2.ลาร่า: ผู้ช่วยให้รอดของฉัน

ลาร่า

ฉันเหลือบตามองนาฬิกาขณะเดินไปยังประตู ลูกค้ารายสุดท้ายเพิ่งออกไป ในที่สุด นี่มันเกือบจะตีสองของเช้าวันเสาร์แล้ว พรุ่งนี้ฉันต้องกลับมาที่นี่อีกครั้งตอนห้าโมงเย็น บางทีวันเสาร์อาจจะดีกว่าเมื่อวาน บางทีอาจจะไม่มีเรื่องตารางงานสับสน บางทีฉันอาจจะไม่ต้องพยายามรับมือทุกอย่างคนเดียว บางทีฉันอาจจะได้เจอพ่อรูปหล่อคมเข้มคนนั้นอีกครั้ง

เสียงหัวเราะเยาะหลุดจากริมฝีปากฉัน ใช่สิ โอกาสที่เรื่องแบบนั้นจะเกิดขึ้นมันมีสักแค่ไหนกันเชียว

“ลาร่า”

ฉันตวัดสายตามองเคนซี่ที่กำลังเท้าศอกพิงเคาน์เตอร์บาร์อยู่ “คะ?”

ฉันมีเรื่องอยากให้ช่วยหน่อย” เขาพูดเบาๆ

“ได้สิคะ” มันคงไม่แย่ไปกว่านี้แล้วล่ะ “จะให้ฉันปิดร้านให้เหรอคะ?”

เขาพยักหน้า ฉันมองตามสายตาของเขาที่กวาดมองไปรอบๆ บาร์ แน่นอนว่ามันเละเทะ และฉันก็ถูกคาดหวังให้ทำความสะอาดมันก่อนที่จะปิดร้าน ฉันเม้มปากเพื่อกลั้นเสียงครวญครางไม่ให้เล็ดลอดออกมา ทำไมไม่มีใครโผล่มาทำงานเลยนะ สิ่งเดียวที่ฉันอยากทำคือกลับบ้านแล้วมุดเข้าใต้ผ้าห่มหลังจากได้อาบน้ำอุ่นๆ สบายตัวเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ปวดเมื่อย

ฉันจะจ่ายค่าล่วงเวลาให้

ฉันส่งยิ้มที่สดใสที่สุดเท่าที่จะทำได้ให้เขา “ค่อยน่าฟังหน่อยค่ะ พรุ่งนี้ร้านนี้จะสะอาดเอี่ยมให้คุณเลย”

“ฉันไม่สงสัยเลย” เขาเดินอ้อมเคาน์เตอร์บาร์แล้วลังเล “ฉันขอโทษเรื่องความวุ่นวายนะ มันจะไม่เกิดขึ้นอีก”

แล้วเขาก็หายลับไปตามโถงทางเดินที่นำไปสู่ประตูหลัง ทิ้งให้ฉันอยู่คนเดียว ความเหงาซึมซาบเข้ามาในตัวฉันขณะที่เริ่มทำความสะอาด ฉันโหยหาใครสักคนให้กลับบ้านไปด้วย—ใครสักคนที่จะนวดกล้ามเนื้อที่ปวดเมื่อยของฉันและให้ฉันระบายทุกเรื่องเกี่ยวกับวันที่ผ่านมาให้พวกเขาฟัง ฉันโหยหาใครสักคนที่จะอยู่ที่นั่นเพื่อเข้าใจภาระที่ฉันแบกไว้บนบ่า

ฉันเก็บโต๊ะและยกจานไปไว้ด้านหลัง หลังจากเช็ดโต๊ะแล้ว ฉันก็ยกเก้าอี้วางบนโต๊ะและทำความสะอาดพื้นก่อนจะไปล้างจานที่ด้านหลัง กว่าบาร์จะสะอาดเป็นประกายก็เกือบตีสี่แล้ว ฉันเหนื่อยและหิว และสิ่งที่ฉันอยากทำที่สุดคือไปนอน

