บทที่ 7 7
“ฉันไม่อยากเป็นตัวถ่วงเขานะเอ พอรู้ว่าเคนกำลังจะไปเรียนต่อฉันก็รู้แล้วว่าเรื่องของเราควรสิ้นสุดกันแค่นี้ ฉันควรปล่อยเขาไป ให้เขาได้มีชีวิตที่ดีกว่าการมาจมปลักอยู่กับผู้หญิงต่ำต้อยอย่างฉัน เขาจะมีอนาคตที่ดี ฉันไม่รู้ว่าจะพูดยังไง ฉันก็เจ็บปวดนะเอ แต่ทำยังไงได้ในเมื่อเราแตกต่างกันขนาดนี้ และที่สำคัญนี่จะเป็นการช่วยต่อลมหายใจของแม่ ท่านขอร้องว่าให้ฉันหยุดความสัมพันธ์กับเขา แม่กลัวว่าฉันจะผิดหวังและถ้าหากฉันผิดหวังแม่ก็จะเจ็บปวดยิ่งกว่าฉันหลายเท่า แม่คงทนไม่ไหวเพราะตอนนี้แม่กำลังไม่สบาย และสิ่งที่ดีที่สุดก็คือการทำตามความต้องการของแม่ทุกอย่าง”
“แล้วยะหยาจะทนเจ็บปวดที่ต้องจากกคนที่ตัวเองรักได้อย่างนั้นเหรอ?”
“ยะหยาทนได้...ทนได้ทุกอย่าง ถ้ามันจะเป็นความสบายใจของแม่ ถ้ามันจะทำให้แม่หายป่วย ถึงต้องเฉือนหัวใจตัวเองออกเป็นชิ้น ๆ ยะหยาก็จะทำ”
คำบอกเล่าถึงเหตุผลสำคัญของการหลีกห่างจากคนรักของเพื่อนสนิทดังก้องในหูของเอริณ และทำให้เธอคิดไปถึงคำพูดที่หลุดออกมาจากปากของคนอีกคน
“เรื่องที่แม่บอกว่าแม่ป่วยเป็นโรคหัวใจนั่นก็แค่เรื่องโกหก...แต่เอต้องเก็บเรื่องนี้ไว้อย่าให้ยะหยารู้เป็นอันขาด แม่บอกเอเพราะเห็นว่าเป็นเพื่อนที่ยะหยาไว้วางใจมากที่สุดและอยากให้เข้าใจว่าที่แม่ทำไปเพราะมีเหตุผล เคนพยายามขอพบยะหยาแต่แม่ไล่เขาไป แม่โกหกว่ายะหยากำลังคบกับผู้ชายคนใหม่ แม่จำเป็นต้องกีดกันความรักของลูกกับผู้ชายคนนั้นเพราะแม่เคยผิดหวังมาก่อน เอรู้ใช่มั้ยว่ายะหยาไม่มีพ่อ มันเป็นความผิดของแม่เองที่เคยหลงรักคนรวย แม่คิดว่าเขาจะรับผิดชอบแต่แล้วเขาก็ทอดทิ้งแม่กับยะหยาไว้เพียงลำพัง แม่ไม่อยากให้ลูกของแม่ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดอย่างนั้น ยอมให้เขาเจ็บวันนี้ดีกว่าจะต้องมานั่งเสียใจเหมือนอย่างแม่ คนมีเงินไม่มีวันที่เขาจะจริงใจกับคนที่ไม่มีอะไรอย่างเรา”
เอริณรับฟังความเจ็บปวดของแม่ลูกที่ต่างมาระบายกับเธอและเธอก็ได้แต่เก็บงำสิ่งเหล่านั้นเอาไว้แม้จะเห็นว่าเคนทุกข์ใจอย่างมากก่อนเดินทางออกจากสหรัฐเพื่อไปเรียนต่อและได้ยินประโยคสุดท้ายของผู้ชายคนนั้น
“ผมจะไม่ลืมว่าญาญ่าทำอะไรไว้กับผมบ้าง”
หญิงสาวไม่รู้ว่านั่นเป็นคำตัดพ้อหรือการคาดโทษไว้ด้วยความเกลียดชัง แต่มีอะไรบางอย่างบอกเธอในการมาพบกันครั้งนี้ว่า เคนไม่ได้รู้สึกกับมษยาเหมือนเดิมอีกต่อไป
“ยะหยาอย่ากังวลไปเลยนะ” เอริณจับมือเพื่อนรักเอาไว้แน่น “เอจะไม่บอกเรื่องนี้กับเคนอย่างเด็ดขาด เขาจะไม่รู้ว่าทำไมยะหยาถึงต้องไปจากเขา”
“ขอบคุณมาก...เอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของยะหยา”
