บทที่ 3 2
แรงสะอื้นทำให้สั่นไปทั้งตัว ขณะชุดสีสวยร่วงลงพื้นตามแรงโน้มถ่วง แขนขาวทิ้งลงแนบกายพยายามอย่างมากที่จะไม่ยกมันขึ้นมาปิด เรือนร่างกึ่งเปลือยจึงมีเพียงกางเกงชั้นในลายลูกไม้กับบราซิลิโคนสีเข้มกว่าผิวปกปิดจุดสำคัญ
‘งามยอมเป็นของคุณ’
ตะวันขบกรามแน่น แก่นกายของเขาร้อนผ่าวและขยายใหญ่อย่างน่าอาย หากลึกในใจยังสับสนกับความรู้สึกของตัวเอง เขาจัดเป็นผู้ชายประเภทที่หัวใจอ่อนไหวต่อความงดงามของเรือนร่างผู้หญิง แต่คนที่สวยหยาดฟ้ามาดินที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือคนที่เขาเกลียด
‘แน่ใจแล้วหรือ’
คิดว่าทำแบบนี้แล้วจะทำให้ความเกลียดในใจเขามันน้อยลงหรืออย่างไร นั่นคือสิ่งที่ฟ้างามไม่แน่ใจเลย แต่เธอก็ยอมแลกทุกอย่างได้ แม้โอกาสจะมีเพียงน้อยนิด
‘ค่ะ’
กรามแกร่งขบเข้าด้วยกันจนขึ้นสันนูน
ที่ฟ้างามพยายามเอาตัวเองเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับทุก ๆ เรื่องในชีวิตเขา ที่เธอพยายามทำมาทั้งหมดก็เพื่อสิ่งนี้สินะ ความคิดนั้นทำให้เขากำหมัดแน่น ความโกรธปะทุพลุ่งพล่านอยู่ในหัวใจจนยากที่จะบรรเทาลง
ตะวันปราดเข้าไปกระชากไหล่มนเต็มแรง แล้วร่างสวยก็ถูกดันจนชิดผนัง ยังไม่ทันที่จะได้ตั้งตัวเรียวปากบอบบางก็ถูกปากหนาครอบครองอย่างกักขฬะ
ฟ้างามรู้สึกผวาเมื่อเขาไม่มีทีท่าว่าจะผ่อนแรง จุมพิตเร่าร้อนครานี้ราวกับจะดูดกลืนเอาวิญญาณออกไปจากร่างกายของเธอ แน่นอนว่ามันปราศจากความรัก หากเต็มไปด้วยอารมณ์โมโหและเกลียดชังผสมปนเปกันไป จนได้รสปร่าของเลือดจากปากเธอ เขาจึงคลายจูบ
เธอตัวสั่นน้ำตาซึม ท่าทางดุดันของเขาชวนให้หวั่นใจ และอยากจะถอนตัวกลับไปเสียตอนนั้น แต่คนอย่างเธอเมื่อตัดสินใจอะไรแล้วจะไม่มีวันเปลี่ยนใจ
‘ฉันจะทำให้เธอรู้ว่าเธอคิดผิด!’
ตะวันกดเสียงต่ำใกล้หู มือข้างหนึ่งยกเรียวขาของฟ้างามขึ้นมากอดกับเอวสอบของเขา พลางเกี่ยวเป้ากางเกงชั้นในลายลูกไม้สีหวานเพื่อแหวกทางรุกราน
หัวใจของหญิงสาวเต้นรุนแรงเหลือเกินตอนที่ตะวันจัดการปลดกางเกงออกจากเอวแล้วจับความเป็นชายที่เหยียดขยายมาจรดกับโพรงน้ำผึ้งร้อนฉ่า
‘โอ๊ย’
หลุดเสียงร้องออกมาเมื่อเขาโถมเข้ามาในกายเต็มกำลัง ความเจ็บปวดจากกลางลำตัวทำให้คนตัวบางจิกเล็บกับต้นแขนหนา พลันสะอื้นไห้น้ำตาไหล เจ็บจนแทบจะลืมหายใจเลยด้วยซ้ำ
คุณตะวันได้โปรดอย่ารุนแรงกับงามเลย...
เสียงนั้นดังอยู่ภายในใจและสุดท้ายเธอไม่กล้าพูดมันออกมา เพราะคิดว่าในเมื่อเธอเลือกให้มันเป็นแบบนี้เองก็ต้องรับทุกความเจ็บปวดให้ได้ด้วยเหมือนกัน
‘ฮึก...’
