บทที่ 2 นับดาว
กาญจนบุรี
“พี่ดาว!!”
“อยู่ไหนพ่อให้มาตามครับ”
“พี่ดาว! พี่นับดาว!”
“อยู่ไหน!”
“คิก...คิก...”
ร่างบางที่แอบอยู่หลังต้นไม้ ถึงกับต้องกลั้นขำ หัวเราะคิกคัก
เมื่อเด็กชายตะวัน น้องชายวัย 6 ขวบ วิ่งหอบจากบ้านเข้าสวนที่อยู่ไกลพอสมควร เพื่อมาตามพี่สาวคนสวย
เด็กชายชะเง้อคอมองซ้ายทีขวาที แล้วทำหน้ามุ่ยเมื่อหาคนพี่ไม่เจอ
“พี่นับดาว!!!!!!!”
เด็กชายตะวันตะโกนสุดเสียง
“.......” แต่เธอกลับเงียบค่อย ๆ เดินย่องไปยืนอยู่หลังน้อง
“ตะวัน!!!!” และตะโกนใส่หูน้องชายสุดเสียง
“......”
แต่ทว่าเด็กชายตะวันกลับหันมาจ้องหน้าพี่สาวตาเขม็ง
ถ้าเป็นคนอื่นปกติทั่วไปด้วยระดับเสียงดังขนาดนี้หูคงแตกไปแล้ว แต่เพราะเด็กชายพิการทางหู มาตั้งแต่เด็ก ให้ตะโกนจนคอแตกก็แทบจะไม่ได้ยิน
พ่อเคยพาลูกชายไปรักษาตัวในกรุงเทพฯ หลายต่อหลายครั้ง แต่เพราะครอบครัวฐานะค่อนข้างลำบาก เลยช่วยลูกชายได้แค่ซื้อเครื่องช่วยฟังราคาถูก พอให้ลูกนั้นได้ยินเสียงอะไรบ้าง
“ไว้พี่เรียนจบ พี่จะหาเงินผ่าตัดให้ตะวันนะ” พี่สาวย่อตัวลงลูบหัวน้องอย่างเอ็นดู ดวงตากลมโตเต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น
เธอกับน้องห่างกัน 15 ปี ถึงจะเป็นลูกที่เกิดมาจากมารดาคนละคน แต่สายใยรักสายสัมพันธ์ ความรักที่มีให้กันมันก็มากล้นเอ่อ
ตอนนี้เป็นช่วงปิดเทอมหญิงสาวเลยกลับมาช่วยพ่อทำงานที่สวนเล็ก ๆ พ่อเธอเป็นชาวสวนปลูกผักปลูกผลไม้ขายตามตลาด
ด้วยที่พ่อเป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว ตั้งแต่เธออายุเท่า ๆ กับน้องชาย
พ่อแม่แยกทางกันแต่เธอเลือกที่จะอยู่กับพ่อเพราะไม่อยากไปจากบ้านที่มีความทรงจำมากมายนี้ไปไหน
หลังจากที่เลิกกับแม่ พ่อก็ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินส่งเสียลูกสาวเรียน จนได้เจอกับแม่ของตะวันแต่โชคร้ายคุณน้าสาวคลอดลูกชายได้เพียงไม่กี่วันก็ด่วนจากโลกไปก่อน
ทำให้พ่อเสียใจมาก แต่พ่อไม่เคยทำตัวไม่ดียิ่งขยันทำมาหากินขยันเป็นเท่าตัวเพื่อหาเลี้ยงลูกทั้งสอง
แต่โชคดีหน่อยที่ลูกสาวเป็นคนรักดีได้ทุนเรียนฟรี จนจบมหาวิทยาลัยและได้เข้าไปเรียนต่อในกรุงเทพฯ
หลังเลิกเรียนหญิงสาวก็ไปทำงานประจำเป็นพนักงานงานขายที่ร้าน 7 ถึงเงินเดือนจะไม่มากแต่ก็ทำให้เธอไม่ต้องรบกวนพ่อ
และมีเงินเก็บส่งให้พ่อกับน้องทุกเดือน แต่เธอก็ไม่ได้ทำแต่งานประจำ
ยังรับตัดต่อทำคลิปตามสายงานที่เล่าเรียนมาถึงจะไม่เก่งอะไรมากมายแต่ก็พอเอาตัวรอดได้
เธอมีความฝันมาตั้งแต่เด็ก ด้วยความที่ชอบเสียงเพลง ชอบร้อง ชอบการตัดต่อ ชอบดูหนังละครซีรีส์ มันเลยเป็นแรงบันดาลใจให้อยากเรียนด้านนี้
