวเล็กที่เอาแต่นั่งก้มหน้าไม่พูดไม่จา ก่อนจะขับรถออกไปแต่เป้าหมายแน่นอนไม่ใช่บ้านของเด็กสาว
เขาไม่ได้จะคิดร้ายกับเธอ แต่อยากมีเวลาอยู่ด้วยกันอยากให้เธอเปิดใจรับเขามากกว่านี้...
“ขอบคุณนะคะที่มาส่งหนู” ทันทีที่รถจอด สองมือยกขึ้นไหว้อาไรเฟิล และรีบเปิดประตูออกจากรถ แต่ทว่า...ที่นี่ที่ไหน? ฉันหันซ้ายหันขวามองไปรอบ ๆ เป็นบ้านหลังใหญ่ ใหญ่เท่า ๆ กับบ้านฉัน มันเป็นบ้านโทนสีขาวเทา สไตล์ยุโรป
แต่สิ่งที่ทำให้น่ากลัวไปกว่านั้นคือ ผู้ชายใส่สูทดำที่ยืนเรียงแถวสองฝั่ง พวกเขาเอาแต่ก้มหน้ายืนนิ่งไม่ขยับตัวสักนิด
“ไม่ต้องกลัวนี่บ้านอาเอง และมันก็เป็นบ้านของหนูด้วย อาสร้างไว้เป็นเรือนหอของเรา”
“ฮึก!” สะดุ้งตกใจหัวใจหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม เมื่อมือหนาแตะลงที่ไหล่
“อาคะ ภูพิงค์อยากกลับบ้าน” ฉันพูดเสียงสั่น มองหน้าอาไรเฟิลอย่างอ้อนวอน
“ไว้กินข้าวเสร็จอาไปส่ง ไม่ต้องกลัวอาจะไม่ทำอะไรหนูถ้าหนูไม่เต็มใจ อาสัญญา เชื่อใจอานะเด็กดี” ตัวเล็กถูกดึงเข้าไปกอด พร้อมจูบหนัก ๆ ที่อาไรเฟิลจูบลงที่กลางหน้าผาก ฉันจะทำยังไงดี...
