บทที่ 9 8
คุณศรีสุดามาจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่เย็นวาน และเช้านี้ท่านแวะซื้อข้าวแกงก่อนจะมาบ้านพ่อกำนัน เพราะอยากทานอาหารเช้าร่วมกัน แต่ที่จริงมันเป็นความคิดของตะวันต่างหาก
‘ทำไมถึงอยากให้ย่าพาไปบ้านน้อง’ เมื่อคุณย่าเอ่ยถามในตอนนั้น คนที่เตรียมคำพูดมาอย่างดีเลยตอบไปว่า
‘คือวันก่อนผมทำน้องโกรธน่ะครับ ผมเลยอยากขอโทษ แต่ไม่กล้าไปบ้านน้องคนเดียว…’ ถึงตอนนี้เขาแสร้งปั้นหน้ายุ่งยากใจ ‘คุณย่าก็รู้ว่าพ่อกำนันไม่ค่อยชอบหน้าผม’
‘ก็สมควรนะ’
‘อ้าว’
‘ก็ตะวันชอบปากเสียกับน้องนี่นา’
‘ผมรู้ตัวครับ’ ตะวันแกล้งก้มหน้าสำนึกผิด หากแต่มันมีส่วนของความรู้สึกจริง ๆ ของเขาอยู่นิดหน่อย ‘ตอนนี้น้องไม่คุยกับผมเลย ผมก็อยากจะขอโทษน้อง’
‘คิดอะไรกับน้องหรือเปล่า’ ท่านถาม
‘หมายถึงยังไงครับ?’ เขาแกล้งไม่เข้าใจ
‘ตะวันชอบน้องใช่ไหม’
‘ผมจะคิดอะไรกับน้องได้ล่ะครับ เห็นกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ’ อยากบอกย่าว่าเขาเกลียดน้องด้วยซ้ำ ที่จะไปหาวันนี้ก็เพียงแค่ต้องการรักษาสิทธิ์ตัวเอง ‘ถึงผมจะปากเสียกับงามไปหน่อย แต่งามก็เหมือนน้องผมนะครับ’
เวลานั้นคุณย่าหรี่ตามองเขาเหมือนจะจับผิด แต่เขามั่นใจว่าไม่ได้แสดงพิรุธอะไร ท่านก็ตัดสายตาจากเขาแล้วพยักหน้าให้น้อย ๆ
‘ก็ได้ ย่าจะพาไป’ ท่านว่า ทำเอาเขายิ้มกว้าง แต่คุณย่ากลับทำตาดุมองเขาแล้วบอกเสียงเข้ม ๆ ว่า ‘แต่ต้องระวังคำพูดด้วยล่ะ’
‘ครับ’
ตอนนี้เขาเลยได้มายืนอยู่ที่หน้าบ้านของพ่อกำนันซึ่งเดินออกมาต้อนรับคุณย่า ส่วนฟ้างามก็มาช่วยเขาถือของซึ่งก่อนหน้านี้เขาขนลงจากท้ายรถมาแล้วด้วยตัวเอง แต่สายตาที่เจ้าหล่อนดูเหมือนไม่พอใจเท่าไหร่ที่เห็นเขาอยู่ตรงนี้ มันทำให้เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าอย่างบอกไม่ถูก
“แปลกใจไหม”
เขากระซิบถามคนที่กำลังแบ่งของในมือเขาออกไปถือ คนตัวเล็กช้อนสายตาขึ้นมองเขา ความขุ่นเคืองยิ่งชัดเจนขึ้น ทว่าเจ้าหล่อนไม่ตอบอะไร
ด้านคุณย่าก็อธิบายกับพ่อกำนันว่าท่านไม่ได้มาทานข้าวบ้านนี้นานแล้ว เลยอยากมา แต่ลืมโทร.บอกก่อนตามประสาคนแก่ ทำให้พ่อกำนันไม่ได้สงสัยอะไร แต่แน่นอนว่าท่านไม่สบอารมณ์กับเขาเท่าไหร่นัก
“คิดจะเลิกกับฉัน มันไม่ง่ายหรอกนะ”
ตะวันเหลือบมองพ่อกำนันเล็กน้อย เห็นว่าท่านคุยกับคุณย่าอยู่ไม่ได้สนใจมองทางนี้ จึงรวบข้อมือเธอไว้ และเข้าใจดีว่าเพราะเหตุใดเจ้าหล่อนถึงไม่กล้าโวยวาย
“เราไม่เคยคบกัน คุณอย่าใช้คำว่าเลิกได้ไหม” เธอบอก พลางดึงมือออกแรง ๆ แล้วรีบเดินเข้าไปในบ้าน
ชายหนุ่มเห็นท่าทางแบบนั้นแล้วหมั่นไส้ อยากจับคว่ำหน้าแล้วตีก้นให้หนำใจ หากก็ทำได้แค่เดินตามเธอเข้าไปในบ้าน
“ให้เอาวางไหน” เขาถามพลางชูมือสองข้างที่เต็มไปด้วยกับข้าวและผลไม้
“เอามาวางในครัวค่ะ เดี๋ยวงามจะจัดจาน”
คนที่เดินไปเกือบจะถึงประตูห้องครัวแล้วต้องหันมาบอก ตะวันยิ้มมุมปากก่อนจะเดินตามร่างบอบบางเข้าไป เขาวางของในมือรวมกับของที่เธอถือมาก่อนไว้ที่เคาน์เตอร์
“เมื่อคืนร้องไห้หนักเลยหรือ?”