ถึงฐานะทางบ้านจะไม่อำนวยเหมือนคนอื่นเขาแต่เธอก็เลือกใช้ความสามารถให้เกิดประโยชน์ เธอตัดสินใจทำคลิปวิดีโอเรื่องสั้นส่งเข้าประกวด
และเป็นที่น่าภูมิใจเธอได้รับรางวัลชนะเลิศ เลยได้มีโอกาสสานฝันเรียนมาถึงทุกวันนี้
เธอเลือกเรียนด้านภาพยนตร์ คณะดิจิทัลมีเดียและศิลปะภาพยนตร์ เรียนฟิล์มโดยเฉพาะ มีสามสาขาให้เลือก คือ โพรดักชัน เรียนเกี่ยวกับ กำกับ ตัดต่อ อาร์ตฯ
ต่อมาคือแอดมิน เรียนเกี่ยวกับการบริหารงาน หรือโปรดิวเซอร์
สุดท้ายคือ ศึกษาหนัง เรียนเกี่ยวกับโครงสร้างหนัง วิจารณ์หนัง
ที่เธอเลือกเรียนด้านนี้เพราะชอบร้องเพลง ชอบดูซีรีส์ ชอบการตัดต่อ
ระหว่างที่เรียนก็ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองว่าง รับทำนี่นั่นหารายได้เสริมเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่ตลอด
วันไหนอารมณ์ดีหน่อยก็จะมีไลฟ์สดร้องเพลงให้แฟนคลับทางแอปพลิเคชัน TikTok ฟัง ถ้ามีคนถูกใจชอบเพลงที่ร้องก็พอได้ค่าขนมอาหารแต่ละอาทิตย์
แต่...เธอกลับไม่เคยเปิดเผยตัวตนกับใคร ไม่มีใครรู้จักเพราะค่อนข้างเป็นคนขี้อาย
แต่เวลาเรียนเธอกลับเต็มที่ไปกับมัน ตัดความเขินอายทิ้งไป แต่พออยู่นอกตำรา เฮ้อ! กลับเป็นคนที่ไม่มีความมั่นใจเอาเสียเลย
เพราะชีวิตครอบครัวที่เราลำบาก ต้นทุนชีวิตที่ต่ำ เป็นที่ดูถูกดูแคลนแต่นั่นมันกลับทำให้เธออยู่เหนือคนอื่น
คือการที่ต้องดิ้นรนด้วยตัวเองมันทำให้เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งเข้มแข็งและสามารถยืนหยัดสู้เพื่อตัวเอง ครอบครัววิ่งตามความฝัน
เธอไม่เคยอายที่มีพ่อเป็นคนจน เป็นแค่ชาวไร่ชาวนาแต่หญิงสาวกลับพูดอย่างภาคภูมิเพราะเธอมีพ่อที่เป็นตัวอย่างที่ดี ขยันอดออม ไม่เคยคดโกงใคร มันเป็นความภาคภูมิใจที่เธอรักและศรัทธาในตัวพ่อมาตั้งแต่เด็ก
ถึงจะอดมื้อกินมื้อแต่ก็ไม่เคยงอมืองอเท้าขอใคร พ่อจะสอนลูกเสมอ “เกิดเป็นคนแค่ขยันก็ไม่อดตาย ไม่เลือกงานไม่ดูถูกเงินบาท” เพราะคำสอนเหล่านี้ถูกปลูกฝังตั้งแต่เธอยังเล็ก ๆ จนถึงทุกวัน
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ไม่อดตายขอแค่ขยันและซื่อสัตย์แค่นั้นพอ
“พ่อบอกแล้วใช่ไหมไม่ต้องไปทำงานช่วยพ่อ มีหน้าที่เรียนก็เรียนเรื่องทำงานเป็นหน้าที่ของพ่อ”
ทันทีที่ลูกสาวมาถึงบ้านคนเป็นพ่อก็จัดแจงตั้งโต๊ะตักข้าวเสิร์ฟอาหารที่ลงมือทำเองจากพืชผักปลอดสารพิษที่ปลูกเองในสวนให้ลูกสาวสุดที่รัก
“ได้ไงคะ หนูเป็นลูกก็ต้องช่วยงานพ่อสิ จะปล่อยให้พ่อลำบากคนเดียวได้ไง!”
