บทที่ 5 ตอนที่ 5

“ว่าไงจะกู้เท่าไหร่ หนี้คราวที่แล้วก็ยังไม่ใช้คืนเลยจะกู้เพิ่มอีกหรือ”

“ขอผมอีกห้าแสนก็พอครับพี่มิต”

“เฮ้ย กูไม่มีน้องอย่างมึงเรียกกูคุณมิต”

“ครับๆ คุณมิต”

ภูเบศน์ปากคอสั่นลิ้นรัวกลัวจนลนลาน ต่อให้เรียกท่านมิตหรือคุณชายมิต แม้แต่ท่านชายมิตภูเบศน์ยอมทั้งนั้น คราวก่อนเขากู้ไปสามแสน เล่นเสียหมดจำเป็นต้องบากหน้าไปขอยืมจากน้องสาวต้องการนำมาใช้หนี้ ทั้งที่พอรู้ว่าน้องสาวคงไม่มี เขานี่เป็นพี่ที่แย่มาก ต่อให้โดนซ้อมโดนเตะเพื่อให้ได้เงินไปต่อทุนใช้หนี้เขาจึงต้องกลับมาบ่อนนี้อีก

“ว่างๆ ไปเช็คดวงบ้างนะภู”

“เช็คดวง”

“ใช่ หลังๆ มานี้แกไม่เคยได้เลยนี่ จะกู้เพิ่มแล้วจะหาเงินจากไหนมาคืน ฉันให้แกกู้ไปคราวนั้นสามแสนยังไม่ถึงสามวัน แกกลับมาอีกหลักทรัพย์อะไรไม่มีค้ำประกันสักชิ้น”

“หลักทรัพย์ เอ่อ.” ภูเบศน์พยายามนึกทรัพย์สินส่วนตัวที่พอนำมาค้ำประกันเงินกู้ได้ บ้านสมบัติชิ้นเดียวที่พ่อทิ้งไว้เพื่อให้ทุกคนเป็นที่ซุกหัวนอน เขาไม่กล้าเอาสมบัติชิ้นเดียวมาผลาญได้ รถ....ใช่เขามีรถภูเบศน์นึกถึงรถคันเก่าของตัวเอง

“นี่ครับ” เขายื่นกุญแจรถไปตรงหน้ามิตหัวหน้าบ่อน มิตเป็นคนอำนาจตัดสินใจเด็ดขาดรองจากเจ้าของบ่อน    “รถมึง รถเก่าๆ ผุๆ ของแกหรือ โถ...ตีราคาคงถึงแสนหรือเปล่าก็ไม่รู้ มันจะพอใช้หนี้อะไร” มิตบอกผีพนันด้วยสีหน้าเหี้ยม

“ได้โปรดเถอะนะครับ ถ้าผมมีเงินไปต่อทุนรับรองผมจะเอาเงินมาใช้หนี้ทั้งต้นทั้งดอกรวมของคราวที่แล้วด้วย”

มิตหันมองสบประสานนัยน์ตากับลูกน้องอีกคน ในแววตานั้นฉายแววประหลาดมีแผนร้ายแทรกอยู่ในสมอง มาอีหรอบนี้ถือว่าเหยื่อติดกับเข้าจังๆ มิตยิ้มเหี้ยมแฝงความโหดในสันดาน

“ตกลงฉันจะให้แกยืมเอานี่เซ็นซะรีบๆ รับเงินใสหัวไป” ทั้งเงินและเอกสารสัญญาถูกเลื่อนมาตรงหน้าภูเบศน์ เขามือสั่นร้อนรนหยิบปากหล่นแล้วหล่นอีกเพื่อจะจรดเซ็นตรงช่องผู้กู้ เสร็จสรรพ เขารีบคว้าเงินก้อนนั้นเร่งเดินจากไป ไม่แม้แต่จะกวาดสายตาอ่านสัญญาสักตัวอักษร

ภาพนักพนันที่ไม่สนใจใครเข้าหรือออกสถานที่ตรงนี้ กำลังเมามันกับสิ่งที่อยู่บนโต๊ะ ภูเบศน์ตบกระเป๋าที่ยังร้อนด้วยเงินก้อนใหญ่ที่เพิ่งกู้มา จำนำรถคันเดียวในชีวิตเป็นประกันไว้ รถคันนั้นเก่ามากถ้าตีราคาได้แค่แสนเดียวหรือไม่ถึงแสน สำหรับเงินในกระเป๋าสามารถใช้ต่อชีวิต เพื่อหายใจได้คล่องหน่อย ถ้าคืนนี้โชคดีคงได้หอบเงินกลับบ้านมีเงินใช้หนี้แถมได้เล่นต่อ

ตีหนึ่งกว่าๆ เกือบตีสอง เงินและชิพในมือภูเบศน์หมดเกลี้ยงในพริบตา ถึงกับยกแขนปาดเหงื่อ เดินผละออกจากโต๊ะลูเล็ตผลาญเงินในกระเป๋าแทบไม่เหลือให้ติดกระเป๋ากลับบ้านสักบาท