คำถามของตะวันทำให้ฟ้างามชะงัก แต่ตาของเธอมันคงบวมมากจริง ๆ แล้วก็ไม่เห็นประโยชน์ที่จะต้องโกหกเขาเหมือนที่โกหกพ่อ
“ค่ะ”
ตอบพลางหยิบจานชามออกมา แล้ววางลงใกล้ ๆ ถุงพลาสติกหลายถุงที่ตะวันซื้อมา เริ่มแกะข้าวต้มปลาใส่ชามก่อน ทว่าตะวันยังนิ่ง ต่อให้เธอไม่ได้มองหน้าเขา ก็รู้ว่าเขากำลังมองเธออยู่
“คุณออกไปรอข้างนอกไหมคะ งามต้องการพื้นที่”
หรือง่าย ๆ เลยคือ... ตะวันเกะกะ
ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไร เขาดันมาช่วยเธอแกะข้าวต้มถุงอื่นใส่ชาม เทผลไม้ที่ซื้อแบบที่ปอกและหั่นมาเรียบร้อยแล้วใส่ในจานลายดอกกุหลาบที่เธอจะนำมาใช้ก็ต่อเมื่อมีแขก
ระหว่างนั้นก็เหลือบมองฟ้างามที่จัดแจงทุกอย่างอย่างคล่องแคล่ว แต่เธอไม่สนใจจะหันมาคุยกับเขาเลยสักนิด เพราะอยากทำให้เสร็จ จะได้ออกไปจากตรงนี้
เธอไม่ไว้ใจเขา พอ ๆ กับที่ไม่อยากเห็นหน้าเขา
“ที่เธอร้องไห้ ก็เพราะคิดว่าฉันนอนกับแคลร์ใช่ไหม?”
ฟ้างามชะงักอีกครั้ง และหนนี้หญิงสาวถึงกับต้องถอนหายใจ ตะวันมีวิธีเรียกร้องความสนใจหลายรูปแบบ หนึ่งในนั้นก็คือการพูดจี้ใจดำคนอื่น
“ที่งามเสียใจ เพราะงามสงสารตัวเอง ส่วนคุณ จะไปนอนกับใครก็เชิญค่ะ แค่อย่ามานอนกับงามอีกก็พอ”
“ฉันไม่เคยนอนกับแคลร์นะ”
คนตัวโตขยับเข้าไปคว้าข้อมือข้างหนึ่งเธอไว้ ออกแรงดึงให้ฟ้างามขยับเข้ามาชิดใกล้ จนลมหายใจของเธอเป่ารดแผงอกของเขา แล้วฉวยโอกาสกอดรอบเอวคอดกิ่วเอาไว้ แล้วก้มลงกระซิบชิดใบหน้าสวย
“นั่นหมายความว่าฉันยังนอนกับเธอได้”
ฟ้างามพยายามผลักเขาออก รู้สึกเจ็บหนึบในอกจนอยากจะร้องไห้ เขาเห็นเธอเป็นควายหรือไงที่จะยอมเชื่อในสิ่งที่เขาพูด
ขนาดเขารู้ว่าเธออยู่ตรงนั้น เขายังเกือบจะมีอะไรกันต่อหน้าต่อตาเธอ ลับหลังไปเธอไม่มีทางรู้ว่าทั้งสองคนจะเริงรักกันดุเด็ดแค่ไหน
แล้วเขาก็ไม่จำเป็นต้องตามมาอธิบายเหมือนแคร์กันมากก็ได้ เธอรู้ว่ามันไม่ได้ออกมาจากใจเขา ตะวันแค่พูดเพื่อให้ได้ในสิ่งที่เขาต้องการ
“พอเถอะค่ะ” ดวงตางามช้อนขึ้นมองเขาอย่างวิงวอน หากเขาไม่สงสารเธอ เขาก็ควรสงสารตัวเองบ้าง “หมอไม่เหนื่อยหรือไงที่ต้องมาตามงามแบบนี้”
“เธอเข้าใจอะไรผิดไปนะงาม”
เขากระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นแล้วหัวเราะในลำคอเสียงเย็น ก่อนจะใช้นิ้วเคาะศีรษะเธอเบา ๆ ทั้งยั่วโมโหทั้งกวนประสาทจนฟ้างามอยากข่วนเขาให้ตัวลาย
“ยังจำได้อยู่ไหม ว่าเธออยู่ในสถานะอะไร”
“...”
