บทที่ 3: ช่วยชีวิตโดยคนแปลกหน้า
มุมมองของเคลลี่ แอนน์:
เธอใช้เวลาไม่นานก็ออกไปแล้วกลับมาพร้อมกับเอกสารปึกหนึ่ง แถมยังมีพยาบาลตามมาด้วย เธอนำเฝือกแขนกับไม้ค้ำยันหนึ่งคู่มาให้ฉัน แต่ฉันก็ไม่แน่ใจว่าจะใช้มันทั้งสองอย่างพร้อมกันได้ยังไง สงสัยคงต้องใช้แค่อันเดียวก่อนล่ะมั้ง ก็ยังดีกว่าไม่มีเลยสักอัน พยาบาลวางไม้ค้ำยันพิงไว้ที่ปลายเตียงก่อนจะเดินอ้อมไปอีกฝั่ง ทันใดนั้น เตียงก็เริ่มปรับระดับให้ฉันลุกขึ้นนั่ง นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ฉันอยากให้เกิดขึ้นเลย ฉันตัวแข็งทื่อไปหมด จากที่นอนเอนหลังอยู่เล็กน้อย ตอนนี้กลับถูกบังคับให้งอสะโพกซึ่งมันไม่อยากจะขยับเอาเสียเลย ฉันรู้สึกเหมือนโดนสิบล้อทับมาอย่างนั้นแหละ
"ฉันรู้ว่ามันเจ็บนะคะ แต่คุณต้องขยับตัวบ้าง ไม่อย่างนั้นอาจจะมีปัญหาที่แย่กว่าตามมาทีหลังได้" พยาบาลพูดเบาๆ
ฉันหันหน้าไปทางคุณหมอที่กำลังเริ่มปลดสายวัดสัญญาณชีพต่างๆ ของฉันออก ฉันต้องกัดฟันข่มความเจ็บปวดไว้ เพราะไม่อยากให้พวกเธอคิดว่าฉันเจ็บมากอย่างที่รู้สึกจริงๆ ไม่อย่างนั้น เธออาจจะสั่งให้ฉันอยู่โรงพยาบาลต่อ ซึ่งขัดกับความคิดของฉันที่อยากจะรีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ถ้ารู้จักนาดีนดีพอ เธอคงสืบเจอแล้วว่าฉันอยู่ที่ไหน ก่อนจะส่งใครสักคนมา 'ดูอาการ' ฉันที่นี่
ตอนนั้นเองที่ฉันรู้ว่าสถานการณ์อาจจะเลวร้ายลงไปอีกมากนับจากนี้ ถ้าพวกเขาเจอฉันติดแหง็กอยู่บนเตียงแบบนี้ แถมยังมีสายระโยงระยางต่อเข้ากับเครื่องมือต่างๆ เต็มไปหมดล่ะ?! เธอรู้เรื่องเข็มฉีดยาและวิธีใช้มันดีพอ เธอหามาเองได้ หรืออาจจะพกติดตัวมาด้วยซ้ำถ้าเธอเป็นคนมาเอง แค่ฟองอากาศเล็กๆ ฟองเดียวในสายน้ำเกลือก็ทำให้ฉันเจอปัญหาใหญ่ได้แล้ว จากนั้นน้องชายของเธอก็จะถูกปล่อยตัวเพราะ 'พยานปากเอก' เสียชีวิตจากความประมาทเลินเล่อของโรงพยาบาล เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นออกจะบ่อยไป ใครจะไปรู้ทันกันล่ะ?
