บทที่ 6 5
“อย่าเอาคำว่าผู้ชายมาอ้าง” ทินกรตวาด “ผู้ชายดี ๆ เขาไม่ทำกันแบบนี้”
“ผมกำลังจะบอกว่าผู้หญิงกับผู้ชายก็เหมือนน้ำมันกับไฟ” ไม่ต้องการอธิบายต้นตอของสิ่งที่อาเห็นวันนี้แม้สักนิดว่าทำเพราะต้องการสั่งสอนคนปากดี
“แกเผลอใจ”
“งั้นมันต้องมีความรักมาเกี่ยวข้องไหมอา?” ตรงนี้เขาเถียงจริงจัง ทินกรถอนหายใจเฮือกใหญ่
“แต่แกไปจูบน้อง ยังไงก็ต้องแสดงความรับผิดชอบ งามเป็นลูกมีพ่อมีแม่นะ เขาเสียหาย”
“มันก็แค่จูบนะอา”
“แล้วพี่น้องเขาจูบกันหรือตะวัน?”
“...”
ตะวันเถียงไม่ออก รู้สึกว่าลำคอตีบตันจนอยากกระดกเหล้าสักขวด ถ้าอาจะมาบีบกันด้วยเหตุผลนี้เขาก็มีแต่ผิดกับผิด แต่จะให้เขารับผิดชอบอะไรเขาไม่ทำหรอก หากเขาจะต้องรับผิดชอบใครสักคน เขาก็อยากให้คนคนนั้นเป็นคลาริสา แต่ท่าทางของตะวันก็ทำให้คนเป็นอาต้องหรี่ตามองเขา
“แกมีอะไรปิดบังฉันหรือเปล่า”
“ไม่มีครับ” เขาตอบออกไป แต่ไม่รู้ว่าน้ำเสียงห้วน ๆ นั้นส่อพิรุธ
ด้านทินกรนิ่งเพื่อประเมินท่าทีหลานชาย แต่ดูอย่างไรตะวันก็น่าสงสัย
“แล้วแกจะอธิบายสิ่งที่แกทำกับน้องเมื่อกี้ว่ายังไง”
“ผมอธิบายไปแล้ว” ว่าเขาเป็นผู้ชาย เวลาอยู่ใกล้กับผู้หญิงมันก็เหมือนน้ำมันกับไฟ “อาจะให้ผมรับผิดชอบยังไงครับ เรื่องนี้ผมไม่ได้ผิดคนเดียว”
ถ้าเป็นอย่างนี้ มันก็หมายความว่าฟ้างามก็มีใจให้ตะวันเหมือนกัน เอาเข้าจริงเขาก็สังเกตมานานแล้วว่าเธอน่าจะรู้สึกกับตะวันเกินกว่าพี่ชาย แต่ที่เขาไม่แน่ใจก็คือหลานชายเขานี่เอง
“แกรักน้องหรือเปล่า”
“ผม-”
“ตอบจากความรู้สึกจริง ๆ นะตะวัน” ทินกรดักคอ
ตะวันอยากขำกับสิ่งที่อาบอก อาคิดว่าเขาจะหลอกตัวเองว่าไม่ได้รักฟ้างามเพื่อจะตัดปัญหาจริง ๆ แต่เขาจะทำให้อารู้ว่าเขามั่นใจในความรู้สึกของตัวเองแค่ไหน
“ผมไม่เคยรักงามเลยครับ” ไม่มีทางที่จะรักเลยด้วยซ้ำ มีแต่เจ้าหล่อนที่รักเขามากจนยอมให้ทั้งกายถวายทั้งใจ “แต่ผมคงผิดเองที่ไม่ยอมห้ามใจตัวเองไม่ให้หาเศษหาเลยกับน้อง”
ทินกรถอนหายใจหนักหน่วง ยิ่งรู้แบบนี้เขายิ่งไม่สบายใจ เพราะฟ้างามก็หลานเขาคนหนึ่งเหมือนกัน
“นอกจากจูบเมื่อกี้ แกเคยทำกับน้องมากกว่านั้นหรือเปล่า”
“ไม่เคยครับ” ตะวันตอบเสียงหนักแน่น เขารู้ดีว่าเขาโกหก แต่เขากับฟ้างามก็ทำแบบนี้กันมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว “ผมสาบานได้เลยว่าผมกับน้องเราไม่เคยมีอะไรกัน ถ้าจะให้ผมไปขอโทษน้อง ผมทำได้นะครับอา แต่ถ้าจะให้รับผิดชอบอย่างอื่น ผมทำไม่ได้จริง ๆ”
“ถ้าแกกับน้องไม่ได้มีอะไรเกินเลยกันจริง ๆ มันก็ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกตะวัน” ทินกรมีท่าทีผ่อนคลายลงจากเมื่อครู่ ตะวันจึงเอ่ยขอร้อง
“อาอย่าบอกย่านะครับ”
เพราะตะวันกลัวคุณย่าจะจับคู่เขากับฟ้างามเหมือนที่เคยจับคู่พ่อกับแม่ของตะวัน