“เธอเป็นเมียเก็บ”
ทำไมเธอจะจำไม่ได้ว่าตัวเองอยู่ตรงไหน ที่ผ่านมาเธอไม่เคยเรียกร้องอะไรจากเขาเลย ตอนนี้เพียงแค่อยากให้ตะวันเลิกแล้วต่อกัน
เขาทำให้กันแค่นี้ไม่ได้เชียวหรือ
“คือต่อให้ฉันจะไปเอากับใครที่ไหนมาเป็นร้อย หรือมีเมียตัวจริงสักกี่สิบคน... ฉันก็จะมานอนกับเธอเมื่อไหร่ก็ได้ที่ฉันต้องการ”
“คุณมันโคตรเห็นแก่ตัวเลย”
“ก็ดีที่รู้”
“บ้าหรือเปล่า? คุณไม่ได้ต้องการงามตั้งแต่แรก แล้วทำไมเป็นแบบนี้”
“เพราะฉันไม่ไว้ใจเธอไง ใครจะไปรู้ว่าเธอจะแบล็กเมล์ฉันวันไหน สู้เก็บเธอไว้ใกล้ ๆ ตัวแบบนี้ดีกว่า”
มือเขาเลื่อนลงไปขยำบั้นท้ายงามงอนไม่ออมแรง คนตัวบางตกใจแต่ไม่กล้าร้อง แต่ก็ผลักเขาออกสุดแขน ก่อนจะถลาไปคว้ามีดทำครัวมาไว้ป้องกันตัว
“อย่ามาทำรุ่มร่ามกับงาม”
ตะวันส่งรอยยิ้มอย่างผู้ชนะให้เธอ เขารู้ว่าหญิงสาวไม่กล้าแทงเขาจริง ๆ หรอก และท่าทางข่มขู่ของเธอมันไม่น่ากลัวเลยสักนิดเดียว
“ยังไม่ทำหรอก แต่เย็นนี้ไปเจอกันหน่อยสิ ร้านเดิม”
“งามบอกว่าไม่ก็คือไม่ไง” ตะวันไม่เข้าใจอะไรเลยใช่ไหม หรือเขาเข้าใจ แต่แค่ไม่อยากทำตาม
คนตัวโตหัวเราะแผ่วเบาแล้วก็หันไปยกถาดที่มีชามข้าวต้มวางอยู่สี่ชามออกไปจากครัว เป็นอันเข้าใจตรงกันว่าอย่างไรก็ตามเขาก็จะไม่จบเรื่องระหว่างกันลงง่าย ๆ
เช้านั้นทั้งสี่คนรับประทานอาหารเช้าร่วมกันแต่ฟ้างามคงเป็นคนเดียวที่กินอะไรไม่ลงเลย การเห็นหน้าตะวันทำให้เธออยากจะขย้อนเอาทุกสิ่งทุกอย่างออกมาให้หมด และในเมื่อเขาก็มีจุดยืนของเขา เธอเองก็มีจุดยืนของตัวเองเหมือนกัน
เย็นวันนั้นฟ้างามเลยไม่ออกไปพบตะวันที่ร้านเดิม เธอไม่รู้หรอกว่าเขาไปรอเธอที่ร้านนั้นนานไหม แต่เธอรู้แค่ว่าหากไปพบกัน ตะวันอาจจะขังเธอไว้ไม่ยอมปล่อยให้กลับบ้านง่าย ๆ
ฟ้างามกับพ่อกำนันได้รับคำเชิญให้มาร่วมงานฉลองเปิดฟาร์มศุภโชค แต่คนเป็นพ่อรู้สึกไม่สบาย เธอเลยต้องมาคนเดียว ในขณะที่คุณย่าศรีสุดาและตะวันมาก็ร่วมงานด้วย นอกจากนั้นยังมีคลาริสาซึ่งมาในฐานะคนพิเศษของตะวัน
ทั้งคู่ดูสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก สไตล์การแต่งตัวของคลาริสาเรียกความสนใจจากคนในงานรวมถึงฟ้างามด้วย แต่เธอปั้นหน้าไม่สนใจทั้งที่อยากจะแทรกแผ่นดินหลบไปอยู่ที่ไหนสักแห่งก็ตาม แม้ต้องเข้าไปทักคุณย่าแต่เธอก็ไม่แม้แต่จะเสมองเขาให้เปลืองสายตา
ตะวันก็สนใจแต่คนของเขา ฝ่ายเธอก็มีปราปต์คอยดูแลไม่ห่าง หากไม่มีเรื่องไม่คาดฝันที่ว่าปราปต์ได้ทำร้ายจิตใจของใครอีกคนในงานนั้นเพราะต้องการเก็บเธอไว้เพียงคนเดียวละก็...
หญิงสาวคงได้อยู่ในงานเลี้ยงนั้นต่อไป
ท่าทีที่ปราปต์มีต่อผู้หญิงที่แอบรักเขาอย่างครูอารยา ทำให้ฟ้างามอดนึกถึงสิ่งที่ตะวันทำกับเธอไม่ได้เลย เพราะคุณปราปต์แห่งฟาร์มศุภโชคปาช่อดอกไม้ที่ได้จากครูสาวไปโดนบริเวณหน้าอกของฝ่ายนั้น ฟ้างามยกมือขึ้นมาปิดปากอย่างคาดไม่ถึง ท่ามกลางเสียงฮือฮาของหลายคนในงาน
หัวใจของเธอรู้ดีว่าคนที่โดนแบบนี้จะเจ็บปวดและอับอายเพียงใด ไหนจะคำพูดหักหาญน้ำใจนั่นอีกเล่า... เธออดที่จะสงสารอารยาไม่ได้เลยจริง ๆ
‘น้ำหน้าอย่างเธอฉันแดกไม่ลง เห็นมาตั้งแต่นมเท่าลูกเกด ถ้าสวยแบบฟ้างามนะ จะไม่บ่นสักคำเลย หัดเจียมตัวซะบ้าง’
ไม่มีใครปรารถนาให้ชื่อตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องทะเลาะเบาะแว้งของคนอื่น แต่ดูเหมือนจะสายเกินไปสำหรับฟ้างาม
ความลำบากใจและความรู้สึกแย่ที่มีต่อเพื่อนร่วมรุ่นอย่างอารยาทำให้เธอไม่อาจแบกหน้าอยู่ในงานได้อีกต่อไป
พื้นที่ว่างใกล้ต้นฉำฉาต้นใหญ่ของฟาร์มศุภโชคถูกใช้เป็นลานจอดรถเสริม เนื่องจากที่เดิมนั้นอัดแน่นไปด้วยรถยนต์ของแขกผู้ใหญ่ที่มาร่วมงาน และฟ้างามจอดรถกระบะของพ่อกำนันไว้รวมกับอีกหลายสิบคันในนี้ ทว่าปราปต์ก็วิ่งตามออกมาเพื่ออธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นเสียก่อนที่เธอจะเดินไปถึงที่รถ
“งามอย่าเพิ่งกลับนะครับ”
เพราะไม่อยากเสียมารยาทจึงหยุดเดินเพื่อรอคนที่กำลังวิ่งมา ทั้งที่เวลานี้เขาควรอยู่ในงาน หรือไม่อย่างนั้นก็ควรไปปรับความเข้าใจกับอารยา
“เรื่องที่เกิดขึ้นในงาน ผมอธิบายได้นะ”
“งามเห็นชัดแล้วค่ะว่าคุณปราปต์ไม่ได้รักไม่ได้ชอบครูอ้อนจริง ๆ”
สิ่งที่เขาทำกับคุณครูคนสวยนั้นชัดเจนจนไม่ต้องอธิบาย และแน่นอนว่ามันต้องทำให้อารยาอับอายไปอีกนาน
“แต่ปราปต์ชอบงามนะ ชอบมาตลอดสิบปี”
“...”
