บทที่ 8 7
“กราบเท้าฉันสิ แล้วบอกว่าต่อไปนี้จะไม่ยุ่งกับไอ้นั่นอีก จนกว่าจะได้รับอนุญาตจากฉัน”
ฟ้างามยืนนิ่ง กรามสวยขบเข้าด้วยกันแน่นไม่ต่างกับมือสองข้างที่กำอยู่ ความเจ็บจากเล็บที่จิกเข้าเนื้อยังไม่เท่าความเจ็บใจ
“รีบทำ ก่อนที่น้องชายฉันมันจะแข็งแล้วกู่ไม่กลับ”
“...”
“ไหนบอกว่ารักฉันนักหนาไง ยอมแลกแค่นี้เป็นไม่ได้เชียวหรือ”
ความรักของเธอไม่ใช่สิ่งที่เขาจะยกขึ้นมาต่อรองได้หรอกนะ และสิ่งที่เธอเลือกคือการวิ่งไปยังระเบียงห้อง หมายจะกระโดดลงไป งานนี้ตายเป็นตาย จะอับอายก็ช่างมัน ขอแค่ได้หลุดพ้นจากเขาและสถานการณ์ย่ำแย่แบบนี้ก็พอ
แต่ตะวันที่ไวกว่าเข้ามารวบเอวคอดแล้วกระชากกลับเข้ามาได้อย่างหวุดหวิด
“ปล่อย!!!”
เธอร้องไห้ฟูมฟายคล้ายคนเสียสติ พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะดิ้นให้หลุดออกจากอ้อมแขนที่ยิ่งรัดแน่นจนเธอเจ็บระบมไปทั้งตัว
“ทำบ้าอะไรฮะ!?”
“ให้งามตายซะยังดีกว่าลดตัวลงไปกราบคุณ ฮือ ๆๆ ปล่อยงาม ปล่อย!!!”
ฟ้างามแผดร้องเสียงดัง ตะวันฉุดกระชากร่างขาวผ่องเข้ามาด้านใน แรงดิ้นของเธอทำให้ทั้งคู่ล้มลงไปที่พื้นด้วยกัน ตะวันถือโอกาสนั้นกดร่างสวยลงกับพื้น ตรึงแขนทั้งสองข้างไว้กับพื้นเหนือศีรษะ พร้อมขึ้นคร่อมเป็นปราการกักขังไว้แน่นหนา
“ถ้าไม่อยากกราบก็แค่ยอมให้ฉันเอา มันเป็นเรื่องง่าย ๆ ที่เธอก็ชอบทำอยู่แล้วไม่ใช่หรือ”
เขารู้ว่าเธอไม่ยอมกราบเขาหรอก เขาแค่ยื่นข้อเสนอไปอย่างนั้นเอง คิดว่าเธอจะเลือกนอนกับเขา แต่ไม่คิดว่าจะบ้าบิ่นได้ถึงขนาดนี้
น้ำตาของฟ้างามรินไหลพร้อมกับเสียงสะอื้นไห้คร่ำครวญ หลายความรู้สึก ทั้งความโกรธ เสียใจ และเจ็บแค้น มันตีรันฟันแทงกันอยู่ในอก
ตะวันสะท้อนใจกับภาพตรงหน้า ทั้งชีวิตยังไม่เคยเห็นฟ้างามร้องไห้ฟูมฟายเท่าวันนี้มาก่อน เท่าที่คิดว่าน้ำตาของเธอไม่มีผลกับตัวเอง เขาก็เริ่มไม่แน่ใจ เขาแทบจะเปลี่ยนความคิดแล้ว หากไม่ได้ฟังคำพูดเหยียดหยามจากเธอ
“การนอนกับคุณ... ฮึก... มันก็เลวร้ายพอกัน”
ผู้ชายอย่างเขานับตั้งแต่แตกเนื้อหนุ่ม ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนรังเกียจ ตรงกันข้าม เขาเป็นที่ต้องการของพวกหล่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเธอ...
แต่เมื่อใครสักคนเปรียบให้เซ็กซ์ของเขาเหมือนความตาย ถือเป็นการหยามหน้ากันอย่างร้ายแรง และแน่นอน เขาจะทำให้เธอเปลี่ยนคำพูดตัวเองให้ได้
“หมอ ปล่อยงาม!”
ฟ้างามกรีดร้องเสียงหลง แต่ตะวันไม่ปล่อย เขาฉกใบหน้าลงมารุกรานซอกคอขาว รู้ว่าต้องจูบตรงไหน ขบเม้มที่ใดถึงจะทำให้อาการต่อต้านขัดขืนของเธอแปรเปลี่ยนเป็นโอนอ่อนผ่อนตาม มือปลาหมึกก็พยายามจับพยายามล้วงเข้ามากอบกุมนูนเนื้อนุ่มกลางหว่างขา ยิ่งเธอยกเข่าดันเขาก็เหมือนเป็นการเปิดทางให้ชายหนุ่มได้ครอบครอง
“โอ๊ะ!”