ทินกรก็คิดว่ามารดาคงต้องทำอย่างนั้น แต่มันหมดยุคคลุมถุงชนไปแล้ว และถ้าเด็กมันไม่ได้รักกัน มันก็คงจบลงที่ต้องแยกย้าย แล้วเขาก็เลี้ยงตะวันมากับมือ ก็พอจะรู้ว่าหลานชายค่อนข้างเลือก เพราะไม่อยากให้ชีวิตครอบครัวล้มเหลวเหมือนพ่อ และผู้หญิงที่จะมาเป็นแม่ของลูกตะวันได้ก็ต้องถูกเลือกแล้วเลือกอีก ไม่ใช่จะเป็นใครก็ได้
ถ้าเป็นอย่างนั้น คนที่น่าสงสารที่สุดก็คือฟ้างาม
“อย่าให้มีครั้งต่อไปก็แล้วกันตะวัน ไม่งั้นฉันจะไม่ช่วยแกอีกแล้ว”
“ขอบคุณครับอา”
“แต่ถ้าวันไหนแกรักน้องขึ้นมาจริง ๆ เราค่อยมาคุยกันอีกที”
เรื่องสุดท้ายที่คุณทินกรพูดไม่มีทางเกิดขึ้นกับตะวันแน่นอน เพราะเขาเกลียดผู้หญิงอย่างฟ้างามเป็นที่สุด ไม่มีวันที่ใจเขาจะไม่รักดี
ทินกรมีเรื่องกลุ้มใจต้องคิด การจิบไวน์ไปด้วยมันจึงช่วยให้เขาไม่ฟุ้งซ่านเกินไปได้ ก่อนที่เขาจะพาตัวเองออกมานั่งตรงชานบ้านแล้วมองออกไปยังความมืดสลัวของไร่พักตร์ตะวัน
เดิมทีสถานที่ตรงนี้เป็นของสุรินยนต์พี่ชายเขา พอฝ่ายนั้นเสียชีวิต กรรมสิทธิ์เลยตกเป็นของตะวันซึ่งเป็นต้นเหตุของเรื่องปวดหัวในตอนนี้ เพราะเขาไม่ได้เชื่อคำพูดทั้งหมดของตะวัน แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรให้ทั้งหลานชายและฟ้างามยอมพูดความจริง
“ต้องการเพื่อนไหมคะคุณอา”
เขาหันไปตามเสียงนั้น พบว่าคลาริสาเดินเข้ามายืนข้างเขา สายตาเขาจ้องมองไปข้างหน้าอย่างจะหาว่ามีอะไรน่าสนใจไปกว่าส่วนโค้งเว้าใต้ชุดนอนบางพลิ้วของเธอที่เขากำลังสนใจอยู่หรือเปล่า ทินกรพยายามบังคับตัวเองไม่ให้มองรูปร่างสะกดใจนั้นนานไปกว่านี้
“หนูแคลร์ยังไม่นอนหรือครับ”
“แคลร์นอนไม่หลับก็เลยออกมาเดินเล่นน่ะค่ะ ไม่คิดว่าคุณอาก็ยังไม่นอนเหมือนกัน”
“อาก็นอนไม่หลับครับ”
“มีเรื่องไม่สบายใจหรือคะ?”
“ทำไมถึงคิดว่าอากำลังกลุ้มใจล่ะครับ”
เขาหันไปมองใบหน้าสวยเฉี่ยวอีกครั้งพร้อมรอยยิ้มหยั่งเชิง ฝ่ายหญิงสาวก็คลี่ยิ้มกว้างก่อนจะอธิบายอย่างภูมิใจว่า
“แคลร์เดาว่าคนที่หลบมาดื่มคนเดียวแบบนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะชอบจนติดเป็นนิสัย ก็น่าจะเป็นเพราะมีเรื่องไม่สบายใจน่ะค่ะ ซึ่งเคสคุณอาน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า เพราะตอนมื้อค่ำแคลร์ไม่เห็นคุณอาแตะไวน์เลย ผิดกับตะวัน รายนั้นกินเยอะกว่าข้าวเสียอีก แต่เขาคงเป็นอย่างแรก... ชอบดื่มเหล้ามาก ใครห้ามก็ไม่ฟัง”
ทินกรยิ้มพึงพอใจกับคำตอบ และรู้สึกชื่นชมเธออยู่ลึก ๆ ด้วย น้อยครั้งนักที่เขาจะเจอผู้หญิงที่ทั้งฉลาดทั้งน่ารักอย่างนี้ ส่วนมากที่เจอก็มีเจ้าข้าวเจ้าของเสียหมด
“ทำไมจ้องหน้าแคลร์แบบนั้นคะ แคลร์พูดอะไรผิดหรือเปล่า”
“เปล่าจ้ะ” เขาส่ายหน้าก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย “เอ่อ... แล้วหนูแคลร์คิดยังไงกับเจ้าตะวันครับ”
“กับตะวัน...”