ฟ้างามกลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก เธอไม่รู้ว่าควรจะตอบแบบไหนให้เขาช้ำใจน้อยที่สุด แต่อย่างไรก็ตาม คนเราหนีความจริงไม่พ้น
“เราเป็นเพื่อนกันแบบนี้เหมือนเดิมเถอะนะคะ”
ปราปต์ส่ายหน้าไม่ยอมรับในสิ่งที่เธอพูด ชายหนุ่มรวบมือทั้งสองข้างของเธอไว้คล้ายวอนขอ
“ทำไมล่ะงาม หรือไม่เชื่อว่าปราปต์กับอ้อนไม่ได้เป็นอะไรกันจริง ๆ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ แต่ว่างาม-”
“คุณปราปต์ครับ”
ยังไม่ทันจะได้บอกอะไร เสียงเรียกของนายปองลูกน้องเขาก็ดังมาขัดจังหวะเสียก่อน ปราปต์หันไปมองทางนั้นด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“ท่านผู้ว่าจะกลับแล้วครับ ท่านให้ผมมาตามคุณปราปต์น่ะ”
เพราะมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ ชายหนุ่มจึงจำใจต้องแยกจากไป ฟ้างามเองก็ถึงกับถอนหายใจ เมื่อไหร่จะมีโอกาสได้บอกไปว่าเธอไม่เคยคิดอะไรกับเขาในทางชู้สาวเลย
อีกส่วนหนึ่งที่ไม่อยากให้โอกาสเขาก็เพราะกลัวว่าวันหนึ่งหากเธอรักเขาได้จริง ๆ ชายหนุ่มจะทำกับเธอเหมือนที่เขาทำกับอารยา เหมือนอย่างที่ตะวันทำกับเธอตลอดเวลาที่ผ่านมา
แต่คนหนึ่งที่จะไม่เชื่อคำพูดนั้นเห็นจะเป็นตะวัน
“แรดไม่พอ ยังหน้าด้านแย่งผัวเพื่อน”
คำพูดคำจาเหน็บแนมดังมากระทบโสตประสาทของหญิงสาว ก่อนที่เจ้าของเสียงจะปรากฏตัวเสียอีก ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาไปเอาวิชาจิกกัดแบบนี้มาจากไหน
คนตัวเล็กมองหาเจ้าของเสียงจนพบว่าตะวันกำลังเดินออกมาจากหลังรถคันหนึ่งซึ่งไม่ไกลจากจุดที่เธอยืนอยู่ ไม่อยากคิดว่าเขาสะกดรอยตามเธอออกมา แต่คนอย่างเขาทำได้ทุกอย่างเพื่อเอาชนะ
“ต้องให้รางวัลคันดีเด่นซะแล้ว”
คำที่มันหลุดออกมาจากปากของตะวันทำให้เธอนิ่งไม่ไหว สองมือเรียวกำแน่นเพราะโทสะที่มันกำลังคุกรุ่นอยู่ในอก พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่โพล่งคำพูดที่อาจทำให้ตัวเองมีอันตราย สุดท้ายเลยต้องสะบัดหน้าเดินหนี ทว่ายังก้าวได้ไม่เท่าไหร่ ตะวันก็เดินมากระชากแขนขาวเอาไว้
“เธอกลัวหรือ?”
“ถามยังกะตัวเองน่ารัก” ไม่มีเหตุผลที่เธอจะไม่กลัวคนอย่างเขา ยิ่งอยู่กันตามลำพัง ดีกรีความบ้าคลั่งของตะวันก็ยิ่งพุ่งสูงขึ้น
ตะวันหัวเราะในลำคอ ทำเอาคนตัวเล็กหายใจไม่ทั่วท้อง
“ฉันแค่จะถามว่าเมื่อวานทำไมไม่ไปตามนัด”
เรื่องนี้อีกแล้ว... เธอก็บอกแล้วนี่นาว่าเธอไม่ไป เธอยังชัดเจนไม่พออีกหรือ บอกแล้วว่าจะไม่ไป แต่คนที่ไม่เข้าใจอะไรกลับเดินเข้ามาจับไหล่ทั้งสองข้างแล้วดึงร่างบางเข้าไปแรง ๆ เมื่อวานเธอกล้าปล่อยให้เขานั่งรออยู่ที่ร้านประจำเกือบสองชั่วโมง โทรก็ไม่ติด ติดต่อทางไหนก็ไม่ตอบกลับ
ฟ้างามคิดว่าตัวเองเป็นใครถึงกล้าทำกับเขาแบบนี้!