“นั่งเลย หนูทำเอง” ร่างบางลุกขึ้นแย่งชามข้าวจากมือพ่อ ตักข้าวใส่จานให้น้องและพ่อด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณครับ!” เด็กชายยกมือไหว้พี่สาวแบบนี้ทุกครั้งเพราะมีครูดีอย่างพ่อคอยสอนให้รู้จักมีสัมมาคารวะกับผู้ใหญ่
“น้องชายพี่น่ารักที่สุดเลยไว้พรุ่งนี้พี่จะพาไปซื้อของ” ใบหน้าหวานเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ไม่มีอะไรสุขใจเท่าได้อยู่กับคนที่รัก
ชีวิตในเมืองกรุงช่างเปล่าเปลี่ยว เด็กผู้หญิงตัวคนเดียวต้องไกลบ้านวิ่งตามความฝัน ดิ้นรนทุกอย่างด้วยตัวเอง เพื่อความอยู่รอด
สังคมที่วุ่นวายเต็มไปด้วยความแก่งแย่งชิงดี ไม่มีญาติสนิทหรือมิตรสหายที่จริงใจ ทำให้เธอกลายเป็นคนพูดน้อยและไม่ค่อยมีเพื่อนเพราะไม่มีใครอยากผูกมิตรกับคนจนอย่างเธอ
แต่ทุกครั้งที่ได้กลับบ้านเธอเหมือนเป็นคนละคน เธอสดใสยิ้มเก่งเป็นที่รักของเด็ก ๆ และผู้ใหญ่แถวนั้น
“มีเงินก็เก็บไว้ ซื้อข้าวของให้ตัวเองไม่ใช่ซื้อให้แต่พ่อกับน้อง” เพราะเห็นลูกเป็นคนประหยัด แต่พอกลับบ้านมาที กลับสิ้นเปลืองเงินให้กับพ่อและน้องเลยทำให้ผู้เป็นพ่อรู้สึกไม่ค่อยดี
ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นพ่อกลับต้องอาศัยลูกทุกอย่าง
“ดาวไม่อยากได้อะไรค่ะ แต่มีคนอยากได้ของเล่นใช่ไหม”
นับดาวหันไปยิ้มให้น้องชายที่อ้อน อยากได้ของเล่น หุ่นยนต์บังคับวิทยุกับพ่อมานานแต่ก็ไม่ได้สักทีเธอเห็นแล้วอดที่จะสงสารน้องไม่ได้
เลยควักเงินในกระเป๋าที่เก็บไว้เพื่อจะซื้อเป็นของขวัญวันเกิดให้น้องล่วงหน้า
“พ่ออะ ชอบคิดมาก ดาวเป็นพี่คนโตเป็นลูกสาวพ่อดาวก็ต้องหาเงินเลี้ยงพ่อกับน้องสิคะ!” หญิงสาวทำหน้าอ้อนเอียงหน้าถูแขนพ่อไม่ต่างอะไรกับลูกแมวตัวน้อย ๆ
“เราก็แบบนี้ตลอด ตามใจแต่อย่าใช้สุรุ่ยสุร่ายก็พอเผื่อเวลาเดือดร้อนจะได้ไม่ลำบาก”
คนเป็นพ่อได้แต่ยิ้มอย่างปลื้มปีติที่ลูกสาวที่เขาเลี้ยงมากับมือเป็นเด็กกตัญญูรู้คุณ แบบนี้เวลาเขาจากไปเขาก็เชื่อได้ว่าพี่น้องจะไม่ทอดทิ้งกัน!
สายตาคนเป็นพ่อได้แต่มองลูกสองคนแล้วแอบถอนหายใจ เพราะไม่รู้จะได้อยู่เห็นความสำเร็จของลูกถึงวันไหน…