ร่างบางกระตุกเฮือกเมื่อนิ้วเรียวของเขาแหวกพุ่มไหมดำเลื่อมแล้วกดลึกเข้ามาในกาย ความตั้งใจเสี้ยวสุดท้ายสั่งให้ผลักเขาออกไป แต่เมื่อเขาเริ่มขยับนิ้วแกร่ง ร่างกายเธอก็เชื้อเชิญและแอ่นรับความเสียวซ่าน
ตะวันหัวเราะในลำคออย่างพึงพอใจ ใบหน้าหล่อเหลาวกขึ้นมาครอบครองเรียวปากสวย จุมพิตร้อนแรงเร่าร้อนจนฟ้างามรู้สึกหน้ามืด เกือบจะหายใจไม่ออก ขณะเดียวกันรอยจูบนั้นก็ปลุกกระแสสวาทให้ถาโถมจนเธอตั้งรับไม่ไหว
สุดท้ายร่างกายของเธอก็ยอมจำนนและตอบสนองเขาอย่างน่าอาย เช่นเดียวกับหัวใจที่เพลิดเพลินกับรสสวาทที่ตะวันปรนเปรอ
ฟ้างามอ่อนล้าหมดแรงที่จะกระถดหนีหลังเขาเสร็จกิจแล้วผละห่าง น้ำตาแห่งความเสียใจและอับอายไหลลงมาอาบแก้ม แต่กลับมีเสียงหัวเราะก้องอยู่ในลำคอแทนเสียงสะอื้นไห้ ด้วยความรู้สึกสมเพชตัวเอง โกรธโชคชะตา และเกลียดร่างกายและหัวใจที่มันยินยอมให้ตะวันรังแก
ทั้งไม่เข้าใจตัวเองที่หลงรักผู้ชายคนนี้จนแทบบ้า
รักมาก... จนลืมไปว่าพ่อแม่ทะนุถนอมร่างกายนี้ขนาดไหน
มาถึงตอนนี้ ลูกโง่อย่างฟ้างามอยากจะขอโทษพ่อกำนันกับวิญญาณของแม่เหลือเกิน
“หัวเราะ?” ตะวันพลิกกายนั่ง ข้างร่างเปลือยเปล่า มองหญิงสาวด้วยความสงสัย “มีความสุขมากสินะ?”
ฝ่ายถูกถามกลืนก้อนสะอื้นลงคอ ดันตัวเองลุกขึ้นด้วยแรงที่ยังพอมี หางตาเหลือบมองเขา ก่อนเสมองไปทางอื่น ตะวันคว่ำปากพลางยักไหล่ไม่สนใจท่าทางยโส
“เหมือนตกนรก”
เธอตอบเสียงแข็งแต่น้ำตารินอาบหน้า
“เชื่อยาก...” เขากลับยิ้มเยาะ “ฉันเห็นตอนแรกเธอก็ดิ้น ๆ ไม่ยอมอย่างนั้นอย่างนี้ แต่พอฉันจับนิดล้วงหน่อย เธอก็แอ่นสู้ฉันอย่างแซ่บเลยนะ”
“ไม่ต้องพูดแล้ว งามไม่อยากฟัง”
“ไม่อยากยอมรับว่าฉันเก่ง หรือไม่อยากยอมรับว่าตัวเองเสี้ยน?”
“...”
ฟ้างามกัดฟันแน่นจนกรามสวยขึ้นเป็นสันนูน เธออยากตบปากเขาให้เลือดกบที่ไม่เคยสำนึกในสิ่งที่ตัวเองทำ มิหนำซ้ำยังดูภาคภูมิใจเหลือเกิน
“คุณน่ะ เก่งแค่เรื่องนี้เองหรือคะ?”
คำถามที่ราวกับไม่รู้จักนิสัยทำให้ใบหน้าของตะวันร้อนผ่าว เขาคว้าต้นแขนนุ่มนิ่มเย็นเฉียบของเธอแล้วขยับเข้าไปใกล้ รอยยิ้มเยือกเย็นที่ปรากฏบนใบหน้าสะอาดสะอ้านเล่นเอาฟ้างามสะท้านไปทั้งตัว
“ฉันยังเก่งอีกเยอะ เธอก็น่าจะรู้”
เสียงกระซิบของเขาพาให้เกิดอาการอึดอัดคล้ายหายใจไม่ทั่วท้อง โดยไม่ทันตั้งตัว ร่างเปลือยก็ถูกชายหนุ่มเข้ามากระชากให้ลุกขึ้น
“คุณตะวัน!”
ร้องเสียงหลง ในขณะที่เขาฉุดกระชากเธอไปใกล้ประตู ฟ้างามขืนตัวสุดกำลัง แต่แรงน้อยเกินรั้ง สุดท้ายถูกลากไปจนถึงประตูจนได้
“คุณจะทำอะไร” เสียงหวานสั่นเครือ น้ำตาไหลพรากเพราะกลัวใจเขาเหลือเกิน
“ทำให้เธอเห็นว่าฉันเก่งอะไรบ้าง”
เขายิ้มเยาะ รู้สึกพอใจที่ได้เห็นแววตาวอนขอ สาแก่ใจที่ทำให้น้ำตาของผู้หญิงหน้าด้านหลั่งออกมาได้ และตอนนี้เขาแทบไม่เห็นท่าทางอวดดีเหมือนเมื่อครู่นี้เลยสักนิดเดียว
“อยากกลับบ้านไหม ?”