หากเสียงสะอื้นขาดห้วงนั้น เธอไม่อาจกลั้นเอาไว้ได้เลย
เคยได้ยินเพื่อน ๆ พูดกันว่าครั้งแรกของผู้หญิงมักจะเจ็บมากกว่าสนุก
แต่ไม่คิดว่ามันจะเจ็บขนาดนี้ ยิ่งตะวันไม่ได้เล้าโลมหรือปรานีอย่างที่ผู้ชายควรปฏิบัติต่อคู่นอนที่ยังไม่เคยผ่านมือใครด้วยแล้ว ฟ้างามก็อยากจะกลั้นใจตายเสียเดี๋ยวนั้น ทุกครั้งที่เขากระแทกกระทั้นเข้ามา ทำให้รู้สึกราวกับว่าร่างกายกำลังจะถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ
สำหรับเขา... สิ่งที่ขับเคลื่อนบทสวาทร้อนแรงคือความโกรธและความเกลียด
แต่สำหรับฟ้างาม... เธอยอมแลกทุกอย่างได้เพราะคำว่ารักคำเดียว แม้สิ่งที่ได้กลับมาคือความเจ็บปวดแสนสาหัสก็ตาม
เมื่อบทรักจบลง สิ่งเดียวที่เขาหลงเหลือให้ฟ้างามคือความโศกเศร้าอาดูร น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลอาบแก้มขาว หัวใจร้าวระบมพอ ๆ กับทุกส่วนของเรือนร่างที่เขาจับต้อง ในขณะที่ความหม่นหมองคืบคลานเข้ามากัดกินจิตใจอย่างเชื่องช้า
ความปรารถนาที่ปราศจากความรักไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย... ตรงกันข้าม ถ้าดูจากสายตาเขา มันยิ่งตอกย้ำให้รู้ว่าตะวันชิงชังเธอมากเพียงใด
‘หยุดร้อง’
เขาสั่งตัดรำคาญ ขณะจัดเครื่องแต่งกายให้เรียบร้อย ก่อนเดินไปหยิบชุดเธอที่กองบนพื้นแล้วโยนมาให้ เธอกอดมันไว้พลางสะอื้นไห้จนตัวโยน แต่จะโทษใครได้ ในเมื่อเป็นฝ่ายเสนอตัวให้เขาเอง
‘สมใจแล้วสินะ’
ฟ้างามมองตามคนพูดซึ่งกำลังเดินไปนั่งโซฟา เขาดูหงุดหงิดกับการกระทำของตัวเองจนเธอรู้สึกละอายใจและอับอายอย่างที่สุด ตะวันคิดไม่ตกว่าจะเอาอย่างไรกับเรื่องที่เกิดขึ้น
เธอเองก็ไม่กล้าบอกใคร... โดยเฉพาะพ่อกำนัน
‘ทีนี้ก็ว่ามา เธอต้องการอะไร ตอนนี้ฉันเล่นตามเกมเธอแล้ว’
ไม่รู้ว่าเสียงสะอื้นขาดห้วงสร้างความรำคาญใจให้เขาหรือเปล่า ฟ้างามรู้แค่เพียงตอนนี้เสียใจที่ยอมทำเรื่องน่าอายลงไป
‘งามไม่ได้ต้องการอะไร ขอแค่คุณตะวันอย่าทิ้งงาม’
แม้รู้ว่าเขาไม่รักแต่ตัวเธอเองก็ไม่เคยเข้มแข็งพอที่จะตัดใจ ยิ่งตอนนี้ผูกพันกันมากกว่าความรู้สึกทางใจ ก็ยากเหลือเกินที่จะห้ามใจไม่ให้รักเขา
‘แค่นี้?’
ฟังจบฟ้างามก็พยักหน้า จากนั้นเขาก็เงียบไปพักหนึ่ง... เงียบจนน่าใจหาย เขาทำเหมือนเธอไปสร้างปัญหาชีวิตอันใหญ่หลวงให้เขาอย่างไรอย่างนั้น แล้วเธอก็เกือบจะร้องไห้โฮเมื่อในที่สุดเขาก็พูดออกมาว่า
‘รู้ไหม ที่พูดออกมาแบบนี้ มันไม่ได้ทำให้ฉันมองเธอในแง่ดีเลยนะ’
‘…’
‘ฉันรู้ว่าคนประเภทเธอน่ะ ถ้าไม่หวังผลตอบแทนที่มันโคตรคุ้ม ก็คงไม่ยอมเสียอะไรฟรี ๆ’
คนถูกสบประมาทมองเขาด้วยแววตาตัดพ้อ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนหรือต่อให้เธอยอมแลกด้วยอะไร เธอก็ไม่เคยมีความหมายในสายตาเขาเลย
‘งามต้องการแค่นั้นจริง ๆ’
‘ฉันควรมั่นใจหรือ ว่าเธอจะไม่สร้างปัญหาชีวิตให้ฉัน’
คำว่าปัญหาชีวิตเล่นเอาน้ำตาของเธอไหลลงมาอาบแก้ม
‘มองงามในแง่ดีบ้างเถอะค่ะ’
‘แล้วมีดีอะไรให้มอง’
ตะวันแสยะยิ้มสมเพช ฟ้างามกลั้นเสียงสะอื้นจนตัวโยน หัวใจดวงน้อยอ่อนแอกว่าครั้งไหน ๆ และใช่ว่าจะไม่เคยพบเจอความเจ็บปวด แต่ความเจ็บปวดของเธอมันไม่เคยเกิดขึ้นในฐานะคนถูกรัก
‘เอาเถอะ’ เขาตัดบท ‘ยังไงเธอก็เป็นเมียฉัน แต่ตราบใดที่เธอไม่ล้ำเส้น ฉันก็จะไม่ทอดทิ้งเธอ’
ล้ำเส้นของเขาอย่างนั้นหรือ...
แล้วเส้นกั้นของตะวันคืออะไรกันหนอ ขอแค่เขาบอกมา คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่เธอจะยอมรับ เพราะเธอจะยอมทุกอย่างเพื่อจะได้อยู่ใกล้ ๆ เขา ไม่ว่าจะในสถานะอะไรก็ตาม
ในนาทีนั้นร่างใหญ่เดินเข้ามาหาก่อนจะควักธนบัตรหนึ่งพันบาทหนึ่งใบยัดใส่มือเรียว และคำพูดของเขาก็ราวกับเป็นสายฟ้าฟาดลงกลางใจ
‘ห้ามให้ใครรู้เรื่องนี้ เพราะเมื่อไหร่ที่เธออยากเป็นมากกว่าเมียเก็บ... ฉันจะฆ่าเธอ และถ้าเธอปล่อยให้ตัวเองท้อง... ฉันจะให้คนงานไปฉุดเธอมาข่มขืน เอาให้เด็กมันไหลออกมาต่อหน้าต่อตาฉันเลย’
นั่นคือเส้นกั้นเส้นแรกของคนใจร้าย
ฟ้างามกำธนบัตรเอาไว้ สายตามองเขาเดินจากไป หัวใจของเธอมันกำลังเศร้า เพราะสิ่งที่เสียไปไม่คุ้มกับสิ่งที่ได้มาเลยสักนิด
อย่าว่าแต่จะได้รักกลับมาเลย... แค่ความอ่อนโยนเพียงชั่วนาทีเขาเคยมีให้กันหรือเปล่า
แค่เมตตาให้เป็นเมียเก็บเท่านี้ก็ดีถมไป ต่อให้ไม่อยากเป็นแล้วเลือกอะไรได้บ้าง ทั้งหมดมันเป็นเพราะเธอรนหาที่เอง
นับจากวันนั้นที่สถานะของฟ้างามขยับจากคนนอกสายตามาเป็นเมียเก็บ จนล่วงเลยมาจนถึงทุกวันนี้ ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แล้วมันก็คงไม่มีวันเปลี่ยน
เช่นเดียวกับหัวใจของเขา...