“บัดซบแม่งโกงกันชัดๆ” ภูเบศน์หัวเสียสบถด่าเสียงดัง

เดินบ่นหน้าถมึงทึงออกมายืนอยู่หน้าบ่อน ด้วยสีหน้าอารมณ์ขุ่น เตะหมาจรจัดครางหงิงๆ อะไรใกล้สายตาเป็นสิ่งปฏิกูลไปซะหมด

“ไงน้องเสียเยอะเหรอ ถึงได้เตะหมาเตะแมวไม่เลือก” เสียงหนึ่งดังขึ้น

“หมดตูดเลยล่ะพี่” เงยหน้ามองคนถามไม่ใส่ใจว่าเป็นใคร ใครก็ช่างเขาไม่สนหงุดหงิดชะมัด

“ไปนั่งกินข้าวต้มกันพี่เลี้ยงเอง รู้ว่าไม่มีเงินแม้แต่จะกินน้ำเปล่าสักขวด” เจ้าของร่างสูงผิวเข้ม พูดตรงไม่อ้อมค้อม

“เออ ดีพี่ผมกำลังหิว” ไม่คิดว่าตัวเองจะถังแตกขนาดนี้

ชายแปลกหน้านั่งลงก่อนตามด้วยภูเบศน์ หน้าเขาเซ็งที่สุดเท่าที่มีชีวิตมาร่วมยี่สิบกว่าปี นี่เขาทำบ้าอะไรลงไป แทนที่จะมีเงินใช้หนี้ แต่กลับสร้างหนี้เพิ่ม

“มาที่นี่บ่อยเหรอ” ชายผิวเข้มถาม

“เกือบทุกวันแหละพี่”

“ได้บ้างหรือเปล่าล่ะ”

“ได้ ช่วงแรกที่มาได้ทุกคืน”

“ติดใจเลยกลับมาอีก แล้วตอนนี้ล่ะ”

“เสียตลอด ติดนี้จะร่วมล้านเซ็งเป็นบ้า”

“ธรรมดาพนันมีได้มีเสีย”

“แต่ผมว่ามันโกงชัดๆ ไอ้บ่อนห่าเหวอะไรจะเสียได้ทุกวี่ทุกวัน ผมว่ามันโกง”

“ติดหนี้อยู่เท่าไหร่”

“แปดเก้าแสน” ตอบไปงั้นๆ ไม่คิดว่าผู้ชายหน้าเข้มตรงหน้าจะช่วยอะไรได้ แต่การเล่าอะไรให้คนแปลกหน้าฟังยังดีกว่าให้คนสนิทรู้ เมื่อก่อนภูเบศน์เป็นคนน่ารัก นิสัยดีรักครอบครัว เงินเดือนทุกบาททุกสตางค์ยกให้มารดาหมด อยากใช้ค่อยขอเป็นรายสัปดาห์ เมื่อเดือนก่อนเพื่อนในบริษัทชวนไปเล่นในบ่อนเล็กๆ ครั้งสองครั้งติดใจ จากนั้นปีกกล้าขาแข็งฉายเดี่ยวเล่นคนเดียว เปลี่ยนบ่อนไปเรื่อยกระทั่งได้พบกับบ่อนที่ให้เครดิตลูกค้านายวัฒนา สุระเมธา มิตเป็นคนคุมหมอนี่ใครๆ ก็ว่าโหด

“พี่ให้ยืมไม่คิดดอก” ชายที่หน้าตาเหมือนไม่มีเงินในกระเป๋าเกินร้อย เอ่ยเสนอให้เงินกับภูเบศน์

คำพูดจากชายผิวเข้มกิดใจภูเบศน์ หมอนี่ท่าจะล้อเล่น หาเรื่องมาคลายเครียด จึงไม่ใส่ในในคำพูดอีกฝ่าย

“บ้า อย่าล้อเล่นน่าพี่ ผมกำลังเครียด”

“พี่ไม่ได้ล้อเล่น เรื่องแบบใครเขาล้อเล่น”

“ถ้าไม่ได้ล้อเล่น พี่จะให้ผมให้ยืมเท่าไหร่” ภูเบศน์หยั่งเชิง

“อยากยืมเท่าไหร่ล่ะ”

“พูดแบบนี้ไม่อั้นหรือพี่”

“ใช่ บอกตัวเลขมาพี่จะจัดการให้”

“ผมขอหนึ่ง เอ่อ...สองล้าน”

“พอเหรอ”

“ได้มากกว่านี้อีกเหรอพี่”

“บอกแล้วไม่อั้น”

“เอาเป็นว่าห้าล้าน”

“ได้สิ ถ้างั้นเซ็นซะ อ้อ...พี่ลืมแนะนำตัวพี่ชื่อพยัคฆ์”

“ว่าแต่พี่ไม่รู้จักผม ผมเองไม่รู้จักพี่ทำไมต้องให้ยืมเงินตั้งมาก และไอ้คำว่ายืมคือไม่มีดอกเบี้ยใช่ไหม”

“ใช่ ให้ยืม ไม่คิดดอก สนไหม ถ้าสนเซ็นซะ ถ้าไม่สนอิ่มแล้วต่างคนต่างไป เอาเป็นว่าพี่เลี้ยงข้าวน้องเพื่อทำความรู้จักกันก็พอ ว่าแต่น้องชื่ออะไร”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป