บทที่ 2 พี่ชายข้างบ้าน
บทที่ 2
พี่ชายข้างบ้าน
“เอาละ มาเริ่มทำงานบ้านกันก่อนดีกว่า”
สถานะการเงินในบ้านเข้าขั้นวิกฤต ท่านพ่อเลยตัดสินสินใจว่าจะขายโรงเตี๊ยม
เด็กสาวตงตงยอมรับไม่ได้ เลยยื่นข้อเสนอ ขอเวลาครึ่งปีจะรวบรวมเงินกลับมาเปิดโรงเตี๊ยม
ตอนนี้ เด็กสาวใช้พื้นที่หน้าโรงเตี๊ยมเปิดร้านขายหมั่นโถเล็กๆ
“ไหน…ขอดูสิว่ามีของอะไรที่พอใช้ได้บ้าง”
เด็กสาวพึมพำพร้อมกับค้นเครื่องมือทำมาหากินของท่านแม่ออกมาวางเรียงกันที่ลานหลังบ้าน
ที่โม่แป้ง ซึ้งนึ่ง เตาหิน หม้อดิน ตะกร้า กระจาด…สรุปคือมีเครื่องมือเครื่องใช้ไม่น้อยเลย
ท่านพ่อรักท่านแม่มาก เลยเสียดายไม่กล้าขายอุปกรณ์พวกนี้ ก็เหมือนโรงเตี๊ยม หากลึกๆ แล้วท่านพ่อไม่รู้สึกอะไรเลย ก็คงขายทิ้งตั้งแต่ท่านอามาขอซื้อในราคาแค่ 10 ตำลึงทอง
“ขาดก็แต่วัตถุดิบสินะ”
หลังจากตรวจของในครัวเสร็จ ตงตงก็สรุป จากนั้นก็นำอุปกรณ์ทั้งหมดไปล้างให้สะอาด แล้วเอามาตากที่ลานบ้าน เช็ดทำความสะอาดห้องครัว และจัดเรียงข้าวของใหม่
เด็กสาวใช้เวลาถึงครึ่งวันกว่าจะทำทุกอย่างเสร็จสิ้น
ก่อนจะไปพัก นางเดินไปดูห้องเก็บฟืน ในนี้มีแต่ท่อนไม้ใหญ่ที่ยังไม่ผ่า
เด็กสาวหอบท่อนไม้ออกมากองข้างนอก แล้วเดินไปหยิบขวาน
“ฮึบ”
หนักมาก แม่เจ้า!
ชาติก่อน นางยกหม้อตุ๋นที่มีน้ำแกงเต็มหม้อไม่อย่างไม่สะทกสะท้าน แต่พอมาอยู่ในร่างเด็กสาว ใครจะคิดว่าแรงน้อยขนาดนี้
อาจเพราะเพิ่งฟื้นจากความตาย แขนขาจึงไม่ค่อยมีแรง
ตงตงวางขวานลง เดินกลับเข้าบ้านด้วยท่าทางฉุนเฉียว
พอมายืนหน้าห้องของท่านพ่อ มือเล็กๆ ก็รัวเคาะประตู
ปัง ปังๆๆ
“ท่านพ่อ ช่วยออกมาจากห้องก่อนได้หรือไม่”
เงียบสนิท
คนข้างในไม่ตอบรับใดๆ
ตงตงมุ่นหัวคิ้วด้วยความรู้สึกไม่พอใจ
“ท่านพ่อจะเอาแต่ขังตัวเองแบบนี้ไม่ได้นะ”
“….”
คำตอบของท่านพ่อยังเป็นความเงียบเหมือนเดิม
“ท่านพ่อ ท่านยังมีชีวิตอยู่ใช่หรือไม่”
คราวนี้ คำตอบคือเสียง อืม ที่ดังผาานประตูเบาๆ
ตั้งแต่ท่านแม่เสีย ท่านพ่อขังตัวเองในห้อง ด้วยความเป็นลูกสาวยอดกตัญญู ตงตงยกอาหารมาวางไว้ให้ท่านพ่อที่หน้าห้องทุกวัน
อาหารถูกกินเกลี้ยง แต่ท่านพ่อก็ไม่ยอมโผล่หน้าออกมา
“ท่านพ่อ ท่านเอาแต่หมกตัวแบบนี้ ไม่คิดหรือว่าวิญญาณของท่านแม่จะเสียใจเอาได้”
“ไหนว่าจะทำทุกอย่างเอง”
ในที่สุดท่านพ่อก็ยอมตอบกลับมาเป็นประโยค
ที่ผ่านมาตงตงซื้อฟืนจากเด็กขายฟืนเลยไม่มีปัญหา แต่ตอนนี้เงินหมดแล้ว นางเลยต้องหาไม้มาทำฟืนเอง
“ข้าผอมขนาดนี้จะเอาแรงที่ไหนมาผ่าฟืนเล่า”
“เจ้าโตแล้ว”
“โตแล้วกับไม่มีแรงไม่เหมือนกันนะ โอ๊ย ไม่รู้ด้วยแล้ว!”
ด้วยความโมโห พูดจบเด็กสาวก็ฮึดฮัดเดินกลับมาที่หลังบ้าน
หยิบขวานหนักอึ้งขึ้นมา เพียงแค่เงื้อมือขึ้น ร่างผอมบางของนางก็ซวนเซจะล้ม
“เหวอ…!!”
“อันตราย!”
จังหวะที่ขวานเกือบจามลงบนหัว เด็กหนุ่มคนหนึ่งวิ่งเข้ามารับขวานในมือของนางเอาไว้
พอได้สติ ตงตงก็ปาดเหงื่อเย็นๆ บนหน้าผาก
“เกือบแล้ว เกือบไปแล้ว ว่าแต่พี่ชายเป็นใคร?”
…..
…..
หลังจากตั้งคำถาม ตงตงก็สำรวจเด็กหนุ่มที่เดินถือขวานไปวางบนที่ผ่าฟืน
ผู้ชายคนนี้อายุมากกว่าตงตงไม่กี่ปี เดาว่าน่าราวๆ 16-17 ถึงจะมีรูปร่างผอมสูง แต่ไม่ได้มีหุ่นแห้งเหมือนขี้ก้าง เรี่ยวแรงไม่น้อย ตอนเข้ามารับขวานจากมือของนาง เขาคว้าไปอย่างหน้าเฉย
“ข้าอยู่บ้านข้างๆ นี้เอง ชื่อเหยียนหลิ่ว”
ทันทีที่เด็กหนุ่มแนะนำตัวเอง ตงตงก็เหลือบมองข้างหลังของเขา ถึงจะไม่เห็นบ้านข้างๆ เพราะมีกำแพงสูงกั้นไว้ แต่ก็รู้ว่าบ้านหลังนั้นใหญ่โตแค่ไหน
ในเมืองอู่เฉิง มีใครบ้างไม่รู้ว่าเจ้าของบ้านหลังใหญ่หลังนั้นเป็นใคร
แม่ทัพกู้เหว่ยนั่นเอง!
แต่…นั่นก็ไม่ใช่เรื่องของนางสักนิด
“พี่ชายหลิ่ว ข้าขอเรียกท่านแบบนี้ได้ไหม”
“ตามใจเจ้าเถอะ”
“ขอบคุณพี่ชายหลิ่ว ข้าชื่อตงตง”
“ตงตง” เขาทวนชื่อของนางก่อนจะถาม “ทำไมถึงผ่าฟืนเอง พ่อเจ้ายังไม่ยอมออกจากห้องอีกแล้วหรือ”
เหยียนหลิ่วถามราวกับรู้สถานการณ์ในบ้านจางอยู่แล้ว
ก็ไม่แปลกหรอก ในเมื่อนางกับเขาอยู่บ้านติดกัน
นางพยักหน้าทีหนึ่ง “นอนตายอยู่ในบ้านเหมือนเดิม”
“อะไรนะ เขาตายแล้วหรือ!” เหยียนหลิ่วเบิกตา อุทานอย่างตกใจ
สีหน้าแบบนั้นเหมือนเชื่อคำพูดของนางจริงๆ
ตงตงรีบแก้คำพูดใหม่
“ข้าแค่เปรียบเปรย เขายังไม่ตาย”
เด็กหนุ่มร้อง อ้อ ด้วยสีหน้าโล่งใจ สักครู่ เขาก็หัวเราะออกมา
“ฮะๆ ข้าเพิ่งเคยคุยกับเจ้าครั้งแรก ไม่คิดว่าจะเป็นคนตลกขนาดนี้”
“ไม่เห็นมีอะไรน่าขำเลย”
“ถึงข้าจะเห็นพวกเจ้าจากบนกำแพงก็เถอะ แต่ก็รู้ว่าตั้งแต่ที่แม่เจ้าเสีย บรรยากาศในบ้านจางก็อึมครึมหดหู่ พอไม่เห็นเจ้าออกมาเตรียมของไปขายหลายวัน เหมือนบรรยากาศรอบตัวเจ้าจะเปลี่ยนไปนะ แต่แบบนี้ก็ทำให้ข้ารู้สึกวางใจหน่อย”
คำพูดของเด็กหนุ่มแสดงออกชัดว่าเป็นห่วงเป็นใย แต่พอคิดไปคิดมา นางพลันหรี่ตามองฝ่ายนั้นด้วยความสงสัย
“ข้าเพิ่งรู้พี่ชายหลิ่วชอบปีนกำแพงแอบดูคนอื่น”
“ปะ เปล่าๆ” เหยียนหลิ่วโบกมือด้วยสีหน้าร้อนรน “ข้าปีนขึ้นกำแพงเพื่อฝึกฝนเท่านั้น”
“ฝึกฝนหรือ?”