“เธอท้าทายฉัน!”
บ้าจริง! เธอจะไม่คุยกับตะวันเด็ดขาดหากเขายังอยู่ในอารมณ์นี้ ไม่อย่างนั้นมันคงลงเอยกันที่เธอต้องเจ็บตัว ฟ้างามถอนหายใจเหนื่อยหน่ายพลางแกะมือตะวันออก
“ไว้คุยกันตอนที่หมออารมณ์ดีนะคะ”
เมื่อฟ้างามแสดงอาการแบบนี้ต่อหน้าเขา ทำให้ตะวันรู้สึกหวิวโหวงในอกอย่างบอกไม่ถูก ที่ผ่านมาเธอไม่เคยเป็นแบบนี้ ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับเขา เจ้าหล่อนไม่เคยแข็งข้อ แต่ทำไมตอนนี้...
“เพราะมาหามันสินะ”
นายปราปต์คือต้นเหตุที่ทำให้ลูกไก่ในกำมือเริ่มจิกมือของเขา ด้านฟ้างามกลับส่ายหน้า แววตาผิดหวัง เธอรีบสะบัดตัวออกจากเขาอย่างรวดเร็ว แต่แล้วก็ต้องหยุดเท้าไว้เพราะตะวันเริ่มใช้ถ้อยคำที่รุนแรงขึ้นจนเกินรับไหว
“แม่งโคตรร่าน”
เธอหันไปมองหน้าเขา ตัดพ้อผ่านแววตา ไม่คิดเลยว่าคำพูดต่ำ ๆ มันจะออกมาจากปากของคนมีการศึกษา แถมยังมาจากชาติตระกูลที่ดี
ตะวันคือข้อพิสูจน์ที่ว่า ครอบครัวกับการศึกษา ไม่ได้การันตีว่าสันดานคนมันจะดีเสมอไป...
ฟ้างามไม่อยากเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือ ทั้งจนปัญญาจะต่อปากต่อคำ ต่อให้พูดจนปากฉีกถึงรูหูเธอก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้ หญิงสาวหันหลังเดินกลับไป บอกตัวเองให้ยั้งโทสะเอาไว้ กระทั่งถึงประโยคหนึ่งของตะวันที่ทำให้เธอทนไม่ได้
“ไปเรียนวิชาโสเภณีมาจากไหนล่ะ”
“ที่เดียวกับคุณแคลร์มั้ง”
“อย่าพาดพิงถึงแคลร์”
“ขนาดหมอไม่ใช่คุณแคลร์ ยังโกรธขนาดนี้ แต่งามนี่สิ โดนดูถูกซึ่งหน้า หมอคิดว่างามจะต้องรู้สึกขอบคุณหมอไหม แบบ... ขอบคุณที่ทดสอบความอดทนของงาม อย่างนี้หรือคะ ?”
เรียวปากสวยแสยะยิ้มสมเพช กดความน้อยใจเอาไว้ในส่วนที่ลึกที่สุด อย่าแสดงให้เขาเห็นว่ายังมีเยื่อใย มันคือจุดอ่อนที่ชายหนุ่มจะใช้เป็นเครื่องมือทำร้ายเธอ
“ก็ได้นะ” เขาแสยะยิ้มพลางยักไหล่กวน ๆ “เธอควรขอบคุณฉัน ที่เตือนสติเธอว่าเธอมันคนละชั้นกับแคลร์”
“หรือคะ?” ฟ้างามแกล้งทำตาโต ทั้งที่น้ำตามันกำลังไหลในใจ “เอ แต่งามก็เห็นคุณแคลร์ก็ชอบแบให้คนอื่นเอาอยู่บ่อย ๆ นะคะ แบบนี้เรียกว่าคนละชั้นไหมนะ?”
“หยุดพูดพล่อย ๆ”
“งามพูดความจริง”
“ฉันไม่ได้โง่”
เขารู้จักฟ้างามกับคลาริสามานานมากพอที่จะรู้ว่าใครเป็นอย่างไร และคนไหนที่ดีพร้อมที่คนอย่างเขาจะรัก ฟ้างามไม่ต้องสร้างเรื่องหลอกลวงขึ้นมาเพื่อทำร้ายคลาริสาก็ได้
ใครเป็นอย่างไรเขาคิดว่าตัวเขาเองสัมผัสได้
ด้านฟ้างามเธอก็อยากหัวเราะเยาะคนตรงหน้าดัง ๆ เพราะไม่รู้ว่าตะวันเอาความมั่นใจมาจากไหน คนอย่างเขาเคยเจอผู้หญิงไม่ดีมาสักเท่าไหร่เอง ถึงได้มาตัดสินว่าคนไหนดีคนไหนคบไม่ได้
เขามันก็แค่คนหลงตัวเองที่ตอนนี้กำลังถูกผู้หญิงเจ้ามารยาอย่างคลาริสาหลอก
“หมอแค่ตาบอด”
“ปากดี!”