มษยากอดเพื่อนของเธอและเผลอร้องไห้ออกมาก่อนจะรีบปาดน้ำตาเมื่อนึกได้ว่าถึงเวลาที่ต้องกลับไปแผนก หญิงสาวผละจากเพื่อนของเธอพร้อมพูดว่า
“เอ...ขอบคุณมากนะ แต่ตอนนี้ยะหยาคงต้องรีบกลับไปพบคุณโดโรธีก่อน เธอเป็นหัวหน้าฝ่ายบุคคลที่รับยะหยาเข้าทำงาน”
“ตามสบายเลยนะ ดูสิ...ตาแดงหมดละ รีบเช็ดน้ำตาและทำทุกอย่างเป็นปกติ เอสัญญาว่าจะรักษาความลับของเพื่อไว้อย่างดี”
“ขอบคุณมากนะเอ...ขอบคุณมาก”
มษยาดึงมือเพื่อนรักมาจับไว้แน่นก่อนปล่อยให้เป็นอิสระและเดินกลับไปยังลิฟท์ เอริณมองตามด้วยแววตาที่ฉายประกายกล้าขึ้น เธอรำพึงกับตัวเองเบา ๆ
“จ้ะ...ยะหยาเพื่อนรัก...เอจะเก็บเรื่องของยะหยาไว้อย่างดี ไม่ต้องห่วงหรอกนะ เคนจะไม่มีวันรู้เรื่องนี้อย่างเด็ดขาด”
บทที่ 4 รักที่ยังคงอยู่
มษยารีบกลับไปที่ห้องเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลหลังกลับจากการเข้าพบท่านประธานเป็นการส่วนตัวและได้รับการแจกแจงงานจากออแลนโดก่อนถูกส่งตัวไปยังฝ่ายบัญชีเพื่อพบและทำความรู้จักกับหัวหน้าแผนกซึ่งเป็นหญิงวัยสี่สิบกว่าชื่อโดโรธี พรินซ์ตันเนอร์ เธอแนะนำตัวกับมษยาเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงอังกฤษชัดเจนเพราะเธอเกิดในลอนดอนและท่าทางเนี๊ยบทุกกระเบียด ตอนแรกที่ได้พบมษยารู้สึกเกร็งแต่ก็เป็นที่น่าประหลาดใจว่าโดโรธีไม่ได้จุกจิกจู้จี้แต่อย่างใดแม้ว่าเวลาพูดกับพนักงานคนอื่นในแผนกเธอจะเสียงแข็ง แต่สำหรับมษยาแล้วโดโรธีกลับพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบและยังไม่ได้มอบหมายงานอะไรให้เธอทำนอกจากกล่าวเพียงว่า
“วันนี้ฉันอนุญาตให้เธอกลับไปก่อนได้ ส่วนชุดฟอร์มทำงานให้เธอไปที่ร้านตามที่อยู่นี้”
โดโรธี หญิงผิวขาวร่างระหงใบหน้าสวยแต่ดูเคร่งเครียดและมีเรือนผมสีน้ำตาลบรูเน็ตเข้มในชุดสูทตัดเย็บเรียบเนี๊ยบสีเทาดำสมกับเป็นหัวหน้าแผนกกล่าวขณะยื่นนามบัตรใบเล็กให้พนักงานคนใหม่ที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานตัวใหญ่ของเขา มษยารับกระดาษใบเล็กมาดูและย่นคิ้วเล็กน้อยก่อนเงยหน้าขึ้นและกล่าวกับเจ้านายของเธอว่า
“เอ้อ...โทษทีนะคะคุณโดโรธี...”
“เรียกฉันว่าดีดี้ก็ได้นะ”
“เอ้อ...ค่ะ”
“แล้วเธอมีอะไรสงสัยอย่างนั้นเหรอ มษยา...อืม..ชื่อเธอเรียกยากจัง”
“เรียกฉันว่าญาญ่าก็ได้ค่ะ...คือฉันสงสัยว่า นี่เป็นนามบัตรของร้านเวอร์ซาเช่”
“ก็ใช่...แล้วเธอจะสงสัยอะไร”
“มันเป็นร้านของดีไซเนอร์ชื่อดังนี่คะ ค่าตัดก็คงจะแพงมากใช่ไหมคะ”
โดโรธีอมยิ้ม “นั่นไม่ใช่ปัญหาหรอกนะ สิ่งสำคัญก็คือเธอต้องไปตามที่อยู่ของร้านนี้วันนี้นะญาญ่า”
“ค่ะ...แต่ว่า...ฉัน...”