แทนที่จะใช้ประตูหลังเพื่อออกไป ฉันกลับเดินออกทางประตูหน้า ฉันตรวจดูให้แน่ใจว่าประตูล็อกแล้วก่อนจะเดินจากมา ถนนว่างเปล่าและมีแสงไฟจากเสาไฟถนนที่กะพริบติดๆ ดับๆ ซึ่งค่อนข้างน่ากลัว ฉันล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าขณะข้ามถนน นิ้วของฉันสัมผัสกับกระป๋องโลหะเล็กๆ บรรจุสเปรย์พริกไทยที่ฉันซื้อมาไม่นานหลังจากเริ่มทำงานที่บาร์ เสียงหนึ่งดึงความสนใจของฉันไป แต่มันก็สายเกินไปที่จะตอบโต้

แขนข้างหนึ่งสอดมารอบเอวฉันและมือข้างหนึ่งก็ตะปบปากฉันไว้ ฉันกรีดร้องและดิ้นรนขณะที่ถูกยกขึ้นจากพื้น กระเป๋าหลุดจากมือฉันเมื่อชายคนนั้นหมุนตัวฉันแล้วเหวี่ยงฉันกระแทกกำแพง ความเจ็บปวดแล่นปราดไปทั่วร่างเมื่อแผ่นหลังของฉันปะทะกับอิฐเย็นเฉียบ กลิ่นแอลกอฮอล์คละคลุ้งเข้ามาในโพรงจมูกเมื่อชายคนนั้นโน้มตัวเข้ามา ร่างกายของเขากดทับร่างฉัน ทำให้ความกลัวเอ่อล้นเข้ามาในใจ ความชาด้านแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ฉันตกอยู่ในอันตราย ฉันรู้ดี แต่ฉันทำอะไรไม่ได้เลย

“อีดอกทอง” เขาคำรามข้างหูฉัน “กูจะทำให้มึงชดใช้”

เสียงนั้น ขนลุกซู่ไปทั้งสันหลัง อะดรีนาลีนพุ่งพล่านเข้ามาแทนที่ความชาด้าน ฉันใช้มือกดหน้าอกเขาแล้วผลักออกไป แต่ชายคนนั้นแทบไม่ขยับเลย เขาขยับเล็กน้อยแล้วจับข้อมือฉันไว้ น้ำตาร้อนผ่าวที่ขอบตา ฉันน่าจะเรียกแท็กซี่

“ค-คุณอยากได้อะไรก็เอาไปเลย” ฉันเสียงแหบพร่า “ฉันมีเงินห้าดอลลาร์ในกระเป๋า มันเป็นของคุณ ปล่อยฉันไปเถอะนะ”

“กูไม่ต้องการเงินของมึง” เขาคำราม

เขาก้าวถอยหลังแต่ยังคงจับข้อมือฉันไว้แน่น ทันทีที่เท้าฉันแตะพื้น ฉันก็เตะออกไป เขาร้องครางเมื่อเท้าฉันปะทะเข้ากับเป้ากางเกงของเขา ชายคนนั้นเซถอยหลัง ปล่อยข้อมือฉัน ฉันไม่ได้อยู่รอเพื่อดูว่าทำเขาเจ็บแค่ไหน ฉันวิ่งหนีไป เพียงไม่กี่วินาทีต่อมาก็ชนเข้ากับหน้าอกแข็งๆ ของใครอีกคน

เสียงกรีดร้องหลุดจากริมฝีปากฉันเมื่อแขนของชายคนนั้นรัดรอบเอวฉัน ฉันเริ่มดิ้นรนและเตะเข้าที่หน้าแข้งของชายคนนั้นได้ เขาร้องครางแต่แขนของเขาก็ไม่ได้คลายออกอย่างที่ฉันคาดไว้ ฉันสะบัดแขนจนหลุด และด้วยกำปั้นที่กำแน่น ฉันก็เหวี่ยงออกไป หมัดของฉันปะทะกับกระดูกแข็งและเนื้อนุ่มๆ ครั้งนี้แขนของชายคนนั้นตกลง ทำให้ฉันเซถอยหลัง