ขณะนี้ตะวันนิ่วหน้ามองร่างอรชรที่ค่อย ๆ ขยับลงจากเตียงอย่างไม่เข้าใจ ฟ้างามคิดจะกลับบ้านเวลานี้แต่ไม่ได้เอ่ยปากขอให้ไปส่งเหมือนทุกครั้ง ซึ่งถ้าเธอคิดว่าอยากให้เขาถามก่อน เธอคิดผิด เพราะความห่วงใยของเขาไม่ได้มีไว้สำหรับผู้หญิงอย่างเธอ
“เดินกลับเองนะ”
น้ำเสียงนั้นเย็นชาเป็นปกติ ไม่ต่างจากแววตาไร้ความเห็นใจนั่นเลย เธอรู้ว่านอกจากตะวันจะไม่รักแล้ว เขาก็ไม่เคยคิดจะไยดี... แต่มันก็เป็นแบบนี้มาตั้งนาน มีแค่เธอที่ยังทน ก็ได้แต่บอกตัวเองให้ชินเสียที แต่มันก็ไม่มีสักครั้งที่จะไม่เสียใจ
“ค่ะ”
ตะวันไม่ได้พูดอะไรต่ออีก พอเห็นแบบนี้ฟ้างามก็แทบจะปล่อยโฮออกมา น้อยเนื้อต่ำใจเหลือเกิน แต่ไม่ต้องการให้เขาเวทนาจึงกลั้นน้ำตาเอาไว้แล้วกล่าวลาเขาเพียงสั้น ๆ
“ไปนะคะ”
ตะวันไม่สนใจ เขาลุกไปหยิบมาร์ลโบโร่มาจุดสูบในขณะที่เธอกำลังสวมใส่เสื้อผ้า ท่าทางเขาผ่อนคลายกว่าตอนหัวค่ำมาก คงเพราะได้ระบายอารมณ์ลงมากับเธอ และยิ่งกว่านั้น เขาได้พูดคุยกับคนที่เขาต้องการแล้ว
ทว่าในจังหวะที่ฟ้างามกำลังจะไป
“เดี๋ยวก่อน” เขาเรียก
เธอจำเป็นต้องหันไปอย่างเสียไม่ได้
ทันทีที่ได้เห็นดวงตาแดงก่ำของคนที่หันกลับมา หัวใจของเขาก็กระตุกวูบ แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะปล่อยความรู้สึกนั้นไป มันไม่สำคัญเท่ากับสิ่งที่เขาจะให้เธอทำ
“ช่วยห่อของขวัญให้หน่อย”
ฟ้างามถอนหายใจใบหน้างอง้ำ เขาคิดว่าเธอมีอารมณ์มานั่งประดิดประดอยมากนักหรือไง แต่พูดไปก็เท่านั้น ตะวันไม่สนอยู่ดีสิ่งที่เขาสนมีแค่ความต้องการของตัวเองเท่านั้นแหละ
“จะยืนโง่อยู่ตรงนั้นอีกนานไหม”
คนฟังกัดริมฝีปากด้านในจนเจ็บ คำก็ด่า สองคำก็ว่า เขาไม่คิดจะทำอะไรที่สร้างสรรค์กว่านี้แล้วหรือ เธอได้แต่ก่นด่าอยู่ในใจ แต่สองเท้าก็ก้าวเข้าไปหาเขาอยู่ดี
ฟ้างามรับกล่องกำมะหยี่สีดำที่ให้ทั้งความรู้สึกโก้หรูเลอค่าชนิดที่ว่าคนอย่างเธอไม่มีค่าคู่ควร ยิ่งเมื่อเปิดดูข้างในจนได้เห็นว่าเป็นเข็มกลัดเพชรรูปหงส์ ก็รู้ในทันทีว่าคนที่ตะวันจะมอบให้ต้องมีความหมายมากมายสำหรับเขา
“ห่อให้สวยที่สุด ถ้าไม่สวยฉันจะให้เธอนั่งห่อใหม่ไปจนถึงเช้า”
คนที่นั่งพับเพียบกับพื้นห้องนอนซึ่งมีกระดาษห่อของขวัญอย่างดีวางอยู่กับกรรไกร ถามตัวเองว่าทำไมต้องทำขนาดนี้ ทำไมต้องทน ทั้งหมดมันก็เพราะรัก แต่เธอรักเขาไม่ได้รักคลาริสานี่นา
“งามไม่ทำแล้วได้ไหมคะ”
เงยหน้าขึ้นพูด ไม่นานเขาก็ลุกจากโซฟาปลายเตียงแล้วขยับเข้ามาเชยคางงามมน ดวงตาคมแกร่งหรี่ลงนิดหนึ่งแล้วเอ่ยถาม
“ทำไม”
“ที่จริงคุณควรทำเอง ถ้าคุณคิดว่ามันจะมีคุณค่าต่อจิตใจของคนรับ”
“แล้วแค่นี้เธอทำให้ฉันไม่ได้เลย ?”
“...”