คลาริสาทำท่าครุ่นคิดนิดหนึ่งเมื่อถูกถามถึงเรื่องนี้
“เขาเป็นคนที่ค่อนข้างเข้าถึงยากค่ะ แถมโมโหร้ายมากแต่แคลร์ยังไม่เคยเจอ ดูทรงแล้วเป็นคนรักใครรักจริงนะคะ แล้วเขาก็ให้เกียรติผู้หญิง... จะทุกคนหรือเปล่าไม่รู้ แต่ที่เห็นคือเขาให้เกียรติแคลร์กับพี่ปลามาก ไม่เคยแตะเนื้อต้องตัวเลยนะคะ แล้วเขาก็ไม่ชอบอะไรที่จู้จี้จุกจิก”
“มันกับหนูกำลังคบกันอยู่ใช่ไหม”
ทินกรตัดบทด้วยคำถามที่เขาอยากได้คำตอบ บางที... คลาริสาอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ตะวันไม่เปิดใจให้ฟ้างามก็เป็นได้
และบางที... ตัวเขาเองอาจจะมีความหวังหากคนตรงหน้าตอบว่าไม่
“อุ๊ย” คลาริสาเลิกคิ้วสูงขึ้นแล้วทำขัน “มันดูเหมือนเราสองคนคบกันอยู่หรือคะ”
“ก็นอกจากหนูปลาแล้ว หนูแคลร์ก็เป็นเพื่อนผู้หญิงคนเดียวที่ตะวันพาเข้าบ้าน”
“งั้นแสดงว่าตะวันคบซ้อนนะคะเนี่ย”
“พูดเป็นเล่นไปครับ”
ทั้งคู่หัวเราะด้วยกัน ทินกรรู้สึกว่าคลาริสาคุยสนุกดี ทำให้เขาสบายใจได้ทั้งที่เพิ่งเจอกันวันแรก ทั้งยังมีแรงดึงดูดบางอย่างที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรง
“จริง ๆ เราไม่ได้คบกันหรอกค่ะคุณอา เพื่อนกันนี่แหละค่ะ”
หญิงสาวตอบกลั้วเสียงหัวเราะ ทินกรยกไวน์ขึ้นจิบแต่สายตายังจ้องมองคลาริสาอย่างพึงพอใจ ยิ่งใจชื้นขึ้นไปอีกเมื่อเธอยืนยันหนักแน่นว่า
“ตะวันเขาช่างเลือกค่ะ แคลร์ไม่ใช่ผู้หญิงในสเปกเขาหรอก ไม่งั้นเขาจีบนานแล้ว”
“นี่ก็รอให้หลานอาจีบอยู่ใช่ไหมครับ”
“หูย ไม่ได้รอเลยค่ะคุณอา เราคิดต่อกันแค่เพื่อนจริง ๆ ค่ะ”
“น่าเสียดายนะครับ อาก็หลงดีใจว่าจะได้หลานสะใภ้แล้ว”
คลาริสาหัวเราะน้อย ๆ
“คงต้องรออีกนานค่ะ ไม่แน่ ตะวันอาจจะขึ้นคานนะคะ”
“เหมือนอา”
แล้วทั้งสองก็หัวเราะอย่างสนุกสนาน คุยกันถูกคอจนเวลาล่วงเลยมาถึงตีหนึ่ง โดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาของฟ้างามที่ริมฝีปากปวดระบมจนไม่สามารถข่มตาหลับได้จ้องมาจากหน้าต่างห้องนอนของเธออยู่ตลอดเวลา
ฟ้างามค่อนข้างมั่นใจว่าคลาริสาถูกใจคุณอาทินกร...
คลาริสาแยกกับทินกรแล้ว และเธอมั่นใจว่าหนุ่มใหญ่เชื่อเรื่องที่เธอบอกไปทั้งหมด เขาดูไม่ออกว่าเธอต้องการบางอย่างจากเขา
“ว้าย” เธอตกใจขณะเดินไปหาน้ำดื่มในครัวแล้วตะวันเดินเข้ามาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง “ตะวันอะ แคลร์ตกใจหมดเลย”
ระบายยิ้มโล่งอกก่อนยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม จังหวะนั้นชายหนุ่มเข้ามาจับไหล่ทั้งสองข้างแล้วถาม
“เมื่อกี้แคลร์คุยอะไรกับอากร”
“คุณอาถามเรื่องตะวันน่ะ”
“เรื่อง?”