ฟ้างามพ่นลมหายใจอย่างเยาะหยัน และเธอคิดว่ามันตลกสิ้นดีที่ยังยืนอยู่ตรงนี้ให้เขาตะคอกด่า เหมือนหมาโง่ ๆ ตัวหนึ่ง เลยหันกลับไปพลางมองเขาด้วยหางตาและยกยิ้มสมเพช ทว่าโดยไม่ทันระวัง ร่างน้อยก็ถูกเขากระชากเข้าไปอย่างแรง แต่ครานี้เธอไม่ยอมให้ตัวเองถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียว
“ช่วยด้วยค่ะ! หมอตะวันจะปล้ำงาม” แกล้งร้องเสียงดังจนเขาต้องรีบใช้มือปิดปากเธอไว้
“หยุดร้อง! ...โอ๊ย!”
กลับกลายเป็นเขาเสียเองที่ต้องแหกปากลั่น เพราะคนตัวบางงับฟันเข้ากลางลำนิ้วแกร่ง ก่อนจะออกแรงผลักร่างใหญ่ออกไปจนเขาเกือบล้มลง
“อย่ามาแตะต้องตัวงาม”
ตะวันหัวเราะหึ สายตาเหยียดหยามเต็มขั้นจนคนถูกมองสะท้านไปหมดทั้งหัวใจ
“ไม่อยากจะแตะนักหรอกแม่คุณ กลัวเนื้อหลุดติดมือ เน่าเฟะเสียขนาดนี้”
ฟ้างามกลืนน้ำลายลงคอ ปั้นเสียงให้เป็นปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ขณะบอกออกไปว่า
“งั้นหมอก็จำคำตัวเองไว้นะคะ ต่อไปนี้ถ้าหมอแตะต้องตัวงามอีก งามจะคิดวินาทีละสามพัน”
“ขายเก่งฉิบหาย”
เขาเหยียดหยามกันอีกแล้ว เธอไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าทำไมตะวันถึงได้เอาแต่พูดจาร้าย ๆ หรือนี่มันเป็นสิ่งที่ทำให้เขามีความสุขที่สุดในชีวิตกันนะ
“ขอตัวกลับบ้านนะคะ”
ตะวันยิ้มหยัน ก่อนจะเหน็บ
“ไม่เข้าไปปลอบเพื่อนอ้อนของเธอก่อนหรือไง เธอแย่งผัวเขามาทั้งคนเลยนะ”
ฟ้างามรู้สึกเหมือนโดนหินก้อนใหญ่กระแทกเข้าที่ใบหน้า ตอนนี้เธอถูกตะวันหาเรื่องจนแทบจะบ้าตายอยู่แล้ว คนแบบเขานี่ควรจัดอยู่ในประเภทไหนดี
เป็นพวกย้ำคิดย้ำทำ เรียกร้องความสนใจ หรือว่าขาดความอบอุ่น
อันนี้ฟ้างามเลือกไม่ได้ เพราะทุกอย่างมันรวมกันอยู่ในตัวเขาทั้งหมด อยากให้ตะวันลองไปเช็กสมองหน่อย ดูแล้วอาการน่าจะหนักเอาเรื่อง
“พอดีชนะแล้ว ก็ไม่รู้จะอยู่ทำไม อีกอย่างก็ไม่ได้สนิทกัน”
คำตอบโต้แบบนั้นทำเอาตะวันหน้านิ่วคิ้วขมวด ยิ่งเห็นเจ้าหล่อนลอยหน้าลอยตาไม่สะทกสะท้านก็ยิ่งอยากทำอะไรสักอย่างให้เธอเจ็บแสบบ้าง
“กลัวเขามองออกว่าปลอมมากกว่ามั้ง”
ฟ้างามขบฟันแน่น อยากเข้าไปข่วนหน้าตะวันให้หายแค้นใจ ทว่าเธอรู้จักตะวันดี... ถึงจุดหนึ่งที่เขาทนไม่ได้ เขาสามารถทำอะไรที่เธอหรือใครก็ไม่คาดคิด ถึงตอนนั้นไม่ว่าใครก็ช่วยอะไรเธอไม่ได้ ความคิดนั้นทำให้ตัดสินใจสะบัดหน้าเดินหนีเขาอีกครั้ง และครั้งนี้ตั้งใจว่าจะไม่เสียเวลาต่อปากต่อคำกับเขาอีกแล้ว
แต่ก็นั่นแหละ ทั้งหมดนี้คงยังไม่สาแก่ใจของตะวัน เขาเลยตามมาคว้าต้นแขนเธอเอาไว้อีก ฟ้างามรู้สึกเหนื่อยกับคนบ้าอย่างเขาเหลือเกิน เธอแกะมือเขาออก ในใจก็จับเวลาไปด้วย
“ห้าวิ หมื่นห้านะคะ”
“เออ เดี๋ยวจ่าย”
“กลืนน้ำลายตัวเองมันอร่อยดีใช่ไหมคะ”
“จะอร่อยกว่านี้ถ้าได้ดูหนังสดของเธอกับนายปราปต์”
“หมอ!!!”