ฟ้างามปัดมือเขาออกอย่างละม่อม แล้วเมินหน้าไปมองทางอื่นเพื่อยืนยันความต้องการที่จะไม่ทำ ตะวันหรี่ตามองเธอ ความไม่พอใจเริ่มแสดงออกทางแววตา
“ไหนบอกว่ารักฉันไง ทำให้ดูหน่อยสิ”
ฟ้างามไม่รู้เขาต้องการอะไรจากเธอ มันจริงอยู่ที่เธอรักเขา แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องทำทุกอย่างเพื่อคนที่เขารัก คิดได้แบบนี้เธอก็หยิบของมีค่านั้นลุกขึ้นจากพื้นแล้วก็ยื่นให้เขา
“เอาไปให้ร้านห่อให้ดีกว่านะคะ งามจะกลับแล้ว”
เขาไม่ยอมรับมันกลับไป แต่ยืนนิ่งแล้วยิ้มเยาะเธอทั้งปากทั้งตา
“เธออิจฉา” เขาตัดสิน
หัวใจเธอชาวาบ นี่สินะคือสิ่งที่เขาต้องการ อยากให้เธออิจฉา อยากทำร้ายความรู้สึกของเธอโดยตอกย้ำว่าเธอควรอยู่ตรงไหน
แล้วถ้าเธอตอบว่าอิจฉา... ก็คงถูกถากถางด้วยคำพูดเจ็บแสบ
แต่ถ้าตอบไม่ว่าไม่ใช่... นอกจากจะขัดกับความรู้สึกแล้ว เขายังจะไม่เชื่ออีกด้วย
หรือต่อให้ไม่ทำอะไรเลยสักอย่าง คนชื่อฟ้างามก็ผิดเสมอในสายตาของตะวัน
“รับไปนะคะ แล้วให้งามกลับบ้าน”
สิ่งที่เธอทำได้ในตอนนี้คือเดินออกไป เธออยากปล่อยให้มันไหลออกมาแบบไม่ต้องกลัวว่า ‘น้ำตา’ ของเธอมันจะทำให้ใครหงุดหงิดใจ แต่เขาขยับเข้ามาคว้าต้นแขนของเธอไว้แทนที่จะเป็นของมีค่าในมือเธอ
“เธออิจฉาแคลร์ที่จะได้ของมีค่าชิ้นนี้จากฉัน แต่เธอไม่มีวันได้ ถูกไหม?”
ดวงตารื้นเศร้าจ้องเขาอย่างไม่เข้าใจ เมื่อไหร่เขาจะเลิกทำแบบนี้กับเธอสักที เท่าที่เป็นอยู่นี้เธอก็เจ็บจะแย่ ที่ผ่านมาเธอบอกตัวเองเสมอว่าอยู่ในสถานะอะไร ทั้งไม่เคยทำอะไรให้ตะวันปวดหัว แต่ตะวันกลับยั่วให้เธอต้องมีน้ำตาอยู่เรื่อยไป
“งามรู้ว่างามเป็นใครและสิ่งที่งามควรได้คืออะไร”
“มันก็ต้องเป็นอย่างนั้น เพราะเธอเลือกมาอยู่จุดนี้เอง”
พูดอีกก็ถูกอีกนั่นแหละ... ที่เป็นแบบนี้เพราะเธอเลือกเอง แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าผู้หญิงที่เขาเลือกอย่างแม่คลาริสาคนนั้น หล่อนดีพอสำหรับเขาแล้วหรือยัง
“แต่คุณแน่ใจจริง ๆ ใช่ไหมคะว่าคุณแคลร์เธอคู่ควรกับสิ่งที่คุณจะให้”
หัวคิ้วเข้มของตะวันขมวดมุ่น เขาเกลียดนักที่ถูกยอกย้อนเช่นนี้แต่แม่ตัวดีก็ไม่ยอมหยุดพูดเพราะเธอแค่ต้องการเตือนสติเขาเท่านั้น
“จะมั่นใจได้ยังไงว่าเธอจะไม่เป็นเหมือนแม่คุณ!”
“ฟ้างาม !!!”
เขาปราดเข้ามาคว้าไหล่ทั้งสองของเธออย่างแรง ใบหน้าแดงจัดบ่งบอกว่าเขาโกรธแค่ไหน หากเขาควักเอาหัวใจเธอออกมาได้ ก็คงทำไปนานแล้ว
“งามเจ็บนะ !”
“ความอิจฉามันทำให้คำพูดสุนัข ๆ ออกมาจากปากเธอเลยหรือ ฮะ?”
เพราะโดนเปรียบเป็นสัตว์ขนาดนี้ทำให้ฟ้างามใจเย็นไม่ไหว เขาไม่ได้มีความรู้สึกอยู่ฝ่ายเดียว เธอเองก็เจ็บปวดได้และเสียใจเป็นเหมือนกัน
“หมาไม่หมาไม่รู้ แต่ที่รู้ตอนนี้ ใครอยากเอาอะไรให้ใคร ก็ไปทำให้กันเอง”
เธอปาของในมือกระแทกผนังเต็มแรง ตะวันมองสิ่งนั้นกระเด็นลงพื้นกลิ้งมาอยู่แทบเท้า ไม่คิดเลยว่าคนตรงหน้าจะกล้าทำขนาดนี้ อยากรู้ว่าเขาจะเจ็บเหมือนกันไหมเมื่อโดนทำร้ายจิตใจ
ดวงตาวาวโรจน์เปลี่ยนมาจ้องใบหน้าสวยของคนที่เขาคิดว่าภายในนั้นเน่าเฟะเสียยิ่งกว่าโคลนตม คนทำแอบสะท้านกับสายตาคู่นั้น รู้แน่ว่าภัยกำลังมาถึงตัว แม้อยากหายไปจากตรงนั้นมากแค่ไหน มันก็เป็นไปไม่ได้
“มานี่!!!”
เขากระชากแขนบาง พาคนปากกล้าออกมาจากบ้านพักชั้นเดียวที่มีชานเรือนกว้าง ฟ้างามพยายามขืนตัวไว้อย่างสุดความสามารถ
“ปล่อยงามนะ งามเจ็บ ว้าย!” เธอสะดุดขาตัวเองล้มแต่ก็ยังถูกเขาลากไปตามพื้นหญ้าอย่างไม่ปรานี
“คุณตะวันบ้า! ฮือ ๆๆ ปล่อย!”
คำวอนขอไม่มีค่าใด ๆ เพราะเธอทำกับของของเขาถึงขนาดนี้คงปล่อยเอาไว้ไม่ได้ เธอคิดว่าเขาจะอดทนกับคนอย่างเธอได้มากขนาดไหนกัน
“โอ๊ย!”
เหวี่ยงฟ้างามลงกับแอ่งโคลนขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ซึ่งเกิดจากฝนตกหนักตอนหัวค่ำ เนื้อตัวของเธอเลอะโคลนไปครึ่งซีกและไม่เว้นแม้แต่ใบหน้า
“ขอโทษฉันเดี๋ยวนี้!”
“งามไม่จำเป็นต้องขอโทษ!”