“เรื่องพื้นฐาน”
หญิงสาวเน้นเสียงเข้มขึ้น ตะวันรู้ว่าเขาซักเธอมากไป แต่อย่างไรก็ยังไม่วางใจอยู่ดี
“เขาไม่ได้บอกอะไรแคลร์ใช่ไหม”
“ไม่ได้บอกอะไรนะ” คนถูกถามย่นคิ้วสงสัย “ตะวันมีอะไรหรือเปล่า”
ตะวันจ้องลึกเข้าไปในแววตาราวกับจะหาว่าเธอมีพิรุธอะไรหรือไม่ แต่เขาไม่พบอะไรในแววตานั้นจึงผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกก่อนจะสวมกอดคลาริสาแนบแน่นอย่างที่เคยทำ
“เปล่า”
“ตะวันเป็นอะไรไป? แบบนี้เราไม่สบายใจเลย”
มือบางวางทาบตรงแผ่นหลังหนา ลูบไล้ไปมาอย่างต้องการปลอบประโลม ตะวันกอดหญิงสาวแน่นขึ้น ในใจกลัวว่าอาทินกรจะเผลอพูดเรื่องที่ท่านเห็นเขาทำกับฟ้างามเมื่อเย็นให้คลาริสาฟัง
“ไม่ได้เป็นอะไร แค่คิดถึงเฉย ๆ”
“เพิ่งแยกกันตอนหัวค่ำนี่เองนะ คิดถึงกันซะแล้วหรือ” แขนเล็กสอดเข้ามาระหว่างกลางก่อนดันร่างเขาออกเพื่อมองเห็นใบหน้าหล่อเหลาชัดเจน
“นาทีเดียวก็คิดถึงจะแย่ กลัวจะมีคนมาพูดอะไรไม่ดีให้แคลร์ไม่เชื่อมั่นในตัวเรา”
เขาคงยอมไม่ได้หากความสัมพันธ์ต้องจบลงเพราะเรื่องของฟ้างาม เขาไม่มีวันเสียคลาริสาไปเพราะผู้หญิงแบบนั้นแน่นอน ตะวันยังจำได้ว่าสาเหตุที่เขารักคลาริสาปักใจเช่นนี้เพราะอะไร
ย้อนไปเมื่อหลายปีก่อน ในวันที่บิดาเขาอาการหนักใกล้จากไป ตะวันได้รู้ข่าวจากครูประจำชั้นเนื่องจากทางบ้านโทรมาแจ้ง และส่งคนรถมารับที่โรงเรียนประจำเพื่อไปให้ทันดูใจบิดา แต่ฟ้างามที่ขอตามคนรถจากบ้านทิพากรมารับเขาก็มีอาการปวดท้องรุนแรง จนคนรถต้องแวะส่งเธอที่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด
สุดท้ายก็มารับเขาไม่ทัน เพราะบิดาเขาจากไปแล้ว โดยที่เขาไม่ทันได้ดูใจท่านในวาระสุดท้าย
เขาหลบไปร้องไห้อยู่ตรงม้านั่งข้างสนามบาสเก็ตบอลเพียงลำพัง ในใจก็เกิดคำถามว่าทำไมเรื่องร้าย ๆ จะต้องเกิดขึ้นกับครอบครัวเขา มารดาเพิ่งหนีจากไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ตอนนี้บิดาก็มาตายจาก เขาไม่รู้จะแบกรับความผิดหวังเสียใจได้อีกนานแค่ไหน แล้วทำไมฟ้างามต้องพาตัวเองมาอยู่ผิดที่ผิดทางด้วย เธอเคยถามเขาบ้างไหมว่าเขาต้องการหรือเปล่า
แต่ท่ามกลางความเศร้าที่รายล้อมเขา มือบอบบางของเด็กหญิงที่เขาไม่เคยให้ความสำคัญเอื้อมมือมาสัมผัสที่ไหล่ซ้าย ตะวันที่รู้สึกอ้างว้างไม่เหลือใครจึงปล่อยเสียงร้องไห้แล้วสวมกอดร่างผอมทันใด
‘ไม่เป็นไรนะ เธอต้องผ่านมันไปได้’
นั่นคือประโยคที่คลาริสาบอกกับเขา ก่อนที่มารดาของหล่อนจะอาสาพาเขากลับบ้าน ตลอดทางมือบอบบางนั้นยังคอยกุมมือเขา ทำให้เขาซาบซึ้งใจ และนับตั้งแต่นั้นมา คลาริสาก็กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเขาแล้ว
“ถ้ามันไม่ใช่เรื่องจริง คงทำลายความเชื่อมั่นที่แคลร์มีให้ตะวันไม่ได้หรอก... เว้นแต่จะเป็นความจริง”
“ถึงไม่มีใครมาฟ้องอะไร แคลร์ก็ยังไม่เชื่อมั่นในตัวเรา มากพอที่จะบอกทุกคนว่าเราสองคนเป็นอะไรกัน”
“ตะวัน...”
“ตะวันไม่เข้าใจ ทำไมแคลร์ไม่บอกทุกคนไปว่าเราเป็นอะไรกัน”