คำถามนั้นไม่ต้องการคำตอบ เพราะมือหนายื่นไปจับลูกบิดประตู แน่นอนเขาจะเปิดมันในขณะที่ฟ้างามอยู่ในสภาพล่อนจ้อน หญิงสาวร้องไห้โฮ พยายามยื้อยุดที่จับประตูเอาไว้ เธอจะออกไปสภาพนี้ไม่ได้
“อย่าเปิดนะ... ขอร้อง ฮือ ๆ ๆ”
แข้งขาของฟ้างามอ่อนแรงจนทรุดลงกับพื้นในลักษณะที่ถูกเขาหิ้วแขนไว้ข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างกำลังกอดขาตะวันอย่างอ้อนวอน
“ได้โปรด... อย่าเปิด... ฮึก... งามขอร้อง”
ถ้าจะให้ก้มลงกราบตอนนี้เธอก็ยอม ลำพังสิ่งที่ต้องเจอในวันนี้มันก็หนักหนาพอแล้ว อย่าทำลายศักดิ์ศรีความเป็นคนของกันมากไปกว่านี้เลย
สายตาของผู้ชนะหลุบมองคนที่แทบจะกราบกรานแทบเท้าตัวเอง ก่อนส่งมือแข็งแรงเชยคางเปียกน้ำตาให้หน้าโทรมเงยขึ้นสบตา เค้นเสียงลอดไรฟันอย่างข่มขู่ว่า
“อย่าปากดีอีกแล้วกัน”
ฟ้างามพยักหน้าร่างกายสั่นสะท้าน ไม่ว่าจะสู้ทางไหน ตะวันก็จะงัดไม้ตายที่เธอคาดไม่ถึงมาเอาชนะหักหาญน้ำใจกัน จนเธอต้องพ่ายแพ้ราบคาบ
นาทีนั้นเองที่ใครบางคนเคาะประตูจากด้านนอก ตะวันปล่อยมือจากทาสในเรือนเบี้ยแล้วส่องลอดตาแมวเพื่อดูว่าข้างนอกเป็นใคร จนเธอได้เห็นอาการตกใจคาดไม่ถึงของเขา
“แคลร์!”
คลาริสาหงุดหงิดเล็กน้อยที่ต้องยืนรอที่หน้าประตูอยู่นาน เพราะตะวันไม่ออกมาเสียที ก่อนหน้านี้เธอเช็กกับเลขาฯ ของเขาแล้ว เขาไม่มีเคสผ่าตัดแล้ว และตอนนี้ก็อยู่ในห้องพัก
“ตะวัน”
เคาะประตูอีกครั้งอย่างพยายามใจเย็นที่สุด ชั่วอึดใจหนึ่งประตูก็เปิดออก ตะวันในชุดลำลองดูสุภาพแทรกตัวเองเข้ามาอยู่ระหว่างช่องว่างของประตู สีหน้าของเธอที่เกือบเรียกได้ว่าบอกบุญไม่รับ ก็เปลี่ยนมาเป็นยิ้มแย้มได้โดยอัตโนมัติ
“ทำไมแคลร์ไม่เห็นโทรบอกเราก่อนว่าจะมา”
“ตายจริง... แคลร์ลืมไปเลย งั้นโทรแล้วนะ”
เจ้าหล่อนแสร้งทำเป็นหยิบมือถือขึ้นมา แต่ตะวันรวบข้อมือเล็กไว้ได้ ก่อนยกขึ้นมาจูบหลังมือเนียนนุ่มอย่างแสนรัก
อันที่จริงคลาริสาจะมาหาเขาเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะเขาให้คีย์การ์ดวีไอพีสำหรับขึ้นลิฟต์มาชั้นนี้กับเธอไว้ หากเพียงแค่ในวันนี้... เขายังซ่อนอีกคนเอาไว้ในห้องนั้น ถ้ายังมาแบบไม่ให้สัญญาณกันแบบนี้ เขากลัวคลาริสาจะล่วงรู้ความจริงเข้าในสักวัน
“ซ่อนใครเอาไว้ในห้องหรือเปล่าน้า...”
ตะวันชาไปทั้งตัวเมื่อจู่ ๆ คนตรงหน้าก็ทำท่าชะเง้อมองไปรอบห้อง เขาพยายามใช้ตัวเองบังให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด ก่อนเบี่ยงเบนความสนใจด้วยการโผเข้ากอดร่างบอบบางในชุดราคาแพง
“อยากนะ... แต่คนที่อยากจะเอามาซ่อนเขาไม่ยอมเราน่ะสิ”
“ปากหวานอีกแล้ว” คนที่เขาอยากจะเอามาซ่อนบีบจมูกโด่งของเขาอย่างมันเขี้ยว แต่มีบางสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกสงสัย “น้ำหอมกลิ่นนี้หอมจังเลย”
น้ำหอม?
ตะวันขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่ฉีดน้ำหอม แต่พอตั้งใจสูดลมหายใจเข้าไปก็ได้กลิ่นของโป๊ยกั๊กผสมวานิลลาอันหอมหวานน่ากิน
กลิ่นน้ำหอมของฟ้างาม...
มันอาจติดตัวเขามาตอนที่เริงรักกันอยู่บนพื้น หรือไม่ก็คงโชยมาจากเจ้าตัวที่ยังซ่อนอยู่ภายในห้องนอน แต่จะให้คลาริสารู้ไม่ได้ว่าเป็นน้ำหอมของใคร
“ชอบไหม”
เขาถามเธอราวกับว่าตัวเองฉีดมา พลางกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นแล้วจงใจฉกใบหน้าเข้าไปหยอกล้อกับดวงหน้าสวยเฉี่ยว พยายามกลบเกลื่อนพิรุธให้แนบเนียนที่สุด
“ชอบ” เธอตอบ
“นึกแล้ว”
“ตั้งใจฉีดเพื่อแคลร์หรือ?”
คลาริสาวาดแขนเรียวโอบรอบลำคอใหญ่ ตั้งใจดันร่างกายของชายหนุ่มเข้าไปในห้องนอน ตะวันแปลกใจเพราะเธอไม่เคยแสดงความต้องการต่อเขาชัดเจนขนาดนี้มาก่อน และความกลัวว่าเธอจะเจอฟ้างามข้างในนั้น
“นั่งก่อนไหม” เขาพยักพเยิดไปที่โซฟาในห้องรับแขก แต่เธอส่ายหน้าตอบ
“แคลร์ไม่เหนื่อย” หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างเคลิบเคลิ้ม “ตะวันมีกลิ่นเหมือนขนมเลย...”
