บทที่ 3 3

เห็นเธอยืนยันหนักแน่นก็เกิดอยากจะลองแกล้งดูสักตั้ง เขาจึงค่อย ๆ โถมตัวแนบกับแผ่นหลังบอบบาง ไขว้แขนเข้าหากันแล้วค่อย ๆ ผ่อนน้ำหนักลงไปจนหมดก่อนจะเอาขาขึ้น

“ไหวแน่นะครับคุณ”

“ไหวสิคะ ฉันนับหนึ่งถึงสามแล้วคุณยกขาขึ้นมาเลยนะคะ หนึ่ง สอง สาม ฮึบ.. หนักใช่เล่นเลยนะคะ” เธอยังมีอารมณ์กลั้วหัวเราะแม้ภาระบนหลังจะหนักหน่วงจนแทบทรุด แต่เมื่อเธอฮึดสู้ ปลุกพลังยักษ์ที่ซุกซ่อนอยู่ในตัวขึ้นมา ก็รู้สึกว่าพอทนไหว “ฉันจะพาคุณไปขึ้นลิฟต์ที่ลานจอดรถนะคะ เพราะมันใกล้สุด ฉันจะได้พักตอนอยู่ในลิฟต์ด้วย เก็บแรงไว้แบกคุณต่อรอบสองตอนถึงชั้นที่พักไงคะ”

ชายหนุ่มผู้บริหารมามิยะในประเทศไทยอยากหัวเราะกับความคิดของหญิงสาว เธอโง่หรือว่าจิตใจดีจนเกินเหตุกันแน่ ถ้าเป็นเขา เขาจะไม่ทำแบบนี้เด็ดขาด แต่จะไปตามพนักงานโรงแรมที่เป็นผู้ชายมาช่วยแทน เขามองซีกหน้าละมุนที่ชื้นเหงื่อหรือฝนก็ไม่แน่ใจ รู้สึกอยากจะยื่นมือไปเช็ดให้เธอขึ้นมาดื้อ ๆ

“ปล่อยผมลงก่อนก็ได้นะ” เขาบอกกับเธอเมื่อไปถึงหน้าลิฟต์ “ผมนับถือคุณจริง ๆ ตัวก็เล็กนิดเดียวแต่แบกผู้ชายตัวโตอย่างผมได้” เขาชวนเธอคุยขณะรอให้ลิฟต์มารับ

“ฉันมียักษ์อยู่ในตัวค่ะ เวลาอยากทำงานใช้แรงก็ปลุกมันขึ้นมา”

“คุณทำงานอยู่ที่นี่เหรอ”

“ค่ะ แต่ไม่ใช่พนักงานประจำหรอกนะคะ มาทำพาร์ตไทม์เฉพาะเวลาที่ฝ่ายจัดเลี้ยงต้องการพนักงานเพิ่ม ลิฟต์มาแล้วค่ะ คุณเขย่งเข้าไปได้ไหมคะ”

“ได้ครับ แล้วมาทำบ่อยไหม” เขาตอบรับ แล้วเริ่มชวนคุยต่อเมื่อเข้าไปอยู่ในลิฟต์

“ค่อนข้างบ่อยนะคะ เพราะที่นี่ได้รับความนิยมมาก ก็เลยมีงานเลี้ยงต่อเนื่อง เต็มเกือบทุกห้องตลอด”

“แล้วทำไมไม่มาทำประจำล่ะ”

“ฉันยังเรียนหนังสืออยู่ค่ะ”

“อ๋อ เป็นนักเรียนนี่เอง คุณชื่ออะไร ผมชื่อไค เคนชิน เป็นคนญี่ปุ่น”

“ฉันชื่อสุภัครพี... นามสกุลสนิทศรีศิลป์ค่ะ” เธอลังเลอยู่สักพักว่าจะบอกนามสกุลด้วยหรือไม่ แต่ในเมื่อเขาบอกมาแล้วก็เลยบอกบ้าง

“นามสกุลคุณคุ้นหูผมมากเลย” ไคขมวดคิ้วมุ่น พยายามนึกว่าเคยได้ยินหรือรู้จักกับใครที่นามสกุลนี้ แต่ก็นึกไม่ออก และเสียความมั่นใจสุด ๆ ที่เธอไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับการแนะนำตัวของเขา เขาเป็นถึงเจ้าของโรงแรมที่เธอทำงานอยู่นะ เธอไม่คุ้นบ้างเลยเหรอ

“อาจจะแค่คล้ายมั้งคะ คนจน ๆ แบบฉันไม่เคยรู้จักคนต่างชาติหรอกค่ะ” เธอกดลิฟต์ค้างแล้วหันหลังให้เขาเมื่อลิฟต์มาถึงชั้นที่เขากด นับหนึ่งถึงสามให้จังหวะเขาเหนี่ยวขาขึ้น

...เมื่อมาถึงห้องพักของเขาเธอก็ร้องอุทานอยู่ในใจ เพราะมันกว้างขวาง โอ่อ่า เรียกว่าอลังการแบบสุด ๆ เป็นบุญตาสำหรับเธอเหลือเกินที่ได้ย่างกรายเข้ามา