“แค่แคลร์มานอนค้างอ้างแรมบ้านผู้ชายแบบนี้ คนอื่นก็มองไม่ดีอยู่แล้วนะ จะให้มาป่าวประกาศอีกว่าเป็นอะไรกันมันคงดูไม่งามมั้งคะ อีกอย่างคุณย่ากับคุณอาของตะวันก็คงไม่ชอบเท่าไหร่ด้วย”
เรียวปากหนาเหยียดยิ้มพึงพอใจ คำตอบของคลาริสาทำให้เขามั่นใจว่าหล่อนคือผู้หญิงที่คู่ควรกับความรักความเชื่อใจของเขามากกว่าผู้หญิงอย่างฟ้างามที่หน้าด้านยอมพลีกายให้ผู้ชายเพื่อหวังจะได้ความรักตอบแทน
“ไม่มีใครว่าอะไรแคลร์ได้หรอก ลองว่าสิ เราจะต่อยมันให้ฟันหักเลย” เขายื่นเข้าไปหมายจะครอบครองเรียวปากสวย แต่ฝ่ายสาวเบี่ยงตัวหลบทันควัน
“อย่านะ”
“ขอชื่นใจนิดเดียวเอง”
ทั้งสีหน้าและแววตาออดอ้อนนั้นทำให้คลาริสายอมใจอ่อน หล่อนประคองพวงแก้มสากแล้วมอบจุมพิตดูดดื่มหวานซึ้ง จูบร้อนแรงสร้างความรู้สึกหวามไหวในหัวใจของตะวันและชายหนุ่มแทบจะหายใจไม่ทัน
ทว่าเมื่อสถานการณ์จะเลยเถิดไปมากกว่านั้น และตะวันคิดว่าตัวเองอาจจะอดใจไม่ไหวแล้วข้ามเส้นที่ขวางไว้ระหว่างกัน ชายหนุ่มจึงรีบผละออกจากคลาริสา
เขาอยากอดใจรอเอาไว้จนกว่าจะมั่นใจว่าจะใช้ชีวิตร่วมกันกับเธอ... แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เขากลัว... เขากลัวว่าชีวิตหลังแต่งงานของเขาจะพังไม่เป็นท่าเหมือนบิดา เป็นสาเหตุที่ทำให้อยากมีคลาริสาอยู่ข้างกายแต่ไม่ได้หมายถึง ‘การแต่งงาน’
“แคลร์...” คลาริสาก้มหน้าแล้วทำเสียงสะอื้น
เธอไม่ได้เขิน หรือเสียใจที่โดนรังแก แต่รู้สึกเสียหน้าที่ถูกตะวันปฏิเสธ เขาก็เป็นเสียแบบนี้ ทุกครั้งที่มันจะเลยเถิด เขาก็หยุดตัวเองเอาไว้ได้เสมอ
“เราขอโทษ เราไม่ได้ตั้งใจจะแหกกฎเลยนะแคลร์”
กฎที่เขาสัญญากับเธอว่าจะไม่ล่วงเกินเธอมากไปกว่ากอดหรือจูบ เพราะเขาต้องการทะนุถนอมเธอไว้จนถึงวันที่เหมาะสม เขาอยากให้ครั้งแรกของเธอทั้งพิเศษและมีความหมายที่สุด
แต่ไม่รู้วันนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่...
ทันใดนั้น
“โอ๊ย!!!”
ตะวันร้องลั่นเมื่อจู่ ๆ ใครก็ไม่รู้พุ่งเข้ามาจากทางด้านหลัง ใช้ของแข็งฟาดลำตัวเขาเต็มกำลังราวกับโกรธแค้นมานานแสนนาน คลาริสาตกใจ รีบปรี่เข้าไปกดเปิดไฟหลอดใหญ่ ทำให้ทั้งห้องครัวสว่างไสวจนมองเห็นได้ชัดเจน
“งาม!”
ตะวันสบถลั่น ยกมือขึ้นมาแตะศีรษะตัวเอง พบว่ามีเลือดไหลออกมา ส่วนคนทำนั้นกำไม้กวาดดอกหญ้าแน่น สายตาที่มองมาราวกับเคียดแค้นเขามาแต่ชาติปางไหน ทว่ามันสวนกันกับคำพูดของเธอเลย
“อ้าว! คุณหมอกับคุณแคลร์เองหรือคะ เล่นมายืดกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่มืด ๆ แบบนี้งามนึกว่าโจรโรคจิตที่ไหนนัดกันเข้ามาเล่นเซ็กซ์ในบ้านซะอีก”
ฟ้างามจงใจพูดแบบนั้นเหมือนกับจงใจจะตีตะวันให้หัวแตกนั่นแหละ
เธอแอบฟังทั้งสองคุยกันมาตั้งนานจนพอจะปะติดปะต่อได้แล้วว่าคลาริสาไม่ใช่ผู้หญิงอย่างที่เธอหรือใครต่อใครเห็น คลาริสารู้สึกร้อนไปทั้งหน้า แต่แสร้งทำเป็นก้มหน้าอย่างน่าสงสารแล้วรีบเดินออกไปจากตรงนั้น ตะวันเรียกไว้แต่ก็ไม่ยอมหยุด
“เธอจงใจแกล้งฉัน”
ตะวันหันมาพูดกับฟ้างาม ก่อนจะพุ่งเข้าไปกระชากไหล่บางของคนที่ยืนเบะปากให้กับการกระทำของคลาริสา อย่างไม่ออมแรง