ไม่มีความจำเป็นอะไรต้องเอ่ยคำนั้น ในเมื่อตะวันจงใจทำร้ายกันด้วยการสั่งให้ห่อของขวัญบ้านั่น ซ้ำยังเสียดสีด้วยคำพูดต่าง ๆ นานา ดังนั้นถ้าเขาต้องการให้มันออกมาสวยเขาก็ต้องห่อเองน่ะถูกแล้ว
แต่สิ่งไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอีกจนได้ เมื่อตะวันปราดเข้ามาจับต้นคอบริเวณท้ายทอยของเธอแล้วออกแรงกดใบหน้าเปรอะเปื้อนลงใกล้บ่อโคลน
“กรี๊ด”
ฟ้างามหวีดร้องเพราะทั้งตกใจทั้งผวา ตั้งแต่รู้จักกันมาเขาไม่เคยรุนแรงกับเธอแบบนี้มาก่อน หากจะพูดให้ถูกก็คือ ที่ผ่านมาเธอไม่เคยกล้าที่จะทำกับเขาแบบนั้นเหมือนกัน จึงไม่รู้เลยว่าสิ่งที่จะต้องเจอคืออะไร
“พูด!!!”
แม้จะกลัวจนตัวสั่นแต่ริมฝีปากบางก็ยังเม้มสนิท ร่างกายที่เจ็บยังไม่เจ็บเท่ากับหัวใจ ยิ่งสาเหตุของเรื่องนี้มาจากผู้หญิงที่เขารักก็ยิ่งเจ็บปวดเหลือเกิน
ตะวันหัวเราะในลำคอเสียงดังหึ เขาเกลียดนักพวกที่ไม่สำนึกในความผิดของตัวเอง พอเขาใจดีเข้าหน่อย เธอก็คิดว่าจะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบสินะ
แล้วฟ้างามจะได้รู้ว่าตัวเองคิดผิด!
“คุณตะวัน อย่า...”
หญิงสาวร้องห้ามเมื่อเขาออกแรงกดมากกว่าเดิม มือเรียวจับรั้งท่อนแขนใหญ่ป้องกันไม่ให้ถูกกดจมโคลน ทั้งเนื้อทั้งตัวสั่นไปหมด ในอกเจ็บร้าวปวดลึกเพราะรู้เต็มอกว่าเขาไม่เคยเห็นใจ และเธอไม่เคยหวาดกลัวใครเท่านี้มาก่อน
“งามกลัวแล้ว ฮือ...”
“พูดออกมาสิ!”
“กรี๊ด!!!”
แทบจะสิ้นสติสัมปชัญญะเมื่อถูกแรงมหาศาลกดศีรษะลงอีก เรียวปากบางถึงกับต้องละล่ำละลักคำที่เขาต้องการจะฟังออกมา
“งะ... งามขอโทษ... ฮึก... งามขอโทษ”
น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าพรั่งพรูไม่ขาดสาย เขาทำเหมือนเธอเป็นผักปลาที่จะฆ่าจะแกงกันเมื่อไหร่ก็ได้ สภาพเธอในตอนนี้ก็สะบักสะบอมดูไม่จืดเอาเสียเลย กระนั้นคนใจร้ายไม่คิดจะปล่อยมือ เขาดึงเธอขึ้นมา แล้วเค้นเสียงเหี้ยมเกรียมกระซิบชิดใบหูว่า
“คนอย่างเธอก็เหมาะสมกับโคลนตมนี่แหละ อย่าได้คิดได้ฝันถึงหงส์เพชรชิ้นนั้นเลย!”
ที่ผ่านมาฟ้างามคิดว่าตัวเองเป็นแค่ที่ระบาย แต่ความจริงมันร้ายกว่านั้น... เพราะในสายตาของตะวัน เธอเป็นได้แค่เศษสวะน่าขยะแขยง
“ทำไมคุณถึงเกลียดงาม แล้วเพราะอะไรคุณถึงรักคุณแคลร์ขนาดนี้ บอกงามได้ไหม”
รวบรวมความกล้ากลืนน้ำตาลงคอแล้วถามเขาด้วยเสียงสะอื้น
อยากรู้เหลือเกินว่าเธอต้องทำอย่างไรเขาถึงจะยอมเปิดใจ ต้องรักเขาอีกมากแค่ไหนถึงจะเพียงพอให้มองเห็นค่ากัน เหมือนที่ตะวันมองเห็นในตัวของผู้หญิงคนนั้น
แต่สิ่งที่ได้กลับมานั้นคือรอยยิ้มมุมปากอย่างแสนสมเพช ซ้ำด้วยแววตาเย้ยหยันดูแคลนที่เขามองมา ทำให้ฟ้างามปวดลึกในหัวใจ ตะวันกะจะฆ่ากันให้ตายด้วยรอยยิ้มและแววตาแบบนี้เลยใช่ไหม
หากทั้งหมดนี้มันยังไม่ร้ายแรงเท่ากับถ้อยคำตัดสินที่ว่า...
“แคลร์ไม่ใช่ผู้หญิงใจง่ายแบบเธอ”
ตะวันปล่อยร่างบอบบางไร้เรี่ยวแรงลงกับพื้นข้างแอ่งโคลน ฟ้างามก้มหน้าร้องไห้ ปล่อยน้ำตาให้รินไหล แม้รู้ว่าร้องแทบตายเขาก็ไม่คิดใส่ใจ แต่วันนี้เธอไม่ไหวแล้วจริง ๆ
ภาพน่าเวทนานั้นท้าทายความกระด้างในหัวใจเขา แต่เขาไม่ใช่ผู้ชายที่จะพ่ายแพ้ต่อมารยาผู้หญิงได้ง่าย ๆ ตะวันจึงคลี่รอยยิ้มสาแก่ใจ แล้วยอบกายลงไปจับปลายคางสวยขึ้นมา
“จำสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้เอาไว้นะ แล้วต่อไปอย่ามาลองดีอีก”
สิ่งที่เขาพูดพาให้หัวใจเธอชาไปหมด ฟ้างามรู้แล้วว่าต่อให้ทำดีขนาดไหน ทุ่มเทใจไปรักเขามากเพียงใด ก็คงไม่มีวันได้หัวใจเขากลับมา
แต่แปลกดีเหมือนกันที่ว่าแม้ตะวันจะใจร้ายสักเท่าไหร่ เหยียดหยามกันถึงเพียงไหน หัวใจดวงนี้ก็ยังเป็นของเขาไม่เปลี่ยนแปลง แม้เขาจะตราหน้าว่าเธอเป็นผู้หญิงใจง่ายหรือจะป้ายสีให้เป็นคนนิสัยไม่ดีที่เขาไม่มีวันรักก็ตามที
ฟ้างามเดินสะบักสะบอมมารอแท็กซี่ที่ศาลาซึ่งอยู่ไม่ไกลจากไร่ เธอนั่งตรงนั้นแค่ไม่กี่นาทีก็กลัวจนน้ำตาไหล ชะเง้อมองทางใดก็ไม่เห็นวี่แววว่าตะวันจะตามออกมา
นี่กำลังหวังอะไรอยู่...