"เอาล่ะค่ะ คุณอดัมส์ ถอดสายต่างๆ ออกหมดแล้ว กลับบ้านได้ค่ะ พยาบาลคนนี้จะเข็นรถไปส่งให้หลังจากที่คุณติดต่อคนมารับได้แล้วนะคะ อย่าลืมยกแขนให้สูงไว้นะคะ" เธอแนะนำแกมบังคับ พลางขมวดคิ้วใส่ฉันอย่างสุภาพ...มั้งนะ มันยากที่จะบอกว่าเธอมองฉันด้วยสีหน้าแบบไหน เพราะฉันจดจ่ออยู่ได้แค่กับเสียงของเธอเท่านั้น ทุกอย่างยังคงพร่ามัวอยู่มาก แม้ว่าฉันจะพอลืมตาขึ้นมาได้ครึ่งหนึ่งแล้วก็ตาม แต่ฉันจะไม่บอกเธอหรอก
ฉันพยักหน้าให้เธอ แล้วกระซิบ "ค่ะ จะไม่ลืม ขอบคุณอีกครั้งนะคะ"
ฉันคิดว่าพูดน้อยๆ น่าจะดีกว่า ทันใดนั้น พยาบาลที่ยังอยู่ในห้องก็ยื่นโทรศัพท์มือถือให้ฉันเป็นครั้งแรกแล้วเดินออกจากห้องไป ฉันเดาว่าเธอคงกำลังไปเอารถเข็นและให้เวลาฉันโทรศัพท์ตามลำพังครู่หนึ่ง
ฉันมองโทรศัพท์ของตัวเอง เปิดเครื่องมันขึ้นมา อย่างน้อยพวกเขาก็ปิดเครื่องไว้ให้เพื่อประหยัดแบตเตอรี่ ไม่รู้เลยว่าจะมีสายที่ไม่ได้รับกี่สาย ก็ไม่ใช่ว่าฉันมีครอบครัวที่ห่วงใยคอยอยากจะช่วยเหลือถ้ามีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นเสียหน่อย อ้อ เดี๋ยวนะ มันเกิดขึ้นแล้วนี่นา
เมื่อหน้าจอโทรศัพท์สว่างขึ้น ฉันแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองกับสิ่งที่ฉันพอจะมองเห็นได้บนหน้าจอที่ตอนนี้แตกละเอียดไปแล้ว สงสัยเชนคงโมโหแล้วพังโทรศัพท์ฉันไปด้วยเลย อย่างน้อยฉันก็ยังได้มันคืนมา แต่สิ่งที่ทำให้ฉันตกใจที่สุดคือ ฉันไม่มีสายที่ไม่ได้รับเลยแม้แต่สายเดียว อืม บางทีฉันอาจจะส่งข้อความหาแม่ของเขาได้ คนที่อย่างน้อยก็น่าจะตอบฉันกลับมาบ้าง
ฉันส่งข้อความไปว่า 'มารับกลับบ้านหน่อย' เธอใช้เวลาแค่ราวๆ 30 วินาทีก่อนจะตอบกลับมา 'ตอนนี้ฉันยุ่งอยู่ เธอคงต้องหาทางกลับเองนะ ลองติดต่อเชนดูสิ' ฉันรู้สึกเย็นวาบไปทั้งสันหลังตอนที่อ่านข้อความของเธอ เธอไม่รู้เรื่องงั้นเหรอ? หรือว่าแค่กำลังปั่นหัวฉันเล่นกันแน่?!
ฉันเก็บโทรศัพท์มือถือเมื่อพยาบาลเดินกลับเข้ามาถาม “ติดต่อใครได้ไหมคะ” ฉันพยักหน้า ดีใจที่เธอไม่ถามว่าฉันหาคนมารับได้หรือเปล่า “ถ้างั้น เตรียมตัวกลับบ้านกันค่ะ” เธอเข็นวีลแชร์มาจอดข้างเตียง แล้วช่วยฉันแต่งตัว เนื่องจากเสื้อผ้าเปื้อนเลือดหมดและฉันไม่มีชุดมาเปลี่ยน เธอเลยให้ฉันใส่ชุดสครับสำรองกลับบ้าน “รู้นะคะว่ามันคงไม่นุ่มสบายเหมือนเสื้อผ้าตัวเอง แต่อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลว่าชุดผู้ป่วยจะเปิดออก เผยให้เห็นด้านสวยๆ ของคุณน่ะค่ะ” ฉันพยายามกลั้นหัวเราะเพราะเจ็บแผลอยู่แล้ว
ในที่สุดเราก็พร้อมกลับ แขนฉันใส่ที่พยุงซึ่งคล้องรอบคออยู่ ต้องขอบอกว่าคอฉันไม่ค่อยชอบที่ต้องรับน้ำหนักเท่าไหร่ แต่ก็คงต้องทนไป ฉันวางไม้ค้ำยันไว้บนที่พักเท้าของวีลแชร์ ส่วนเอกสารต่างๆ ก็ยัดอยู่ในกระเป๋าถือที่บังเอิญอยู่ในห้องกับฉันด้วย