“ค่ะ งามจงใจ คุณจะได้มีสติซะบ้าง ไม่ใช่อะไร ๆ ก็ให้คุณแคลร์จูงจมูกตลอดเวลา”
คำพูดที่พาดพิงถึงผู้หญิงที่รักแถมยังดูถูกเขาซึ่ง ๆ หน้าแบบนี้ทำให้ตะวันลุแก่โทสะเงื้อมือขึ้นมาจะตบหน้า หากแต่คนตัวบางกลับยื่นหน้าท้าทาย ไม่ยี่หระใด ๆ ทั้งสิ้น
“ตบเลยสิคะ”
มือหนาชะงักค้างกลางอากาศ เขายังมีสติพอที่จะไม่ก่อเรื่องในคืนนี้ ไม่เช่นนั้นสิ่งที่เก็บงำเป็นความลับก็จะถูกเปิดเผย เขาอาจได้รับผิดชอบในสิ่งที่ทำลงไป
“ฉันจะไม่ตบให้เสียมือ”
ผลักฟ้างามออกไปสุดแขน หญิงสาวเสียหลักเซไปที่เคาน์เตอร์หินอ่อน ซวนเซกวาดที่วางมีดจนมันล้มลงบนนั้น และเพราะไม่ทันระวังเลยถูกบาดในจังหวะที่พยายามดันตัวตั้งหลัก
แรกทีเดียวตะวันตกใจเพราะไม่คิดอยากให้ถึงเลือดถึงเนื้อ แต่พอคิดอีกทีก็สมควรแล้วที่โดนแบบนี้ เขาได้แต่ยืนมองและหัวเราะสมน้ำหน้า
“เป็นไง ?” เขายิ้มเยาะ “พอเลือดออกแบบนี้แล้ว ความร่านในสันดานเธอมันลดน้อยลงไหม”
ฟ้างามกัดริมฝีปากตัวเองแน่น เก็บความเจ็บแค้นเอาไว้ในใจก่อนจะถูกคนตัวใหญ่ดึงเข้าไปชิดใกล้ โอบรอบเอวคอดเอาไว้แล้วกระซิบหมิ่นเกียรติกันว่า
“แต่ถ้ายังไม่หายคัน ก็ไปเคาะห้องฉันได้ทุกเมื่อ ฉันมีคอนดอมเพียงพอสำหรับความร่านของเธอแน่นอน”
ร่างบางสะบัดอย่างแรงจนหลุดออกจากอ้อมแขนแข็งแรง ก่อนจะวิ่งออกไปจากตรงนั้นเสีย เธอรังเกียจคำพูดของตะวันเหลือเกิน
บางทีก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าปล่อยให้เขาไปมีความสุขกับผู้หญิงตีสองหน้าคนนั้นมันคงจะดีกว่าการรั้งเขาไว้ให้มาทำร้ายจิตใจตัวเองในทุก ๆ วันแบบนี้
ฟ้างามลังเลใจว่าจะนอนห้องที่ถูกจัดไว้สำหรับตัวเองดีหรือไม่ เพราะความจริงน่าหวั่นใจอยู่ว่า ตะวันรู้จักทุกซอกทุกมุมของบ้านหลังนี้ แล้วคืนนี้เธอก็ยั่วโมโหเขาไปหลายอย่าง แถมยังตีหัวเขาจนแตกอีกด้วย ดังนั้นการนอนในห้องตัวเองเพียงลำพังมันจึงไม่ใช่เรื่องดี
“คุณย่าขา”
เธอเดินมาเคาะห้องคุณย่า แม้คิดว่าท่านน่าจะหลับไปแล้วแต่หล่อนมองข้ามความเกรงใจแล้วเคาะต่อไป ในที่สุดท่านก็เดินมาเปิดประตูให้ในสภาพงัวเงีย
“งามขอนอนด้วยคนนะคะ”
“เดี๋ยวก่อนนะ เกิดอะไรขึ้น? เด็กมันจัดห้องให้ไม่ถูกใจหรือลูก”
“เปล่าค่ะ” ส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนขยับเข้าไปสวมกอด แนบแก้มซ้ายกับอกอุ่น ๆ ของคุณย่า “งามกลัวผี ของามนอนด้วยคนนะคะ”
“อะไรกันแม่คนนี้ โตจนหมาเลียตูดไม่ถึงอยู่แล้วยังกลัวผีอยู่อีก”
“งามเคยพยายามผูกมิตรกับผีแล้วนะคะ แต่ไม่ไหวเลยค่ะ” ฟ้างามเงยหน้าขึ้นออดอ้อน
“ฟังพูดเข้าสิ มา... เข้านอนกันเถอะ ย่าง่วงแล้ว” ท่านหลุดเสียงหัวเราะให้กับความช่างพูดช่างจา แล้วก็ใจอ่อนพาหลานสาวเข้าไปนอนในห้องด้วยกัน
ตะวันทันเห็นเหตุการณ์นั้น เขาได้แต่ขบกรามแน่นอย่างเจ็บแค้นใจ ฟ้างามคิดว่าจะหนีเขาไปได้อีกนานเท่าไหร่ อย่างไรเสีย เธอก็จะต้องมาทำหน้าที่เมียเก็บของเขาอยู่ดี และตอนนั้นเธอคิดว่าเขาจะไม่คิดบัญชีที่เธอกล้าด่าว่าคลาริสา แล้วก็ทำร้ายเขาจนเลือดตกยางออกหรือไง
“เอาที่สบายใจเลย แม่คนเก่ง”
เค้นเสียงลอดไรฟันออกมา ในสมองก็คิดว่าพรุ่งนี้ได้เห็นดีกันอย่างแน่นอน!