เขย่งเท้าเพื่อจะได้สูดดมกลิ่นจากซอกคอเขาให้ชื่นใจมากขึ้น ตะวันตัวสั่น รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ที่ผ่านมาคลาริสาไม่เคยเป็นแบบนี้ มีแต่เขาที่ปรารถนาในตัวเธออยู่ฝ่ายเดียว
“เราไม่เคยเห็นแคลร์เป็นแบบนี้เลยนะ”
“ไม่ชอบหรือ”
เธอผละออกแล้วยิงคำถามอย่างน้อยอกน้อยใจ สีหน้าของตะวันสลดลงทันใด ไม่ใช่เขาไม่ชอบ แต่เพราะในห้องนี้ไม่ได้มีเพียงเขากับเธอตามลำพัง
“ชอบ แต่ว่า...”
จังหวะนั้นคลาริสามอบจุมพิตแผ่วเบาที่เรียวปากของตะวัน ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงกระซิบ
“รู้ไหม หลายวันที่เราไม่ได้เจอกัน ทำให้แคลร์เข้าใจอะไรมากขึ้น”
“ยกตัวอย่าง”
“อย่างเช่นว่า... แคลร์พร้อมแล้ว”
คนตัวโตตีความหมายจากคำพูดของหญิงสาวได้ในทางเดียว เขากลืนน้ำลายลงคอเพราะรอวันนี้มานานแสนนานและไม่อยากปล่อยให้เวลาผ่านไปเลยแม้แต่เพียงเสี้ยวนาที
ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไร คลาริสาก็โน้มต้นคอหนาลงมา ประกบเรียวปากบางเข้ากับเรียวปากอุ่นร้อนของเขา ปรนเปรอจุมพิตหวานเลิศล้ำที่เขาปรารถนามานานแสนนาน เสน่ห์ร้ายแสนเย้ายวนนั้นยากเกินกว่าที่ตะวันจะต้านทานไหว เขาปล่อยตัวปล่อยใจไปตามอารมณ์เบื้องต่ำ ไม่แยแสแม้กระทั่งว่าในนี้ไม่ได้มีเพียงสองคน ยังมีใครอีกคนที่เขาซ่อนไว้
คนที่เขาคงลืมไปแล้วว่ามีชีวิตและมีหัวใจ...
คนที่เขาไม่เคยเห็นค่าเลยแม้แต่วินาทีเดียว...
ฟ้างามที่แง้มประตูมองออกมาจากในห้องนอนถึงกับต้องยกมือขึ้นมาปิดปากกลั้นเสียงสะอื้น เมื่อกี้ตะวันนอนกับเธอ แต่ตอนนี้เขากำลังจะนอนกับผู้หญิงคนนั้นต่อหน้าต่อตาของเธอ
หัวใจเขาทำด้วยอะไร...
ฟ้างามเห็นทั้งสองจูบกัน แลกลิ้นกันนัวเนีย ตะวันผลักคลาริสาที่ทำท่าทางเหนียมอายไร้เดียงสาลงกับโซฟา ตามลงไปจูบพรมทั่วใบหน้าสวยเฉี่ยวของหล่อน ก่อนจะวกไปดื่มด่ำกับเรียวปากสีส้มอิฐ พอสมใจก็ผละออกเพื่อให้ได้มองหล่อนอย่างเต็มตา
สายตาที่เขามองคลาริสานั้นเต็มไปด้วยความรักความต้องการอันเปี่ยมล้น ตรงกันข้ามกับแววตาเกลียดชังหมายหักหาญน้ำใจกันให้ชอกช้ำที่เขามองเธอ
ฟ้างามรู้สึกคล้ายกำลังจะขาดอากาศหายใจ อึดอัดและกดดันในสถานการณ์ที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากหลบอยู่เงียบ ๆ ในขณะที่สองคนนั้นกำลังจะมีอะไรกัน
ความกดดันพลุ่งพล่านในใจจนต้องกัดริมฝีปากข่มมันเอาไว้ แต่ก็แทบจะลืมหายใจเมื่อเสียงครางประสานของคนในนั้นทำให้สมองมึนตื้อชนิดที่ว่าจับต้นชนปลายอะไรไม่ได้เลย
จะให้เรื่องนี้มันเกิดขึ้นจริง ๆ งั้นหรือ
คำถามนั้นดังก้องอยู่ในหัวใจ และคำตอบมันมีได้แค่เพียงอย่างเดียวคือ ‘ไม่ได้’ หากเขาอยากมีอะไรกับคลาริสาก็ขอให้ไปที่อื่น เธอรับไม่ไหวและคงต้องสติแตกแน่ ๆ หากเขาจะทำมันตรงนี้
หญิงสาวหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาแล้วรีบโทรเข้าเบอร์เขา ให้มันช่วยขัดจังหวะสองคนนั้นแทนเธอ
เสียงเรียกเข้าทำให้ตะวันผละออกจากคลาริสา สมองส่วนที่เห็นเหตุผลเริ่มทำงานมากกว่าส่วนของความต้องการ ฝ่ายคนใต้ร่างก็รีบกระถดตัวหนี ท่าทางเหมือนทำตัวไม่ถูกและรู้สึกผิด
แต่ความรู้สึกลึก ๆ บอกกับฟ้างามว่าคลาริสากำลังเสแสร้ง
ในขณะเดียวกันฟ้างามก็รู้สึกขอบคุณโชคชะตาที่ทำให้เสียงโทรศัพท์มันได้ผล คราวนี้คงอยู่ที่จิตใต้สำนึกอย่างเดียวแล้ว
“รับสายเถอะค่ะตะวัน”
คลาริสาบอก ตะวันเขาพยักหน้าให้แล้วขยับไปหยิบมือถือ พอเห็นชื่อที่โชว์บนหน้าจอก็อดที่จะมองไปทางประตูห้องนอนไม่ได้เลย
ฟ้างาม...