ต้องการให้เขาเดินออกมาส่งด้วยความห่วงใยเพราะกลัวเธอจะเป็นอันตรายอย่างนั้นใช่ไหม
ทั้งที่เมื่อกี้นี้เขายืนมองเธอพยุงตัวเองลุกขึ้นจากพื้นโคลนด้วยแววตาเฉยชา แม้ในยามที่เธออ่อนแรงล้มลงไปอีกครั้งเขาก็ยังหัวเราะสาแก่ใจ
ดีเท่าไหร่ที่เขาไม่เข้ามารังแกซ้ำ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางพาตัวเองมาถึงตรงนี้ได้หรอก
สิ่งที่เขาทำในวันนี้ก็น่าจะทำให้เธอเลิกหวัง เลิกคิดถึงเขา... จะให้ดีก็ควรเลิกรักให้ได้... เพราะตะวันไม่เคยเป็นห่วงใครนอกจากคลาริสา
ฟ้างามคิดทบทวนพลางก้มมองสภาพเนื้อตัวแสนมอมแมมแล้วถึงกับสะอื้นแรง หากเขาสงสารกันสักนิดคงไม่ทำแบบนี้ ต่อไปคงพอกันที...
จะไม่เสนอหน้าไปให้เขารำคาญตารำคาญใจ แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งเศร้า มือเรียวเสลาจึงขึ้นมากุมหัวใจก่อนจะปล่อยเสียงร้องไห้ระบายความเสียใจอย่างสุดกลั้น
แป๊น ๆ !
เสียงแตรรถทำให้เธอสะดุ้ง คิดว่าน่าจะเป็นแท็กซี่ที่โทร.เรียกไว้ จึงรีบเช็ดน้ำตาแล้วหันไปมอง แต่พบว่าเป็นกระบะสีน้ำเงินกลางเก่ากลางใหม่ที่ติดโลโก้ฟาร์มโคนมศุภโชค
เธอรู้จักชายเจ้าของรถเป็นอย่างดี เขาคือปราปต์ ศุภโชค เป็นเจ้าของฟาร์มโคนม เคยเรียนด้วยกันตั้งแต่มัธยม และมากไปกว่านั้น... เขาเคยจีบเธอมาก่อน
“งามจะไปไหนครับ”
ปราปต์ลดกระจกลงแล้วชะโงกหน้าออกมาถาม สายตาที่มองฟ้างามหวานหยาดเยิ้มเหมือนทุกครั้งที่หนุ่มหล่อเคราเข้มเคยมอง
ฟ้างามอดคิดไม่ได้เลยจริง ๆ ว่าถ้าหากตะวันมองมาด้วยสายตาเช่นนี้บ้าง เธอคงจะมีความสุขไม่น้อยเลยทีเดียว
“สวัสดีค่ะคุณปราปต์”
เธอยกมือไหว้เขาอย่างนอบน้อม แม้จะเป็นเพื่อนกันมานานแต่ด้วยสถานะทางสังคมแล้ว ถือว่าตัวเองเป็นผู้น้อย
ถึงเขาจะดูเป็นคนมุทะลุไปหน่อยแต่ก็เป็นที่นับหน้าถือตาของคนส่วนใหญ่ เนื่องจากนายฝรั่งบิดาเขาเป็นผู้บุกเบิกตำบลนี้
ด้านปราปต์ก็รับไหว้ตามมารยาทและไม่ได้ว่าอะไร แม้จะเคยบอกไปหลายหนว่าไม่ต้องไหว้แต่สุดท้ายก็จบลงเช่นเดิม
“งามจะบอกได้ยัง ว่าจะไปไหน”
“งามจะกลับบ้านน่ะค่ะ เรียกแท็กซี่ไว้แล้วก็เลยมารอที่นี่ คุณปราปต์ล่ะคะ ไปไหนมา”
“ปราปต์ไปคุยเรื่องจัดงานเลี้ยงเปิดฟาร์มที่บ้านนายเมธมาน่ะ”
เขาหมายถึงเมธา เพื่อนสนิทซึ่งเป็นอาจารย์สอนมหาวิทยาลัยในตัวจังหวัด ซึ่งเธอก็รู้จักดีอีกเหมือนกัน อันที่จริงก็รู้จักเพื่อนในกลุ่มของเขาทุกคนนั่นแหละ ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์เมธา ครูประกายแก้ว หรือจะครูอารยาคนที่เรียบร้อยที่สุดในกลุ่ม
“ว่าแต่งามเถอะ ทำไมเนื้อตัวเปื้อนขนาดนี้ล่ะครับ”
ปราปต์อดถามไม่ได้เลย อยากรู้ว่าใครหรืออะไรเป็นสาเหตุทำให้โคลนมาเปรอะหน้าสวย ๆ แถมดวงตากลมโตคู่นั้นยังเศร้าสร้อยจนเขาใจหาย ปากบางน่าจูบก็บวมเจ่อ
ด้านฟ้างามไม่แปลกใจที่เขาถาม แสงไฟจากหลอดตะเกียบบนศาลาทำให้ใครต่อใครเห็นได้ชัดเจนว่าเนื้อตัวเธอเลอะแค่ไหน
“พอดีงามเพิ่งกลับจากตัวเมือง แต่ตอนลงจากรถเมล์ มีรถอีกคันที่ตามมา แล้วเขาขับเร็วมาก ก็เลยเหยียบโคลนกระเด็นใส่ตัวงามน่ะค่ะ”
ได้แต่ปั้นเรื่องโกหกออกไป เพราะเรื่องราวคงบานปลายถ้าปราปต์รู้ว่าหมอหนุ่มคนกรุงผู้เป็นเจ้าของไร่พักตร์ตะวันคือต้นเหตุ
“ไอ้ตีนผีพวกนี้น่าจะโดนปรับทัศนคติ”
คนโกหกได้แต่ยิ้มแหย ๆ
“ให้ปราปต์ไปส่งไหมทางผ่านพอดี” เขาเสนอ
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ งามโทรเรียกแท็กซี่ไว้แล้วค่ะ”
“งามไม่กลัวหรือครับ”
“...”