แต่มันกลับไม่เป็นอย่างที่คิดเพราะตลอดทริปหยุดยาว ฟ้างามทำตัวติดคุณย่าตลอดเวลา บางคราวก็ใช้คุณอาทินกรเป็นเกราะกำบังในจังหวะที่เขาพยายามจะเข้าใกล้ มันน่าลงโทษให้สาแก่ใจ หากก็ไม่รู้ตอนไหนเธอถึงจะเผลอ
วันอาทิตย์
ตะวันและคลาริสากลับกรุงเทพฯ ด้วยกัน ฝ่ายคุณอาทินกรนั้นกลับไปก่อนตั้งแต่ค่ำของวานนี้เพราะมีงานด่วนมากที่บริษัท ซึ่งคุณอาก็อยากให้ตะวันเข้าไปช่วยงานบ้าง แต่เขายังบ้าอุดมการณ์ ชอบงานในโรงพยาบาลมากกว่างานบริหารทางด้านคุณย่าศรีสุดาท่านกลับกับคนรถ แล้วก็อาสามาส่งฟ้างามที่บ้านก่อนจะเดินทางกลับ
“ย่าถามอะไรหน่อยสิ”
“คะ?” คนที่เอาแต่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถยนต์หันไปตามเสียง
“งามคิดว่าผู้หญิงคนนั้นแปลก ๆ ไหม หูตาหล่อนดูแพรวพราว กิริยาก็ดูประดิษฐ์ชอบกล”
ที่ผ่านมาฟ้างามคิดว่าท่านไม่สังเกต จึงไม่กล้าถาม กลัวมันจะกลายเป็นว่าเธอไปนินทาคลาริสาเสียมากกว่า แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าคุณย่าก็คิดเหมือนกัน
“ค่ะ แปลกมาก โดยเฉพาะสายตาที่มองคุณอา”
“ย่าก็นึกว่าย่าคิดไปเอง”
“งามรู้สึกมาสักพักแล้วค่ะ งามเคยเห็นผู้หญิงหน้าคล้ายคุณแคลร์เดินออกจากโรงแรมมากับผู้ชาย แต่เพราะหมอเคยพูดว่าคุณแคลร์เป็นผู้หญิงรักนวลสงวนตัว งามเลยคิดว่าไม่น่าใช่ จนคืนก่อนงามได้มาเห็นเธอจูบกับหมอทั้งที่เธอบอกทุกคนว่าเป็นเพื่อนกัน งามก็ต้องกลับมาคิดใหม่”
“...”
หญิงชราเงียบไปอย่างใช้ความคิด แต่สีหน้าดูเป็นกังวลมากกว่าเดิมเสียอีก ที่ผ่านมาตะวันเล่าเรื่องผู้หญิงคนนี้ให้ฟังน้อยมาก จะพูดว่าเพิ่งรู้ตอนที่หลานชายพาเข้าบ้านเมื่อวันก่อนก็ไม่ผิดนัก
“สองคนนี้เขาเจอกันได้ยังไง งามรู้ไหม”
ฟ้างามพยักหน้า ก่อนจะเล่าว่าทั้งสองรู้จักกันมาตั้งแต่มัธยมต้น ก่อนที่มารดาตะวันจะหนีไปแต่เริ่มสนิทกันมากขึ้นในช่วงที่บิดาเขาเสียชีวิต และตะวันเคยบอกว่าคลาริสาเป็นผู้หญิงที่เขารัก
“ย่าพอจะเข้าใจแล้ว”
หล่อนคนนั้นเข้ามาในยามที่ตะวันอ่อนแอ จึงไม่แปลกใจที่ผู้ชายซึ่งไม่ยอมเปิดใจให้หญิงใดจะปักใจแต่เพียงหล่อน และคิดว่าไม่น่าจะรู้จักนิสัยจริง ๆ ที่เจ้าหล่อนซ่อนไว้
“เจ้าตะวันมันตามผู้หญิงคนนี้ไม่ทันหรอก”
ทั้งชีวิตตะวันเกลียดผู้หญิงที่คิดว่าเป็นเหมือนแม่ตัวเอง จึงไม่เคยลดตัวลงไปพัวพัน แต่นั่นเองที่ทำให้หลานชายแยกไม่ออกอย่างแท้จริงว่าผู้หญิงแสร้งว่าดี กับผู้หญิงที่ดีจริง ๆ นั้นแตกต่างกันเช่นไร
“งามว่าคุณตะวันเขาไม่จริงจังถึงขั้นแต่งงานหรอกมั้งคะ”
ตอนนี้เธอเป็นทุกข์ใจไม่ต่างจากคุณย่าเลย เพราะยิ่งพูดก็ยิ่งเหมือนหลอกตัวเอง ฟ้างามรู้ดีว่าถ้าตะวันไม่คิดจริงจัง เขาไม่มีทางพาผู้หญิงคนไหนเข้าบ้าน
ไม่รู้ต้องทำเช่นไรตะวันจึงจะรอดพ้นจากผู้หญิงคนนั้น
ตะวันทิ้งตัวลงนอนที่เตียงตรวจโรคในห้องตรวจด้วยความอ่อนล้า ในที่สุดเขาก็ได้พัก ทั้งสัปดาห์เขามีคนไข้เยอะเช่นเดียวกับมีเคสผ่าตัด จนไม่มีเวลาแม้แต่จะหาอะไรกิน แถมไม่ได้เจอหน้าคลาริสาเลย แต่ไม่รู้ทำไมคนในความคิดเขาจึงไม่ใช่หล่อน กลับเป็นอีกคนที่เขาไม่ควรคิดถึง
ฟ้างาม... ชื่อนี้วนเวียนอยู่ในสมองมาหลายวัน
อดไม่ได้ที่จะลุกไปหยิบมือถือ ค้นหาเบอร์หญิงสาวแล้วเกือบจะกดโทร แต่กลับเปลี่ยนใจวางมันลงที่เดิม คนที่ควรเป็นฝ่ายโทรคือฟ้างามไม่ใช่เขา
แต่อีกใจก็กลัวว่าสาวเจ้าอาจจะกำลังใช้เวลากับผู้ชายคนอื่น เป็นเหตุให้ผู้อำนวยการหนุ่มหยิบมันขึ้นมาเป็นหนที่สอง สาม จนหนที่เท่าไหร่ไม่รู้จึงคิดว่าควรโทรให้รู้แล้วรู้รอดไป
แต่...