ฉันชำเลืองมองเขาแวบหนึ่งก่อนจะหันหลังวิ่งหนี แต่มีบางอย่างรั้งฉันไว้ ฉันหันกลับไปทันทีที่เขายืดตัวตรงพอดี เขายังคงก้มตัวเล็กน้อย มือข้างหนึ่งกุมใบหน้าตรงที่ฉันต่อยเขา ส่วนอีกข้างกุมต้นขา เขาพึมพำอะไรบางอย่างในลำคอแล้วยืดตัวตรงพลางลดมือลง ความประหลาดใจแล่นวาบเข้ามาในใจฉันเมื่อฉันจำเขาได้

แล้วความรู้สึกผิดก็ท่วมท้นเข้ามา “ฉันขอโทษจริงๆ ค่ะ ขอโทษมากๆ”

ฉันรีบเดินเข้าไปหาเขา ประสานมือไว้ตรงหน้า พลางพึมพำคำขอโทษไม่หยุด

“คุณวิ่งหนีทำไม” เขาถาม โดยไม่สนใจคำขอโทษของฉันเลย

ฉันกลืนน้ำลายและเหลือบมองข้ามไหล่ไป กระเป๋าของฉันตกอยู่บนพื้นตรงที่ฉันทำหล่นตอนโดนจับตัว แต่ชายคนนั้นหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ เขาหายไปไหนกันนะ หรือว่าเขากำลังรอโอกาสอื่นมาจับตัวฉันอีก

“ฉัน...เอ่อ...” ฉันพูดตะกุกตะกักก่อนจะหันกลับไปหาเขา “มีคนมาจับตัวฉันค่ะ”

เขาขยับเข้ามาใกล้ “คุณไม่เป็นไรนะ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

ฉันไม่เป็นไรค่ะ

ฉันมองเขาตอนที่เขาเดินไปเก็บกระเป๋าของฉันกับของที่ตกกระจายออกมา เขามองไปรอบๆ ก่อนจะเดินกลับมาหาฉัน ขณะที่ฉันยื่นมือออกไปรับกระเป๋าจากเขา ฉันก็เพิ่งรู้ตัวว่าตัวสั่นมากแค่ไหน อะดรีนาลีนเริ่มจะหมดฤทธิ์แล้ว ฉันตระหนักได้ว่าเรื่องมันคงจะเลวร้ายไปกว่านี้มากถ้าเขาไม่ปรากฏตัวขึ้นมา

“ขอบคุณนะคะ” ฉันกระซิบ

“เดี๋ยวผมไปส่งที่บ้านนะ” เขาพูดเบาๆ

ฉันพยักหน้า แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ จู่ๆ เขาก็ยื่นมือมาดึงฉันเข้าไปกอดแนบอก ฉันตัวเกร็งเมื่อริมฝีปากของเขาเฉียดแก้มฉัน อาจเป็นเพราะเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น หรืออาจเป็นเพราะรู้สึกปลอดภัยขึ้นหลังจากการโจมตี แต่ฉันก็ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา ฉันโอบแขนรอบเอวเขาและกอดเขาไว้แน่น

“ผมอยู่นี่แล้ว” เขากระซิบข้างหูฉัน

สองสามวินาทีต่อมาฉันก็ผละออกจากเขาแล้วเช็ดแก้มตัวเอง ฉันไม่กล้ามองหน้าเขาหลังจากที่ปล่อยโฮออกมาอย่างน่าอาย ปกติฉันจะกลั้นน้ำตาไว้จนกว่าจะอยู่คนเดียว น้ำตาคือความอ่อนแอที่ฉันไม่อาจให้ใครเห็นได้ ฉันเข้มแข็ง เรื่องแค่นี้ไม่ทำให้ฉันอ่อนแอลงหรอก

“กลับบ้านกันเถอะนะ” เขาพูดเบาๆ

ฉันพยักหน้าแล้วเริ่มเดินไปทางอพาร์ตเมนต์ของฉัน ความเงียบระหว่างเรามันค่อนข้างน่าอึดอัด ฉันเลียริมฝีปากแล้วช้อนตามองเขาจากใต้แพขนตา สายตาของเขามองจดจ่ออยู่ที่เท้าตัวเอง