เขาเจอกับสายตาที่มองผ่านประตูห้องนอนซึ่งแง้มอยู่ หัวใจเขาชาวาบ รู้สึกหนักอึ้งและปวดหนึบในหัวใจ เขาเกือบลืมไปแล้วว่าซ่อนเธออยู่ในนั้น เกือบทำเรื่องน่าละอายต่อหน้าเธอ
ต่อให้เขาอยากทำให้เธอเจ็บปวดมากเท่าไหร่ การจะมีอะไรกับผู้หญิงคนอื่นให้เธอเห็นมันก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากทำ
“ใครอะตะวัน” คลาริสาถาม ตะวันจึงตัดสายตาจากประตูห้องนอนแล้วหันไปตอบเพื่อนสาว
“โทรผิดมั้ง เบอร์ไม่คุ้น”
“อ๋อ”
เธอพยักหน้าคล้อยตาม ส่วนตะวันก็สูดหายใจเข้าปอดลึกเพื่อตั้งสติ สภาพคลาริสาตอนนี้น่าฟัดเหลือเกิน ทว่าท่าทางเจ้าหล่อนก็คงอับอายไม่น้อย
ก็แน่ละ... ตั้งแต่เกิดมาผู้หญิงที่แสนดีอย่างคนตรงหน้าคงไม่เคยต้องมือชายมาก่อน ความคิดนั้นทำให้เขารู้สึกเอ็นดูคลาริสามากขึ้นเป็นเท่าตัว เขาโผเข้าไปปลอบประโลมคนขวัญเสียอย่างอ่อนโยน
“เราขอโทษนะ”
ฟ้างามรู้สึกอิจฉาคลาริสาเหลือเกิน เธออยากเป็นคนที่เขารักหมดหัวใจ แต่เรื่องที่ผ่านมาสอนให้รู้แล้วว่าต่อให้รักเขาแทบตายมันก็ช่วยอะไรไม่ได้
“ต่อไปเราจะไม่หยามเกียรติแคลร์แบบนี้อีกแล้ว”
“ไม่ต้องขอโทษหรอก” คลาริสาทำก้มหน้าบีบน้ำตา แล้วยอมรับเสียงสะอื้น “แคลร์เองก็ผิด”
“มันไม่ใช่ความผิดของแคลร์เลยนะ เราผิดเองที่ไม่ยับยั้งชั่งใจ”
ตะวันกลืนน้ำลายลงคอเฝื่อน ๆ ไม่ใช่เป็นเพราะเขารู้สึกผิดต่อคลาริสาอย่างปากกว่า แต่เพราะเขารู้สึกเสียใจที่ทำเรื่องแบบนี้ต่อหน้าคนในห้องนอนต่างหาก
“ช่างมันเถอะ” คลาริสาบอก “เราอย่าพูดถึงเรื่องนี้อีกเลยนะ แคลร์ไม่อยากรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้หญิงไร้ยางอาย”
“เราไม่เคยคิดแบบนั้น แคลร์เป็นผู้หญิงที่ดีที่สุดในชีวิตเรานะ สาบานว่าจะไม่มีวันทำแบบนี้อีก”
ฟ้างามยกมือขึ้นมากุมหัวใจเมื่อได้ยินคำที่บอกกับผู้หญิงที่เขารัก มันตอกย้ำให้รู้ ว่าในสายตาเขา เธออยู่ในระดับไหน ร่างสั่นสะท้านกอดตัวเองร้องไห้สะอึกสะอื้น
บอกหัวใจให้ร้องไห้ออกมาให้พอ เพราะครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย
“ขอบคุณนะ”
ฝ่ายคลาริสาน้ำตาไหลซาบซึ้งใจ เธอบีบมือเขาแน่น ก่อนที่ชายหนุ่มจะยกมือคู่นั้นขึ้นมาจูบ จากนั้นเธอก็รีบจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วบอกกับเขาว่า
“ไปหาอะไรกินดีกว่า แคลร์หิว”
“ร้านเดิมไหม”
คนตัวโตส่งแขนให้หญิงสาวควง ฝ่ายนั้นสอดแขนเล็กคล้องแขนใหญ่แล้วซบไหล่หนาราวกับว่าจะไม่สามารถเดินได้ด้วยตัวเอง และในจังหวะที่ทั้งคู่จะเดินออกจากห้องไป ฟ้างามเกือบคิดว่าตัวเองตาฝาดไป ที่เห็นว่าคลาริสาหันมามองเธอพร้อมกับรอยยิ้มของผู้ชนะ
หล่อนรู้ตั้งแต่แรกงั้นหรือว่าเธออยู่ในห้องนี้ ?
ไม่หรอกน่า... ถ้ารู้ตั้งแต่แรกแล้วทำไมถึงยอมให้ตะวันกอดจูบพลอดรักเสียขนาดนั้น หลายคำถามผุดขึ้นมาในสมองของฟ้างาม และมันทำให้เธอรู้สึกเคลือบแคลงในตัวคลาริสามากเข้าไปอีก
ตกลงผู้หญิงคนนี้เป็นคนแบบไหนกัน...