“นายคนงานนั่นไม่น่ามาขัดจังหวะเลย ว่าไหม”
ได้ฟังแบบนั้นหญิงสาวถึงกับปรี๊ดแตก ใบหน้าสวยหันหน้ามองชายหนุ่มก่อนจะเค้นเสียงลอดไรฟันออกไปว่า
“ทำไมความคิดอุบาทว์ได้ขนาดนี้”
คนถูกด่าถึงกับหน้าชา ร่างหนาปราดเข้าไปกระชากเรียวแขนงามอีกครั้ง แต่คราวนี้ส่งมือข้างที่ว่างจับที่ต้นคอสวยคล้ายกับจะขู่ไปในตัวว่าถ้าเธอร้อง เขาจะบีบให้ตายคามือ
“อย่าปากดีให้มากนะ คิดว่าถ้าฉันฟิวส์ขาดขึ้นมา ฉันจะสนหน้าอินทร์หน้าพรหมงั้นหรือ? ต่อให้คนมาร่วมงานเลี้ยงของไอ้บ้านนอกนี่เป็นพัน ฉันก็จะเหยียบหน้าเธอให้พวกมันดู”
ในเมื่อเขาไม่ชอบให้เธอปากดีแบบนี้ ทำไมไม่ต่างคนต่างอยู่กันไป จะเข้ามายั่วโมโหกันด้วยเหตุผลอะไร บางทีก็แอบคิดว่าตะวันมีอาการทางจิตหรือเปล่า หญิงสาวจึงผลักเขาออกอีกครั้งแล้วถามด้วยความไม่เข้าใจ
“แล้วจะมายุ่งกับงามทำไม”
“ก็เพราะเธอยังมีหน้าที่ที่เธอต้องทำ”
“งามไม่ทำ” เธอสะบัดเขาออกแต่ไม่เป็นผล ปากก็พูดออกไปเสียงดังว่า “ตั้งแต่วันนี้ไป งามจะเลิกยุ่งกับคนใจร้ายอย่างหมอ”
“แล้วจะไปคบกับมัน?”
“ใช่!”
“ที่มันทำกับผู้หญิงคนนั้น ไม่เรียกใจร้ายเลยสินะ”
“อย่างน้อยเขาก็ดีกับงาม”
คำพูดข้าง ๆ คู ๆ ทำให้เขายิ้มสมเพช เพื่อจะได้เอาชนะเขา หญิงสาวยอมทำถึงขนาดนี้เชียวหรือ
“แต่ฉันไม่ปล่อยเธอไปหรอกนะ วงการนี้เขาแล้วออกยาก”
ตะวันดึงร่างน้อยเข้าไปใกล้แล้วรวบเธอไว้ทั้งตัว พยายามโน้มใบหน้าเข้าไปชิดใกล้กับพวงแก้มสวย แต่เธอก็เบี่ยงหลบราวกับว่ารังเกียจเขาหนักหนา เห็นอย่างนี้แล้วตะวันก็รู้สึกปวดในใจอย่างประหลาด
“ถ้าคุณยังไม่เลิกทำกับงามแบบนี้ งามจะบอกทุกคนว่าเราเป็นอะไรกัน ถึงตอนนั้นงามคงไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว ถ้าจะลงนรก ก็ลงมันพร้อมกันนี่แหละ”
เธออยากจบดี ๆ แต่ตะวันกลับไม่ชอบ ก็คงต้องใช้วิธีนี้ หากแทนที่จะได้เห็นเขายี่หระ ชายหนุ่มกลับเผยรอยยิ้มยียวนพลางผ่อนลมหายใจสบายอารมณ์
“เธอไม่กล้าหรอก”
“...”
เขารู้จักเธอดี ฟ้างามให้ความสำคัญกับชื่อเสียงและศักดิ์ศรีของพ่อกำนันยิ่งกว่าสิ่งไหน แล้วเธอก็รักเขายิ่งกว่าอะไรดี อย่าว่าแต่จะไปบอกทุกคนเลยว่าเป็นอะไรกัน หญิงสาวจะไม่กล้าแม้กระทั่งจะไปคบกับหมอนั่นด้วยซ้ำ
“เอาจริง ถ้าเธอจะบอกใคร เธอคงบอกไปนานแล้ว อีกอย่างกับนายปราปต์นั่น มันจีบเธอมานานแล้วใช่ไหม แต่เธอก็ไม่คบกับมันซะที แล้วมันเป็นเพราะอะไร... ถ้าไม่ใช่เพราะเธอรักฉันมากจนไปไหนไม่ได้”
ตะวันเป็นบ้าอะไร
ก่อนหน้านี้เคยระแวงว่าเธอจะไปคบกับปราปต์จริง ๆ มาวันนี้กลับพูดเหมือนรู้อยู่แล้วว่ามันไม่ใช่แบบนั้น แถมยังดูมั่นใจมากเสียด้วย
“ตอนนั้นอาจเป็นเพราะว่างามยังไม่เคยนอนกับคุณปราปต์มั้งคะ”
ยิ่งกว่าถูกไม้หน้าสามตีกลางแสกหน้าก็คือการที่ฟ้างามยอมรับว่านอนกับนายคนนั้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตะวันระงับอารมณ์ไว้ไม่ได้อีกต่อไป ชายหนุ่มกระชากร่างสวยเข้ามากอดรัดอย่างแรงจนเธอเจ็บไปหมด
สายตาและท่าทางของเขาบอกให้รู้ว่าภัยกำลังจะมาถึงตัวในไม่ช้า
“เธอนอนกับมันมาแล้วหรือ?”