ฉันยังไม่รู้ชื่อคุณเลยนี่คะ

ไซลาสครับ แล้วคุณล่ะ

“ลาร่าค่ะ คุณมาเยี่ยมครอบครัวเหรอคะ” ฉันถามเบาๆ

เขาเหลือบมองฉัน “เปล่าครับ ผมมาทำธุรกิจ คุณอยู่ที่นี่มานานเท่าไหร่แล้ว”

ฉันเลียริมฝีปาก “ฉันเพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ประมาณห้าเดือนค่ะ”

แล้วคุณย้ายมาจากไหนล่ะ

ฉันลังเล ไม่มีคำโกหกง่ายๆ ที่จะพูดออกไปได้ ปกติฉันจะเตรียมพร้อมสำหรับคำถามประเภทนี้เสมอ แต่ไม่ใช่คืนนี้ ไม่ใช่หลังจากที่เกือบจะโดนจับตัวและอาจจะโดนทำร้าย ความหนาวเยือกแล่นไปทั่วสันหลัง ฉันรู้สึกโล่งใจอย่างท่วมท้นเมื่อเห็นตึกอพาร์ตเมนต์ของตัวเอง

ขอบคุณนะคะที่มาส่ง

เขากระแอมแล้วยิ้มให้ฉันบางๆ “ไม่เป็นไรครับ” เขาหันหลังแล้วก็หยุดชะงัก “คราวหน้าเรียกแท็กซี่นะ”

รอยยิ้มจางหายไปจากใบหน้าของฉันขณะที่ฉันเดินเข้าไปในตึก ฉันก้าวขึ้นบันไดทีละสองขั้นและรีบเดินไปตามโถงทางเดินไปยังห้องพักของฉัน ฉันพยายามอยู่สองสามครั้งกว่าจะไขกุญแจเข้ารูได้ พอปลดล็อกประตูได้ ฉันก็รีบแทรกตัวเข้าไปข้างในแล้วปิดพร้อมล็อกประตูตามหลัง ฉันโยนกระเป๋าทิ้งไว้บนโต๊ะในครัวแล้วรีบเข้าไปในห้องนอน

หลังจากอาบน้ำอุ่นและกินขนมปังปิ้งไปเล็กน้อย ในที่สุดฉันก็ล้มตัวลงนอน ฉันเหนื่อยมากแต่ก็ยังนอนไม่หลับ ฉันนอนมองเพดาน ปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปเรื่อยเปื่อย ฉันกำผ้าปูที่นอนแน่นแล้วดึงมันขึ้นมาคลุมตัวให้กระชับขึ้น แต่มันก็ไม่ได้ช่วยบรรเทาความหนาวเย็นที่จู่ๆ ก็แผ่ซ่านไปทั่วร่างได้เลย มีบางอย่างผิดปกติ

“งี่เง่าชะมัด” ฉันพึมพำกับตัวเอง “มันก็แค่เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้เท่านั้นแหละ ผู้ชายคนนั้นทำให้เธอตกใจก็แค่นั้นเอง เขาไม่รู้หรอกว่าเธออยู่ที่ไหน”

ฉันพลิกตัวนอนตะแคงแล้วหลับตาลง ไซลาส เขาไม่ได้บอกนามสกุล ฉันเลยค้นหาข้อมูลเขาไม่ได้ เขาบอกว่ามาทำธุรกิจ แต่ก็ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม อีกไม่นานเขาก็คงจะไปแล้ว อีกอย่าง ฉันก็ไม่ได้มองหาความสัมพันธ์อะไรอยู่แล้ว

ยังไงมันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก อีกไม่กี่เดือนฉันก็จะต้องถูกบังคับให้ย้ายที่อยู่อีกครั้ง ‘หล่อน’ ไม่เคยอนุญาตให้ฉันอยู่ที่ไหนนานๆ ไม่ว่าฉันจะอยากเริ่มต้นอะไรกับไซลาสมากแค่ไหน มันก็ไม่มีวันยั่งยืน

บทก่อนหน้า
บทถัดไป