“ทำไมไม่รับสาย?”
หรือที่เคยพูดว่าจะเลิกยุ่งกับเขา จะเลิกรักเขา มันเป็นสิ่งที่เธอต้องการจริง ๆ
เขาเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าฟ้างามจะเก่งได้นานเท่าไหร่ เธอคงลืมไปแล้วว่าเขาเป็นผู้ชายที่กว่าจะได้มามันยากเย็นแค่ไหน เธอต้องแก้ผ้าพลีกายถวายความสาวให้กว่าจะได้มา เธอไม่ยอมปล่อยเขาไปง่าย ๆ หรอก
แล้วเขาก็เคยบอกเธอไปแล้วว่าเขามีวิธีจัดการกับคนดื้ออย่างเธอ ถ้าอย่างนั้นเย็นนี้เขาจะต้องทบทวนความจำของเธอเสียหน่อย คิดอย่างย่ามใจก่อนจะเดินออกไปหาของกินที่ร้านอาหารใต้ตึก
แต่ก็ต้องรีบหาที่หลบ เมื่อเห็นฟ้างามเดินมาพร้อมกับเจ้าของฟาร์มโคนมหน้าคมเข้ม
เป็นอย่างที่เขาคิดจริง ๆ ว่าเธอกำลังใช้เวลาร่วมกับผู้ชายคนอื่น แถมยังดูมีความสุขมากซะจนเขาร้อนรน เขาขบกรามแน่น โมโหควันออกหู เพราะที่นี่คือโรงพยาบาลของเขา
ฟ้างามไม่รู้จริง ๆ หรือแกล้งโง่กันแน่ถึงได้ควงนายคนนั้นเข้ามาหยามหน้าเขา
ฟ้างามกับปราปต์มาเยี่ยมเพื่อนสมัยเรียนมัธยมซึ่งคลอดลูกแฝด ขณะที่เดินคู่กับฟ้างามเข้ามาในโรงพยาบาลซึ่งเป็นโรงพยาบาลของญาติเธอเอง ปราปต์ที่สังเกตว่าหญิงสาวมีสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีเลยเอ่ยถาม
“งามเป็นอะไรไป หน้าซีดเลย”
“เอ่อ...” เธอไปไม่เป็นเลยเมื่ออาการตัวเองชัดเจนจนปราปต์รู้สึกได้ “งามว่างามเมารถน่ะค่ะ”
แต่ความจริงเธอกำลังกลัว...
แม้ว่าตะวันจะขาดการติดต่อไปนานจนเธอคิดว่าเรื่องระหว่างกันมันจบไปแล้ว แต่เพราะเธอมีชนักติดหลัง และที่นี่คือถิ่นของเขา ฟ้างามก็อดคิดไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากเขารู้ว่าเธออยู่ตรงนี้
แรกทีเดียว เธอเข้าใจว่าเพื่อนอยู่อีกโรงพยาบาลหนึ่ง หากก็เพิ่งมารู้ว่าตัวเองจำผิดก็ตอนที่ปราปต์พาเลี้ยวเข้ามาที่นี่
“ไหวไหมครับ”
“งามว่างามขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนดีกว่าค่ะ”
“ให้ปราปต์ไปด้วยไหม”
ปราปต์อาสา เธอรู้สึกตกใจเพราะจู่ ๆ เขาก็ขอไปเข้าห้องน้ำด้วย
“ปราปต์หมายถึง ให้ปราปต์ไปรออยู่หน้าห้องน้ำไหมครับ ปราปต์กลัวงามจะเป็นลมเป็นแล้งไป หน้าซีดมากเลยนะ” เขาขยายความ
พอมองเข้าไปในแววตาเขา เธอก็รู้ว่าเขาหมายความอย่างที่พูดจริง ๆ และเธอซาบซึ้งในความห่วงใย
“ไม่เป็นไรค่ะ ถ้ามีอะไรเดี๋ยวงามกดกริ่งเรียกพยาบาลเอง คุณปราปต์ไปเยี่ยมนุชก่อนเลย เดี๋ยวงามโอเคแล้วจะตามไปนะคะ”
ปราปต์มองเธออย่างชั่งใจ ก่อนจะพยักหน้าให้ในที่สุด
“งั้นปราปต์ไปรอห้องนุชก่อนละกัน”
เธอพยักหน้ายิ้ม ๆ ให้เขา แล้วแสร้งทำเป็นเดินไปห้องน้ำ หากก็เพียงหามุมหลบ พอปราปต์ที่แน่ใจว่าเธอจะไม่เป็นลมแล้วเดินไปที่ลิฟต์ หญิงสาวก็ถอนหายใจโล่งอก
ฟ้างามไม่ต้องการเข้าห้องน้ำ เธอแค่อยากหนีไปจากที่นี่ แต่ด้วยความลนลานไม่ทันระวังตัว ในจังหวะที่จะก้าวออกมาจากมุมนั้นจึงถูกบางคนเข้าถึงตัว