หนึ่งวันที่ติดอยู่ในห้องพักแพทย์ของตะวันให้ความรู้สึกนานชั่วกัปชั่วกัลป์ และสิ่งที่เขาทำวันนี้ก็ยิ่งทำให้ฟ้างามเหมือนตกนรกทั้งเป็น มือน้อยเช็ดน้ำตาที่ไหลลงมาหยดแล้วหยดเล่า ภาพความโหดร้ายของเขายังเล่นวนซ้ำอยู่ในความทรงจำ
เขาไม่เคยสงสารหัวใจดวงนี้เลย สำหรับเขา... คลาริสาคือเพชรล้ำค่า ส่วนเธอมันก็แค่ผ้าขี้ริ้วสกปรกผืนหนึ่งเท่านั้น
นับต่อจากนี้ไปเธอบอกตัวเองว่าพอได้แล้ว... ควรกลับมารักและเห็นค่าตัวเองเสียที
ทันใดนั้นเอง
แกรก...
เสียงเปิดประตูครั้งนี้ไม่ได้ทำให้แปลกใจ เพราะตลอดทั้งวันไม่มีใครเข้ามาในห้องได้หากไม่ใช่เขา ฟ้างามซึ่งสวมเพียงชุดกาวน์ตัวใหญ่นั่งรอให้เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าเบือนหน้าเปื้อนน้ำตามองคนใจร้าย
ตะวันกลืนน้ำลายลงคอเพราะสายตาเศร้าหมองของเธอ สมองพลันนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างตัวเองกับคลาริสาในห้องนี้ แต่ก็พยายามทำเหมือนไม่สะทกสะท้านอะไร
“ใส่เสื้อผ้าซะ” โยนถุงกระดาษของร้านเสื้อผ้าขึ้นชื่อแห่งหนึ่งลงที่โต๊ะตรงหน้า
ฟ้างามแทบจะร้องไห้ออกมาอีกหน ด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก วันนี้เธอหมดปัญญาจะหาทางออกจากห้องโดยมีเสื้อผ้าครบทุกชิ้นไปแล้ว มือเล็กรีบเก็บถุงนั้นแล้วเดินไปเข้าห้องน้ำ
“พูดเป็นไหมคำว่าขอบคุณ”
ฟ้างามชะงักนิดหนึ่งเมื่อเขาโพล่งขึ้นมา ตะวันจะหาเรื่องหรืออาจต้องการเรียกร้องความสนใจก็เป็นได้ แต่เธอพยายามปล่อยผ่านไป
เธอเหนื่อยมากเหลือเกิน ไม่มีเรี่ยวแรงเอาไว้ต่อกรกับใครได้อีกแล้ว
คนตัวบางรีบเข้าไปในห้องน้ำ สวมเสื้อผ้าที่เขาซื้อมาได้พอดีกับสัดส่วนของเธอให้เสร็จ ก่อนจะออกมาเก็บมือถือใส่ในกระเป๋า เหวี่ยงขึ้นสะพายบ่า ตั้งหน้าตั้งตาเดินออกจากห้องโดยไม่อยากสนใจเขาเลย ทว่าร่างสวยถึงกับเซ เพราะชายหนุ่มกระชากท่อนแขนเรียวเข้าไปอย่างแรง
“คุณตะวัน”
ใบหน้าของฟ้างามเหยเกเพราะเจ็บที่เขาบีบแรง มืออีกข้างพยายามแกะมือเขาออกไป แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล เพราะคนฉวยโอกาสได้รวบตัวเธอเข้าไปกอดเป็นที่เรียบร้อย
“เธอคิดว่าตัวเองเป็นใครถึงมาทำแบบนี้กับฉัน”
“แล้วคุณล่ะ คิดว่าตัวเองเป็นใคร ถึงจะมีอะไรกับคนอื่นต่อหน้างามได้”
“...”
หัวใจของเขาไหววูบหนึ่ง ลมหายใจเริ่มติดขัด ทั้งลำคอยังรู้สึกตีบตันจนไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้เลย ซ้ำร้ายน้ำตาของฟ้างามที่ไหลอาบแก้มกับแววตาแดงก่ำของเธอก็ทำให้เขาเจ็บปวด
“คุณนอนกับเธอแล้ว... ฮึก...”
เขาหายไปกับคลาริสานานเหลือเกิน เธอไม่อาจเข้าใจเป็นอย่างอื่นได้เลย
“...คุณก็ไม่ต้องมานอนกับงามอีก”
“ฉัน...”
เขากลืนก้อนแข็ง ๆ ในลำคอลงไปแล้วตั้งใจบอกกับเธอว่า “ฉันไม่เคยนอนกับแคลร์”
ฟ้างามจ้องหน้าเขาผ่านม่านน้ำตา ศรัทธาอันน้อยนิดที่เธอมีต่อเขาและความหวังที่ว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นมันไม่มีเหลืออีกแล้ว
“เธอไม่เชื่อฉัน?”
ไม่มีคำตอบที่เขาต้องการ...
แต่ยิ่งเธอเงียบเขายิ่งไม่ยอมปล่อย ฟ้างามไม่เข้าใจเลยว่าตะวันต้องการอะไรจากเธอกันแน่ เขาเกลียดเธอเข้าไส้ แต่พอเธอจะไปก็ทำสารพัดอย่างเพื่อให้เธอหมดหนทาง ในบางครั้งที่เธอไม่อยากพูดเขาก็บังคับให้ต้องพูดออกไป
ในบางที... การที่เธอพูดออกไปกลับกลายเป็นผลร้ายกลับมาทำลายหัวใจเธอให้เจ็บช้ำ
ทั้งหมดนั้นคงเป็นเพราะเขาต้องการเอาชนะเธอโดยไม่เกี่ยงวิธี...