เธอพูดไม่ออก ลึกลงไปก็กลัวมากเหมือนกัน
คนขับแท็กซี่เป็นใครก็ไม่รู้ คนดีก็มี คนไม่ดีก็เยอะ หากดวงซวยเจอพวกที่คิดร้ายขึ้นมา เธออาจจะแย่ สู้ไปกับเขาซึ่งรู้จักกันมานานไม่ดีกว่าหรือ
ปราปต์ไม่รังเกียจเลยสักนิดไม่ว่าเนื้อตัวจะเปรอะเปื้อนแค่ไหน จนความคิดเธอล่องลอยไปไกล แล้วคิดว่าถ้าตะวันดีกับเธอได้สักครึ่งหนึ่งของปราปต์ เธอก็คงไม่ต้องเสียใจมากขนาดนี้
แต่ในจังหวะที่ขับรถผ่านหน้าไร่นั่นเอง ฟ้างามต้องแปลกใจเมื่อเห็นตะวันขับ ATV เลี้ยวออกมา เขามองตามรถที่เธอโดยสารด้วยสายตาที่เธอก็รู้ดีว่าเขาไม่พอใจ แต่มีเหตุอะไรที่จะไม่พอใจกันล่ะ
...ข้อนี้เธอคิดไม่ออกเลยจริง ๆ
ยิ่งพ่อกำนันเป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านมากเท่าไหร่ บุตรสาวอย่างฟ้างามก็ยิ่งถูกจับจ้องมากเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการเรียน หน้าที่การงาน หรือแม้กระทั่งเรื่องส่วนตัว และยิ่งน่าปวดหัวเข้าไปอีกเมื่อในเช้านี้มีคนเอาเรื่องที่เห็นเธอนั่งรถกับปราปต์ในคืนก่อนมาเหน็บแนมท่านที่ตลาด
“ถามจริง คืนนั้นงามกับคุณปราปต์ไปไหนกันมา”
พ่อกำนันเอ่ยถามขณะช่วยบุตรสาวเตรียมอาหารกลางวันสำหรับไปทานที่ไร่เสาวรส คนเป็นลูกลอบถอนหายใจเบื่อหน่าย สาเหตุที่ไม่อยากให้ท่านไปตลาดก็เพราะปากชาวบ้านนี่แหละ แต่เธอห้ามได้ที่ไหน ท่านก็มีสังคมของท่าน บางทีก็ต้องไปพบปะประชาชนตามหน้าที่
“พ่อจ๋า วันนั้นงามก็เล่าไปแล้วนี่คะ”
คืนนั้นท่านมาเคาะห้องตอนเธอไม่อยู่ถึงรู้ว่าลูกสาวไม่อยู่บ้าน แถมไม่รับสายอีกต่างหาก เพราะฟ้างามตั้งระบบสั่นเอาไว้ จึงได้เห็นคนเป็นพ่อนั่งหลับรออยู่ที่เก้าอี้โยกในห้องรับแขก
ด้วยความที่ไม่อยากให้ท่านไม่สบายใจ เธอจึงโกหกว่าไปทำธุระในเมือง ที่เนื้อตัวมอมแมมก็มาจากรถคันหลังขับเร็วจนโคลนกระเซ็นใส่ ก่อนจะบังเอิญเจอปราปต์แล้วก็มาด้วยกัน
“พ่อคิดว่างามโกหกหรือคะ” เธอไม่ได้พูดเพราะไม่พอใจ แต่เลือกใช้น้ำเสียงและสีหน้าแบบคนขี้สงสัย
“ไม่หรอก” ท่านบอก
ท่านดูเป็นกังวล เพราะโดยพื้นฐานแล้วพ่อกำนันเป็นคนชอบคิดมาก ยิ่งเป็นคนของประชาชนแบบนี้ก็ยิ่งทำให้ท่านแคร์คำพูดชาวบ้านมาก จนบางครั้งมันส่งผลแย่ต่อสุขภาพ
“แต่ชาวบ้านน่ะสิ พูดไปต่าง ๆ นานา”
ตั้งแต่ไหนแต่ไร ฟ้างามไม่เคยทำให้ท่านเสียใจหรือผิดหวัง งานบ้านงานเรือนไม่เคยขาดตกบกพร่อง เรื่องการเรียนนั้นก็ถือว่าเป็นเลิศ ไม่เคยออกนอกลู่นอกทางเลยสักครั้ง ซ้ำยังเป็นเด็กมีสัมมาคารวะไปที่ไหนใครก็รักก็เอ็นดู ไม่ว่าใครก็มักชื่นชมพ่อกำนันที่อบรมเลี้ยงดูบุตรสาวมาอย่างดีแม้จะเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวก็ตาม
“พ่ออย่าไปสนคำพูดของคนพวกนั้นเลยนะคะ เราห้ามดวงตะวันไม่ให้ส่องแสงไม่ได้ยังไง เราก็ห้ามคนไม่ให้นินทาเราไม่ได้อย่างนั้นแหละค่ะ”
วูบหนึ่งผู้ชายคนนั้นก็เข้ามาในห้วงความคิดของเธอ…
ตั้งแต่เกิดเรื่องเมื่อสองวันก่อนก็ไม่คุยกันอีกเลย แม้ตะวันจะโทร.มาบ่อย ๆ แต่เธอก็ไม่เคยรับสาย รู้ดีว่าเขาแค่จะเรียกไปทำหน้าที่ ‘เมียเก็บ’ เหมือนทุกครั้ง
ตะวันจะสนใจเธอก็แค่ในเวลาที่เขา ‘อยาก’ หรือไม่มีที่ระบายก็เท่านั้น พอสมใจแล้ว เขาก็ทำเหมือนเธอไม่มีพ่อไม่มีแม่ จะดูถูกเหยียดหยามอย่างไรหรือเมื่อไหร่ก็ได้
เธอสำคัญแค่ตอนที่อยู่บนเตียง...