“ขอบคุณมากนะที่อุตส่าห์แบกยักษ์อย่างผมมาส่งถึงห้องพัก” ไคบอกกับหญิงสาวที่แบกเขามาส่งถึงโซฟา “นั่งพักดื่มอะไรสักหน่อยสิ”

“ไม่ดีกว่าค่ะ คุณถึงห้องปลอดภัยฉันก็ดีใจแล้ว ฉันลากลับเลยก็แล้วกันนะคะ” สุภัครพียกมือไหว้ชายหนุ่มที่เพิ่งสังเกตว่าทั้งหล่อและบุคลิกดีอย่างนอบน้อม ส่งยิ้มสดใสให้กับเขาแล้วหมุนตัวเดินจากไป พอพ้นออกมาจากห้องก็รีบยกมือนวดบริเวณบั้นเอว “สงสัยต้องจัดยาแก้ยอกสักเม็ดแล้วเรา”

ไคขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เมื่ออยู่ดี ๆ หญิงสาวที่เขาแอบมองผ่านกล้องวงจรปิดที่ติดไว้ทั่วทั้งชั้นส่วนตัวชั้นนี้ เดินกลับมาเคาะประตูห้อง

“ครับ” เขาขานรับทั้งที่ข้างนอกไม่ได้ยิน รีบกระโดดกระต่ายขาเดียวไปเปิดประตู “อ้าว! ลืมอะไรเหรอครับ” เขาแกล้งทำเป็นตกใจที่เธอกลับมา

“เปล่าค่ะ แต่ฉันเพิ่งนึกได้ว่าลืมถามอาการบาดเจ็บของคุณ อยากให้ฉันตามหมอให้ไหมคะ หรือจะให้พยาบาลเบื้องต้นก่อนไหม”

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมโทรบอกเลขาก็ได้ ขอบคุณมาก ๆ” เธอทำให้เขาซาบซึ้งในความมีน้ำใจ

“ถ้าอย่างนั้นก็รีบโทรนะคะ ถ้าอาการหนักจะได้รีบไปโรงพยาบาล ฉันไปก่อนนะคะ” เธอฉีกยิ้มกว้างแล้วโค้งศีรษะให้เขา “คุณเป็นคนญี่ปุ่นที่พูดไทยได้ชัดมากค่ะ” ชูนิ้วโป้งก่อนจะเดินจากไปจริง ๆ

ชายหนุ่มเจ้าของโรงแรมอมยิ้มกับอาการโก๊ะ ๆ ของหญิงสาว มองเธอเดินห่างออกไปเรื่อย ๆ จนลับตาจึงปิดประตู

“สุภัครพี สนิทศรีศิลป์ นามสกุลทำไมถึงคุ้นนักนะ” เขากระโดดขาเดียวไปที่โซฟา เปิดสมุดโทรศัพท์หาเบอร์ของเลขาแล้วโทรออกด้วยโทรศัพท์ภายในห้องพัก

………………

“บอสจะกลับไปพักที่โรงแรมหรือกลับบ้านคะ” เลขาวัยสามสิบสี่ปีนามว่ามัณฑนา ถามเจ้านายที่เด็กกว่าสองปีอย่างนอบน้อม เมื่อนั่งรถออกจากโรงพยาบาล

“ถ้าคุณลุงไม่อยู่ผมก็ไม่อยากกลับบ้านหรอก” เขาเบื่อที่จะกลับไปบ้านที่เคยเป็นเรือนหอเรือนรักของลุงกับภรรยาของท่าน เพราะเบื่อที่จะเจอกับญาติ ๆ ฝ่ายมารดาของภรรยาท่าน ที่ขยันวนเวียนไปหาเหมือนกับที่นั่นเป็นมูลนิธิ “กลับโรงแรมดีกว่าคุณมัน”

“ค่ะบอส บอสคะแล้วเรื่องงานจะเอายังไงดีคะ จะให้มันหอบไปให้ที่โรงแรมไหมคะ”

“ไม่ต้องหรอกคุณมัน วันหยุดสองวันนี้ผมว่าจะรักษาตัวให้เต็มที่ วันจันทร์ก็คงจะดีขึ้น เพราะแค่เคล็ดเท่านั้น”

“ถ้าอย่างนั้นมันก็ต้องโทรยกเลิกนัดคุณปฐพี”

“อือ” ไคตอบรับในลำคอ “คุณมันไปแทนก็ได้นี่ ตีกอล์ฟเก่งอยู่ไม่ใช่เหรอ” เขาพูดยิ้ม ๆ จงใจแซวเลขาสาว ที่รู้จักกันมาตั้งแต่เริ่มมาบริหารงานในประเทศไทยเมื่อสิบปีก่อน เพราะรู้ว่าเธอกำลังคบหาดูใจกับบอร์ดผู้บริหารคนหนึ่งของมามิยะไทยแลนด์

บทก่อนหน้า
บทถัดไป