ดวงตาหม่นเศร้าจ้องลึกเข้าไปในแววตาวาวโรจน์คู่นั้น หากเขายังพอมีความเป็นคนหลงเหลืออยู่สักนิดเขาอาจจะเข้าใจว่าผู้หญิงคนนี้กำลังจะหมดแรง
“งามเหนื่อย”
“...”
น้ำเสียงเหนื่อยล้าและน้ำตาที่พรั่งพรูทำให้ตะวันชะงัก ความรู้สึกหนักอึ้งถ่วงอยู่ในใจของเขาคล้ายตุ้มเหล็กอันแสนหนัก แวบหนึ่งเขาเกิดสะท้อนในใจ เขาทำให้ใครคนหนึ่งต้องเจ็บช้ำได้ขนาดนี้เชียวหรือ
“ให้งามกลับบ้านได้ไหม”
คนตัวบางวอนขอ แรงสะอื้นจากร่างแน่งน้อยนั้นทำให้เขาอยากกอดเธอเอาไว้แน่น ๆ แต่การต้องมาเห็นเธอในสภาพนี้ทำให้หัวใจเขามันทรมานจนทนไม่ไหว
“งั้นก็ไปให้พ้นหน้าฉัน!”
เขาปล่อยเธอออกจากอ้อมกอดแล้วสะบัดหน้าไปทางอื่น
ฟ้างามรีบเปิดประตูออกไปจากห้องนั้นไม่รอช้า ตะวันไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า เพราะเหตุใดต้องหันมองประตูหลังจากที่เจ้าหล่อนจากไป
ดวงตาเขาปรากฏแววอาวรณ์ห่วงหาขึ้นมาชั่วขณะ แต่แวบเดียวก็ถูกแทนที่ด้วยความสับสนปนหงุดหงิด จนต้องทิ้งตัวลงกับโซฟา
กว่าฟ้างามจะกลับถึงบ้านก็เกือบเที่ยงคืน แต่พ่อกำนันยังรอ ท่านเกือบแจ้งความแล้วเพาะปราปต์กลับมาโดยไม่มีบุตรสาวท่านมาด้วย สอบถามคุณป้าของตนก็พบว่าไม่ได้เรียกพบฟ้างาม คนเป็นพ่อร้อนใจจนหญิงสาวละอายใจ ท่านรักเธอมากเพียงนี้ เธอยังไม่รักดี... ยังเอาร่างกายและหัวใจไปให้คนที่ไม่เคยเห็นค่า ปล่อยให้เขาย่ำยีจนชอกช้ำกลับมาแบบนี้
น้ำตาแห่งความโศกเศร้าพรั่งพรูไม่ขาดสาย ร่างกายบอบบางสะอื้นไห้สั่นสะท้านเดินเข้าไปหาบิดา ท่านกำลังตกใจกับภาพที่เห็นตรงหน้า ฟ้างามเจ็บปวดเสียใจด้วยเรื่องใด หากยังไม่ทันได้ถามอะไรเจ้าหล่อนก็โผเข้ากอดพ่อกำนันอย่างต้องการที่พักพิง
ฟ้างามเกลียดตัวเองที่ทำตัวแย่ วิ่งไล่ตามความรักจากคนใจร้ายจนมองข้ามความรักบริสุทธิ์จากพ่อที่คอยอยู่เคียงข้าง ทว่าแม้แต่จะพูดคำว่าขอโทษ เธอยังไม่กล้า และไม่รู้จะบอกท่านอย่างไรดีว่าวันนี้เจอเรื่องหนักหนาเพียงไร
ได้แต่โกหกว่าคลาดกับปราปต์ แล้วแบตเตอรี่มือถือก็หมด กว่าจะต่อรถกลับมาที่บ้านได้ก็ต้องไปโผล่ที่ที่ไม่รู้จัก โชคดีที่ปราปต์ไม่ได้เล่าอะไรให้พ่อสงสัยเธอไปมากกว่านี้
“งามจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีกแล้วค่ะ งามจะไม่ทำให้พ่อเสียใจ จะไม่ทำให้พ่อต้องเป็นห่วงอีกแล้ว”
“งามไม่เคยทำให้พ่อผิดหวังเลย พ่อภูมิใจในตัวแกนะ อย่าคิดมาก”
ยิ่งท่านภูมิใจในตัวลูกสาวคนนี้มากเท่าไหร่ และยิ่งฟ้างามรู้ดีแก่ใจว่าเคยทำอะไรเลวทรามลับหลังท่านมากแค่ไหน ความรู้สึกผิดก็ยิ่งกัดกินในหัวใจของเธอมากขึ้นเท่านั้น
แต่นับต่อจากนี้ไป... เธอหวังว่าเรื่องราวมันจะคงดีขึ้นกว่าที่เคย
ตอนเช้าของอีกวัน เพราะระแวงว่าตะวันจะมาฉุดไปขังเหมือนเมื่อวาน ฟ้างามเลยไม่กล้าออกไปจ่ายตลาด อาหารเช้ามื้อนี้จึงเป็นเมนูง่าย ๆ อย่างไข่เจียวและไข่น้ำ ที่พอจะทำให้พ่อกำนันทาน แล้วออกไปทำงานที่นาได้ แต่พ่อกำนันแปลกใจที่เห็นเปลือกตาบุตรสาวบวมเป่งจากการร้องไห้ เธอก็ได้แต่ปดคำโตว่าทำอายครีมเข้าตา ทว่าท่านไม่ค่อยจะเชื่อ
“พ่อก็นึกว่าอกหัก ช่วงนี้งามโหมงานหนักเหมือนคนที่เสียใจกับอะไรมาก ๆ”
ฟ้างามไม่เคยรู้เลยว่าที่ผ่านมาอาการของเธอจะสังเกตได้ง่ายขนาดนี้ หรือมันอาจเป็นเพราะว่าท่านใส่ใจเธออยู่ตลอดเวลาจึงรับรู้ได้ว่าเธอกำลังเศร้า
“งามไม่มีแฟนจะอกหักได้ยังไงคะ”
ถึงจะบอกไปแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้สีหน้าของคนเป็นพ่อดีขึ้นเลย
“ถ้างามมีอะไร งามบอกพ่อได้นะ พ่อไม่อยากเห็นงามเป็นแบบนี้”
บอกได้ทุกเรื่องจริง ๆ หรือ...