“บอกเจ้าตรงๆ ก็ได้ ข้าอยากเป็นทหารน่ะ แต่พอไปสมัครกลับไม่มีใครรับข้าสักคน ข้าเลยต้องฝึกฝนด้วยตัวเอง เช้าๆ พวกทหารกับองครักษ์ในบ้านจะออกมาฝึกฝนกันที่ลานกว้าง ข้าก็เลยปีนขึ้นไปบนกำแพง ดูวิธีการฝึกฝนของพวกเขา แล้วจำเอามาฝึกซ้อมเอง”
ไม่รู้หรอกว่าในบ้านหลังนั้นเหยียนหลิ่วมีฐานะเป็นทาสหรืออะไร แต่ยิ่งฟังเขาพูดเรื่องตัวเอง ตงตงก็ยิ่งรู้สึกสงสารจับใจ
“ข้ามองเจ้าจากบนกำแพงเพราะความบังเอิญ เข้าใจหรือยัง”
“ข้ายอมเชื่อท่านก็ได้”
พอตอบออกไป จู่ๆ ก็เกิดความคิดที่อยากจะสนับสนุนด็กหนุ่มคนนี้
เขามีความกล้าหาญ มุ่งมั่น และยังใจดีเข้ามาช่วยนาง แค่นี้ก็ทำให้นางอยากตอบแทน
“พี่ชายหลิ่ว”
“อะไรหรือ”
“ปกติแล้วท่านฝึกฝนร่างกายอย่างไรหรือ”
“หลังจากดูพวกเขาฝึกซ้อม ข้าก็หาไม้เหมาะมือสักอัน แอบทำท่าเลียนแบบพวกเขา นับจนถึงหนึ่งพันครั้งแล้วค่อยกลับไปทำงาน” เหยียนหลิ่วพูดพลางยิ้มเขิน
“ทุกเช้าเลยหรือ” ตงตงตาโตขณะถามย้ำ
“ใช่”
ไม่ใช่เรื่องน่าอายเลยสักนิด ฝึกฝนด้วยตัวเอง แถมยังทำจนครบหนึ่งพันครั้ง เขามีความตั้งใจมากเลยไม่ใช่หรือ
“เจ้าถามทำไม”
“ท่านมาช่วยข้าผ่าฟืนดีหรือไม่ นอกจากจะได้เงินค่าจ้าง ท่านยังได้ฝึกร่างกาย แล้วก็ไม่ต้องแอบฝึกคนเดียวด้วย”
เหยียนหลิ่วฟังข้อเสนอของนางพร้อมแสดงสีหน้าลังเล
“ท่านบอกว่าต้องแอบฝึก คงไม่มีพื้นที่ให้วิ่งใช่หรือไม่”
“นั่นก็ใช่”
“ถึงบริเวณบ้านจางจะไม่ได้กว้างมาก แต่ท่านสามารถใช้พื้นที่ทั้งหมดนี้ฝึกฝนได้นะ จะตีลังกา วิ่งไปรอบๆ หรือจะหวดไม้สักกี่ครั้งก็ทำได้ ข้าอนุญาต”
“จริงหรือ”
“ข้าจะโกหกท่านไปทำไม”
เหยียนหลิ่วครุ่นคิด สักครู่ก็ตอบมา
“ได้ ตกลงตามนี้”










































