พอไปถึงขอบทางเท้า เธอก็จอดวีลแชร์แล้วเดินอ้อมมายืนข้างๆ ถามว่า “รถมารับใกล้ถึงหรือยังคะ” ฉันพยักหน้า ไม่รู้จะพูดอะไร
ทันใดนั้นก็มีรถคันหนึ่งมาจอด แล้วคนในรถก็ตะโกนเรียกพยาบาล เธอรีบวิ่งไปช่วยพาผู้ป่วยคนนั้นเข้าไปข้างใน ฉันรู้สึกขอบคุณที่ไม่ต้องมีสายตาคอยจับจ้องอยู่ใกล้ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าฉันขึ้นรถใครสักคนไป พอเธอ ลับสายตาไปแล้ว ฉันก็พยายามเข็นวีลแชร์ให้ออกห่างจากทางเข้า เพื่อจะลองลุกขึ้นยืนและเดินดู
พอห่างออกมาพอสมควร ฉันก็รวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีพยุงตัวลุกขึ้นยืน แค่นั้นก็เล่นเอาหอบหายใจไม่ทันเลย! ไม้ค้ำยันทั้งสองข้างอยู่กับแขนซ้าย ส่วนกระเป๋าถือก็คล้องข้อมือไว้ ฉันเริ่มขยับตัวไปทางขอบทางเท้าเพื่อจะได้ไปจากที่นี่เสียที ต้องตอนนี้หรือไม่ก็ไม่มีโอกาสอีกแล้ว ฉันวางไม้ค้ำยันลงบนพื้นถนนแล้วก้าวขาออกไป พลาด! ฉันล้มกระแทกลงกับพื้นคอนกรีต
การล้มทำให้ฉันเจ็บมากขึ้นไปอีกขณะที่พลิกตัวนอนหงาย นั่นรถกำลังวิ่งมาใช่ไหมเนี่ย! โอ้ เยี่ยมเลย นาดีนมาก่อนเวลา! ฉันพยายามเตรียมตัวเตรียมใจโดนทับขณะที่รถเร่งความเร็วขึ้น วิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ ฉันหลับตาปี๋ นิ่วหน้า เตรียมรับแรงกระแทก
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า!” ฉันได้ยินเสียงใครคนหนึ่งพูดขึ้น
ให้ตายสิ นี่มันเสียงที่เซ็กซี่ที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมาเลย เป็นเสียงทุ้มลึก แหบพร่านิดๆ แถมยังมีสำเนียงชัดเจนอีกด้วย พอฉันลืมตาขึ้นเท่าที่จะทำได้ ก็เห็นร่างพร่ามัวอยู่เหนือตัวฉัน ไม่ใช่นาดีน! ฉันถอนหายใจอย่างโล่งอก และพร้อมกันนั้นก็ได้กลิ่นโคโลญจน์หอมฟุ้งโชยมา มันเป็นกลิ่นแนวป่าๆ มีกลิ่นไม้จันทน์เจืออยู่นิดๆ ฉันเอนศีรษะกลับไป เคลิบเคลิ้มไปกับกลิ่นหอมชวนฝันกลิ่นใหม่นี้ ศีรษะฉันไม่ได้แตะพื้นเพราะเขาสอดแขนเข้ามารองรับต้นคอฉันไว้
“เดวอน เปิดประตู” ฉันได้ยินเขาพูดเสียงเข้ม เกือบจะเร่งรีบ “เราจะพาเธอไปด้วย!”
เขาจะพาฉันไปไหนกันเนี่ย! ฉันสับสนงุนงงขณะที่เขาอุ้มฉันขึ้นจากพื้น ฉันเจ็บระบมจากการล้มจนนิ่วหน้าเมื่อตัวลอยขึ้น ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด “เบาๆ หน่อย” เขาพูดเบาๆ เสียงทุ้มแหบพร่าและแฝงความปกป้อง “ผมจะดูแลคุณเอง วางใจได้เลย”
ฉันกระซิบ “คุณแทบไม่รู้จักฉันเลย”
“รถผมเกือบจะชนคุณ นั่นทำให้มันเป็นธุระส่วนตัวของผมที่ต้องทำความรู้จักคุณ แม้ว่าผมจะต้องรักษาแผลให้คุณด้วยตัวเองก็ตาม”
“คุณเป็นใครคะ”
“ผมชื่อแจสเปอร์ แม็คเกรเกอร์”


















































































































































