ตะคอกเสียงดังลั่นจนฟ้างามตัวสั่นเพราะกลัว หญิงสาวพยายามดิ้นให้หลุดจากอ้อมกอดเขา
“ปล่อยงาม”
“นอนกับมันมาแล้วจริง ๆ ด้วย” เขาเชื่อจริง ๆ ดูจากแววตาก็รู้
ฟ้างามต้องการให้เป็นแบบนี้ แต่เขากลับทำให้รู้ว่าการเหยียบหน้าผู้ชายอย่างเขามันจะได้รับผลกรรมเป็นอย่างไร
คนตัวเล็กตกใจมากที่จู่ ๆ เขาใช้มือปิดปากเธอในลักษณะที่ล็อกศีรษะไว้ในอ้อมแขน ส่วนอีกข้างก็ช้อนร่างสวยขึ้นอุ้มได้อย่างง่ายดายคล้ายกับว่าร่างกายนี้เบาเหมือนปุยนุ่น
เสียงกรีดร้องนั้นก้องอยู่แค่ในลำคอ ตะวันแบกเธอเดินไปแล้วเปิดกระโปรงท้ายรถของเขาที่เธอไม่รู้มาก่อนว่าจอดอยู่ในลานจอดเดียวกัน ก่อนที่เขาจะยัดร่างเธอเข้าไปในนั้นอย่างทุลักทุเล
“ปล่อย!” ฟ้างามพยายามตะกายออกจากตรงนั้น เขากดไหล่เธอไว้ไม่ให้ลุกขึ้นมาได้
ตึง!
กระโปรงท้ายรถถูกปิดเสียงดัง ขังร่างของฟ้างามเอาไว้ข้างในนั้น
“ปล่อยฉันออกไปนะ! ช่วยด้วย”
ด้วยความตกใจกลัว เธอรัวกำปั้นทุบ สองเท้าก็เตะแรง ๆ เผื่อใครจะผ่านมาได้ยินเสียง แต่กลับต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อตะวันทุบตอบโต้ดังโครม ข่มขู่ให้เธอเงียบ
“กรี๊ด.. ปล่อยฉัน ปล่อย”
ตะวันไม่สนใจเสียงกรีดร้องนั้น เขาเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถ อดไม่ได้ที่จะมองกระโปรงท้ายผ่านกระจกมองหลัง ต่อให้คนในนั้นทุบให้ตาย ก็ออกมาไม่ได้ถ้าเขาไม่ยอมปล่อย
เพียงชั่วอึดใจรถก็ค่อย ๆ ขยับออกจากลานจอด ก่อนจะเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อย ๆ แต่เธอไม่รู้ว่าเขาจะพาไปที่ไหน ในนี้ทั้งมืดและคับแคบจนแทบหายใจไม่ออก ทั้งยังเป็นรถรุ่นเก่าที่ไม่สามารถเปิดกระโปรงได้จากด้านใน
ดี... ถ้าเธอตายอยู่ในนี้ ตะวันก็จะได้ติดคุกหัวโต สมกับสิ่งเลวร้ายที่เขาทำ!
ตะวันไม่หยุดรถเลยจนกว่าจะถึงปลายทาง ขณะที่ฟ้างามรู้สึกว่าอากาศหายใจเริ่มลดน้อยลงส่วนความร้อนกลับเพิ่มขึ้นแม้จะมีช่องระบายอากาศอยู่ด้วยก็ตาม ความหดหู่ใจทำให้น้ำตาไหลออกมาเป็นทาง ไม่รู้เป็นเวรกรรมตั้งแต่ชาติปางไหนถึงทำให้เธอหน้ามืดไปเกี่ยวข้องกับคนอย่างเขา หากย้อนเวลากลับไปได้ จะไม่มีวันยอมให้ตะวันได้แตะต้องแม้แต่เศษเล็บ
และในที่สุด... เขาก็หยุดรถ
เพียงไม่ถึงหนึ่งนาทีหลังจากนั้น ตะวันก็เปิดกระโปรงท้ายรถ เขาเห็นฟ้างามนอนคุดคู้สะอึกสะอื้น ท่าทางอิดโรยแต่ยังไม่สาหัส หมออย่างเขารู้ดีว่าแค่นี้ไม่ถึงตาย
“ลงมา อย่าสำออย”
กระชากแขนเรียวเล็กขึ้นมาเต็มแรง ฟ้างามเจ็บมากจึงสะบัดเขาออกอย่างไม่ไว้หน้า แล้วอดที่จะถามไม่ได้เลยว่า
“ลองมาถูกขังเองบ้างไหม”
มุมปากหยักเหยียดยิ้มร้ายน่ารังเกียจ ก่อนโน้มใบหน้าลงมาพูดราวกับกระซิบ
“ฉันรู้ว่าเธออึด”
สีหน้า แววตารวมถึงน้ำเสียงของตะวันช่างยั่วโมโหได้ดีเสียจริง แล้วตอนนี้ฟ้างามไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน หากเมื่อมองไปรอบ ๆ เห็นม่านสีน้ำเงินบังที่จอดรถจากสายตาคนภายนอก และใกล้กันมีประตูเปิดเข้าสู่อีกห้องหนึ่ง ก็พอเดาได้ว่าเป็นที่ไหน
“ลงมา”
แขนใหญ่โอบรอบเอวบางแล้วออกแรงยกร่างน้อยขึ้นจากกระโปรงท้ายรถ แต่ฟ้างามดิ้นขลุกขลักและผลักไสคนตัวใหญ่
“ปล่อย”
เมื่อสองเท้าแตะพื้นได้ หญิงสาวก็บันดาลโทสะประทุษร้ายร่างหนาจนมีจังหวะหนึ่งที่มือบางเผลอไปตบเข้าที่แก้มซ้ายของตะวันจนเขาหน้าหัน
เผียะ!