สำหรับพ่อที่คาดหวังในตัวลูกสาวไว้มากขนาดนี้ ท่านจะรับได้จริงใช่ไหม ถ้าหากรู้ว่าเธอทำตัวนอกคอกแค่ไหน
เธอกลัวพ่อจะเกลียด กลัวท่านจะรับไม่ไหว และเธอยังไม่พร้อมที่จะเห็นแววตาสิ้นหวังและโกรธเกลียดที่พ่อจะมองมา หากท่านรู้ว่าเธอซ่อนความลับอะไรเอาไว้
ฟ้างามไม่อยากเสี่ยง อย่างน้อยก็ในตอนนี้…
“ถ้าพ่อคิดว่างามอกหัก แล้วงามจะอกหักจากใครล่ะคะ”
“จากฝรั่งที่งามอาจจะแอบคบอยู่”
“งามไม่ชอบฝรั่ง”
เธอไม่ได้ตอบความจริงทั้งหมด เพราะถ้าเธอจะรักใครสักคน ตัวแปรสำคัญใช่จะเป็นเรื่องเชื้อชาติ ศาสนา หรือขั้วการเมือง แต่เพราะหัวใจเธอมีใครบางคนอยู่ จึงดูเหมือนว่าไม่มีใครเข้าตาเธอเลยสักคน
“’งั้นก็... จากนายตะวัน” พ่อกำนันพูดอีก
คราวนี้ลำคอของฟ้างามแห้งผาก มือไม้สั่นไปหมด เพราะตัวเลือกนี้บ่งบอกว่าท่านกำลังสงสัยเรื่องของเธอกับตะวันอยู่แล้ว แต่ท่านเพิ่งจะเผยให้ได้รู้
“เขาเหม็นหน้างามจะตาย ทำไมคิดว่างามจะอกหักจากเขาล่ะคะ?”
“ก็งามรักเขา”
ท่านตักน้ำแกงเข้าปากแล้วกลืนลำบากเหลือเกินเมื่อต้องพูดว่าลูกสาวตน ‘รัก’ ผู้ชายคนนั้น ฟ้างามอึ้งไปเลยที่ท่านดูออก
“เป็นไปไม่ได้ล้านเปอร์เซ็นต์เลยค่ะ”
ฟ้างามตอบเสียงหนักแน่น คนเป็นพ่อช้อนสายตาขึ้นมองบุตรสาวที่นั่งอีกฝั่งของโต๊ะทานข้าวอย่างประเมิน เธอจึงพูดย้ำไปอีกว่า
“งามไม่ได้รักเขา”
“ถ้างามโกหกพ่อ พ่อคงจะเสียใจมาก”
เสียใจหรือ...
เมื่อคำคำนี้มันออกมาจากปากของคนในครอบครัว มันดูรุนแรงมากกว่าได้ยินจากคนอื่นเป็นสิบเท่า
“งามไม่คู่ควรกับเขา เรากับเขามันต่างกันมากงามก็รู้ พ่อจะผิดหวังมากถ้ารู้ว่างามพยายามเล่นกับไฟ”
ฟ้างามจุกในอกจนพูดไม่ออก เธอได้แต่ฝืนยิ้มให้คนเป็นพ่อ แล้วก็ตักอาหารให้ท่านเพื่อไม่ได้ตัวเองเสียอาการ หากทว่ากำลังพยายามพูดอะไรสักอย่างออกมาโดยมั่นใจว่าเสียงจะไม่สั่น
“งามชอบคุณปราปต์ค่ะพ่อ”
พอได้ยินเช่นนี้ พ่อกำนันก็มีสีหน้าคลายกังวล นั่นเพราะท่านชอบปราปต์ที่เป็นคนขยันขันแข็งมาก พอ ๆ กับเคารพบิดามารดาของเขา
“ในเมื่อเป็นคุณปราปต์ พ่อก็โล่งใจ”
ท่าทีของท่านผ่อนคลายลง ฟ้างามเลยได้แต่ส่งยิ้มแกน ๆ ให้
“ทานข้าวต่อเถอะค่ะ เดี๋ยวสายกว่านี้แดดแรงนะคะ”
เธอตักไข่เจียวให้พ่ออีก และคิดว่าเรื่องอึดอัดใจในเช้าวันนี้มันจะจบลงแล้ว หากไม่เป็นเพราะว่ารถของไร่พักตร์ตะวันแล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน ฟ้างามเห็นตะวันเปิดประตูลงมาจากฝั่งคนขับ แล้วก็เดินอ้อมมาเปิดประตูอีกฝั่ง
หญิงสาวแทบลืมหายใจเมื่อรู้ว่าเป็นเขา ความกลัวมันอัดแน่นเช่นเดียวกับความอึดอัดที่กำลังคุกรุ่น เพราะเธอไม่รู้เลยว่าตะวันมาที่นี่ทำไม มิหนำซ้ำเขายังพาคุณย่ามาด้วย