สั้น ๆ แต่มันเจ็บ
“ไม่สบายหรือเปล่างาม”
พ่อกำนันยื่นหน้ามองบุตรสาวที่มีสีหน้าเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งเพิ่งจะสังเกตเห็นดวงตาบวมเป่งเหมือนร้องไห้มาทั้งคืน คนเป็นพ่อก็ยิ่งตกใจ
“ทำไมตาบวมอย่างนั้นล่ะ”
“งามคงนอนน้อยน่ะค่ะ”
ฟ้างามแก้ตัวข้าง ๆ คู ๆ พลางส่งยิ้มให้ผู้เป็นบิดา แน่นอนว่าเธอโกหกท่านอีกตามเคย เพราะคงไม่มีพ่อที่ไหนรับได้ถ้ารู้ว่าที่ลูกสาวต้องนอนร้องไห้อยู่ทุกคืน ก็เพราะผู้ชายที่ดูถูกครอบครัวตัวเอง
“เอาจริง งามไม่ต้องตื่นเช้าก็ได้นะ ข้าวปลาอาหารพ่อทำเองได้”
“ได้ยังไงคะ มันเป็นหน้าที่งาม ที่จะต้องทำให้พ่อจ๋านะคะ”
เธอบอกเสียงหวานพร้อมกับเข้าไปสวมกอดท่านอย่างออดอ้อนทำให้ท่านยิ้มกว้าง ฟ้างามเป็นคนขี้อ้อนมาแต่ไหนแต่ไร ท่านถึงได้รักและเอ็นดูเจ้าลูกคนนี้มาก ที่สำคัญ... แววตาคู่นี้ทำให้ท่านนึกถึงมารดาของเธอ ภรรยาผู้ที่เป็นรักแรก รักเดียวและไม่คิดจะให้ใครมาแทนที่นั้นได้
“งั้นก็เอาที่งามสบายใจ”
ฟ้างามกอดท่านอย่างออดอ้อน ก่อนที่พ่อกำนันจะชี้แจงว่าจะเข้าไปทำอะไรบ้างในไร่ แล้วยังจะฝากให้ฟ้างามไปที่ร้านซ่อมอุปกรณ์การเกษตร เพื่อไปเอามอเตอร์เครื่องปั๊มน้ำที่นำไปซ่อมกลับมาให้ในช่วงบ่าย ก่อนจะแยกกันท่านก็ทิ้งท้ายบทสนทนาเช้านี้ด้วยเรื่องที่ว่า
“พ่ออยากให้งามมีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่งนะ ไอ้งานที่รับจาก Professor มาทำ เงินมันดีก็จริง แต่ดูแล้วมันไม่น่าจะมั่นคง สู้เป็นข้าราชการอย่างพ่อก็ไม่ได้ นี่วันก่อนพ่อเจอผอ.อนิรุจ แกว่าที่โรงเรียนแกกำลังจะเปิดสอบครูอัตราจ้าง ยังไงงามลองคิดดูหน่อยแล้วกัน”
ฟ้างามพยักหน้าแบ่งรับแบ่งสู้ แม้ไม่ได้พูดอะไรแต่ใจอยากจะเถียง ถึงงานที่ทำอยู่จะเป็นเพียงงานรับจ้างอิสระ ทว่ารายได้ก็ไม่ขี้เหร่เลย อีกอย่างมันเป็นงานที่ตรงกับสิ่งที่เล่าเรียนมา แล้วเธอก็เล็งเห็นโอกาสที่จะพัฒนาฝีมืออีกมากมาย มันคงไม่ลงท้ายที่อดตายหรอก
ทว่าอย่างไรเสีย พ่อกำนันก็อยากให้รับราชการ เพราะลูกสาวลูกชายเพื่อนท่าน ต่างก็เป็นข้าราชการกันหมด ไม่แปลกใจเลยที่กำลังมองหาที่ทางให้เรียนต่อ ป.บัณฑิตเอาไว้ให้เธอ ซึ่งฟ้างามไม่อยากทำให้ท่านผิดหวัง เลยตั้งใจจะไปลองสอบดูสักครั้ง
ได้ก็ทำ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร
ร้านซ่อมอุปกรณ์การเกษตรอยู่ไม่ไกลจากตำบลที่ฟ้างามอาศัยเท่าไหร่ แต่ประเด็นก็คือว่า เธอต้องขับมอเตอร์ไซค์ผ่านหน้าไร่พักตร์ตะวันด้วยนี่สิ หัวใจมันก็นึกถึงคนที่เธอปฏิเสธสายเขาไปมากกว่าห้าครั้งในวันนี้ และถ้าตาไม่ฝาด ฟ้างามคิดว่าเมื่อกี้ขี่รถสวนกับรถยนต์ของเขาด้วย
แป๊น!
เสียงแตรรถยนต์บีบตามหลังมา ทำให้คนข้ออ่อนตกใจจนขับรถไม่เป็นเส้นตรง โชคดีที่ถนนเรียบ ไม่อย่างนั้นคงได้สลาตันลงไปนอนข้างทาง พอเหลียวไปมองเธอก็พบว่าคนขับนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน
“ขับรถประสาอะไรของคุณ”
ฟ้างามถามเสียงดังเมื่อรถคันนั้นเร่งเครื่องขึ้นมาเบียด ตะวันขับรถท่าทางสบายใจ สายตาเขามองตรงไปข้างหน้า แขนข้างหนึ่งพาดออกมานอกตัวรถและทำราวกับว่าไม่ได้ยินเสียงของเธอ
“คุณหมอ!”
หญิงสาวตะโกนเสียงดังกว่าเดิมเมื่อรู้สึกว่าจะถูกรถคันใหญ่เบียดมาเรื่อย ๆ แล้วก็ต้องกรี๊ดลั่นในจังหวะที่ถูกเขาปาดหน้า
